บทที่ 775 กองกำลังพื้นฐานของเจ้าแดนต้องห้าม เผ่าเทพมาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 775 กองกำลังพื้นฐานของเจ้าแดนต้องห้าม เผ่าเทพมาร

จิ่งเทียนกงกลายเป็นมิ่ง…

สีหน้าของหานเจวี๋ยแปลกพิกล

ตอนนี้เขาสามารถผนวกรวมกลุ่มมิ่งเข้ากับกลุ่มอิทธิพลของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้อย่างแท้จริงแล้ว!

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าอี๋เทียนปลุกพลังเทพมารฟ้าบุพกาลได้ อี๋เทียนคือบุตรแห่งมรรคาสวรรค์ ตัวตนเดิมคือเทพมารฟ้าบุพกาลกลับชาติมาเกิด ในศึกวังสวรรค์ก่อนหน้านี้ เขาเกิดความประทับใจในตัวหานเจวี๋ย พุ่งตรงขึ้นมาเป็นระดับหกดาว

หานเจวี๋ยเห็นว่าเขาผูกพันกับหานทั่วดั่งพี่น้อง จึงจัดไว้ในกลุ่มที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดึงเข้าสู่แวดวงสหาย แต่ตามปกติแล้วหานเจวี๋ยไม่ได้สนใจเขามากนัก

ครั้งนี้อี๋เทียนและหานทั่วคล้ายจะเผชิญอันตรายกันอีกครั้ง หานทั่วถึงขั้นเซ่นสังเวยสังขารตนเลยทีเดียว

ไอ้ลูกหมา!

ร่างกายคือของขวัญจากบุพการี คิดจะสังเวยก็สังเวยได้เลยหรือ

หากเผชิญปัญหาเข้าจริงๆ เหตุใดหานทั่วถึงไม่ใช่วิชาอัญเชิญเทพเล่า

น่าจะสามารถจัดการได้กระมัง

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาพบว่าเหล่าสหายใกล้ชิดของเขาน้อยครั้งนักที่จะเป็นฝ่ายใช้วิชาอัญเชิญเทพด้วยตัวเอง ต่อให้เขาบอกประโยชน์ใช้สอยของวิชาอัญเชิญเทพไปชัดเจนแล้วก็ตาม

พวกเขายินดีจะล้มลุกคลุกคลานอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทว่ากลับไม่อยากรบกวนหานเจวี๋ย

‘หรือเพราะข้าเย็นชาเกินไป ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกผิดและไม่ต้องการจะรบกวน’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดกับตัวเอง

แล้วไปเถอะ

ขี้เกียจคิดแล้ว

ไม่มีใครสนใจเลยเช่นกันว่าผู้เฒ่าจะแห้งตายระหว่างที่ปิดด่านอยู่หรือไม่!

หานเจวี๋ยไล่อ่านจดหมายลงไปเรื่อยๆ

หลังอ่านจดหมายจบ หานเจวี๋ยสำแดงความฝันอันธการ เข้าฝันจิ่งเทียนกง ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ในแดนความฝัน จิ่งเทียนกงลืมตาขึ้นในทันใด เจตนาสังหารแผ่ออกมาจากดวงตา แตกต่างจากตัวเขาในอดีตอย่างลิบลับ

“เจ้าแดนต้องห้าม!”

จิ่งเทียนกงคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้นปรีดา สั่นสะท้านไปทั้งตัว

ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว!

ในที่สุดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ติดต่อมาหาเขา!

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า “จิ่งเทียนกง ความภักดีที่เจ้ามีต่อข้าผันแปรไปแล้วหรือ”

จิ่งเทียนกงรีบปฏิเสธ “ย่อมมิใช่ขอรับ! ข้าน้อยเป็นคนของท่านเจ้าแดนตลอดไป ท่านประสงค์ให้ข้าทำสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้นขอรับ!”

เขาเริ่มแสดงความจงรักภักดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

เขานึกว่าการเข้าร่วมกลุ่มมิ่งของตนล่วงเกินเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเข้าเสียแล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจงบอกเล่าสถานการณ์ของเจ้ามา”

จิ่งเทียนกงพยักหน้ารับ จากนั้นก็เริ่มเล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ของตน

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่ปรากฏตัวขึ้นมานานมากแล้ว ถึงขั้นที่แดนเซียนหลงลืมการมีอยู่ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไป เรื่องนี้ทำให้จิ่งเทียนกงรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ดังนั้นจึงออกจากวังเทพ พาคนสนิทมุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล ก่อตั้งลัทธิอันธการขึ้นอีกครั้ง ต่อมาถูกสือตู๋เต้าพบเข้า และชักชวนให้เข้าร่วมกับมิ่ง

จิ่งเทียนกงถามอย่างระมัดระวัง “สือตู๋เต้าใช่คนของท่าน…”

ที่แท้เป็นการดำเนินงานของสือตู๋เต้า

หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ถูกต้อง แต่เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ เจ้าก็ช่วยข้าอบรมสือตู่เต้าด้วย เรื่องราวบางอย่างต้องทำความเข้าใจอย่างระมัดระวังรอบคอบ”

จิ่งเทียนกงพลันตื่นเต้นปรีดา เขาก็นึกสงสัยในตัวสือตู๋เต้าอยู่เช่นกัน แต่ถ้าหากว่าใช่จริงๆ เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!

ในที่สุดเขาก็พบผู้มีอุดมการณ์เดียวกันแล้ว!

แถมอีกฝ่ายยังเป็นสือตู๋เต้าด้วย!

สือตู๋เต้าเคยเป็นยอดคนอันดับหนึ่งที่เป็นรองลงมาจากอริยะมรรคาสวรรค์ ความแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์กันในวงกว้าง!

ยามนี้พิสูจน์มรรคแล้ว เส้นทางอนาคตย่อมรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัด!

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ต่อไปจะคอยให้ความร่วมมือกับสหายสือแน่นอนขอรับ!”

จิ่งเทียนกงตบอกออกปากรับประกัน เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็สิ้นสุดแดนความฝัน

เขาลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จิ่งเทียนกงได้รู้จักสือตู๋เต้า เช่นนั้นกองกำลังพื้นฐานของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็นับว่าตั้งต้นได้แล้ว

หานเจวี๋ยหลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

….

ภายในตำหนักปฐมภพ ผ่านการปรึกษาหารือกันมานับหมื่นปี ในที่สุดเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลก็ได้ข้อสรุป

หานเจวี๋ยฟังจนแทบสัปหงกแล้ว

บอกว่าเป็นการหารือ แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงการยุติความบาดหมางระหว่างกันและกันเท่านั้น ในหมู่เทพมารฟ้าบุพกาลต่างมีความแค้นเคืองต่อกัน หากคิดจะร่วมรับมือกับศัตรูคนเดียวกัน จะต้องคุยกันต่อหน้าให้ชัดเจน

ตอนนี้ในที่สุดก็บรรลุฉันทามติเบื้องต้นแล้ว

“นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเราต่างจะส่งลูกศิษย์ออกค้นหาร่องรอยของเทพมารอนธการ หากบุตรแห่งสวรรค์ที่ปรากฏมีแนวโน้มว่าจะเป็นเทพมารอนธการขึ้นมา จะต้องเข้าควบคุมทันที”

เทพมารปฐมภพเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เหล่าเทพมารพากันตอบรับ

“อีกอย่าง ห้ามไม่ให้เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลเปิดฉากต่อสู้กันเองอีก หากพบเห็นว่ามีผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่มเรื่อง ผู้นั้นจะถูกขับไล่ออกจากเผ่าพันธุ์เทพมาร พวกเราไล่ล่าสังหารกันเองมานานมากพอแล้ว! เพื่อหลบเลี่ยงภัยพิบัติที่กำลังจะมาเยือน เรื่องการทรยศหักหลังกันเองในหมู่ของพวกเราเคยปรากฏขึ้นในยุคสมัยของผานกู่มาแล้ว!”

เหล่าเทพมารทั้งหมดล้วนไม่คัดค้าน

เทพมารปฐมภพสะบัดแขนเสื้อ ประตูตำหนักปฐมภพเปิดออก

เหล่าเทพมารพากันลุกขึ้นจากไป

หานเจวี๋ยก็เดินตรงออกไปเลยเช่นกัน

ถึงแม้จะไม่ได้ข้อมูลสำคัญ แต่เขาจดจำรูปลักษณ์และชื่อเสียงเรียงนามของเทพมารเหล่านี้ไว้แล้ว วันหน้าหากจะสาปแช่งขึ้นมาก็สะดวกยิ่ง

รอให้ถึงเวลาที่ปกปิดสถานะของเขาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ แทนที่จะอยู่รอความตาย ชิงลงมือกวาดล้างศัตรูให้หมดเสียก่อนดีกว่า

ความแข็งแกร่งไร้พ่ายในใต้หล้านี้มิได้มีเพียงพลังเท่านั้น ยังเป็นเรื่องของวิธีการด้วย!

เพิ่งเดินพ้นจากตำหนักปฐมภพ หงหยวนก็ไล่ตามมา ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าหาน ไปหาที่คุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยดีหรือไม่”

หานเจวี๋ยเหลือบมองนางแวบหนึ่ง กล่าวว่า “เอาไว้ครั้งหน้าเถิด มีธุระต้องจัดการในมรรคาสวรรค์ ข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว”

“ตกลง หากมีโอกาสข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่มรรคาสวรรค์ด้วยตัวเอง”

“ลาก่อน!”

ร่างแยกของหานเจวี๋ยปลีกตัวจากมาอย่างรวดเร็ว

หงหยวนมองเงาหลังของเขาที่ห่างออกไป รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเดินเข้ามา แค่นเสียงกล่าวว่า “ขอเตือนเจ้าเอาไว้ อย่ารนหาที่ตาย สหายเต๋าหานดูเหมือนจะเป็นมิตร แต่จิตสังหารมากล้น”

หงหยวนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้คิดร้ายต่อเขา เขาจะเกิดจิตสังหารต่อข้าได้อย่างไร”

“เฮอะๆ”

จอมอริยะอวี๋เจี้ยนส่ายหน้าแค่นหัวเราะ จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สายหนึ่งลอยห่างออกไป

ในเวลาเดียวกัน

ขณะที่ร่างแยกกำลังเร่งเดินทางอยู่ หานเจวี๋ยก็รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่ร่างแยกได้ประสบแล้ว

เขาสามารถโยกย้ายจิตรับรู้ไปไว้ที่ร่างแยกได้ตลอดเวลา ทว่าร่างแยกยังคงจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างอิสระ

‘รวมเทพมารฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่งอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ ถ้าข้าสาปแช่งเจ้าให้ตาย จะยังร่วมเป็นหนึ่งได้อีกหรือไม่’

หานเจวี๋ยคิดในใจ แต่เขาก็เพียงแค่คิดเท่านั้น

ตอนนี้สามารถอาศัยเผ่าพันธุ์เทพมารมาขู่ขวัญพวกคนชั่วร้ายได้พอดี

ด้วยนิสัยของเทพมารปฐมภพ ในไม่ช้าเรื่องนี้น่าจะเผยแพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาล

เมื่อถึงเวลานั้น เหล่าผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลจะได้ทราบว่าหานเจวี๋ยแห่งมรรคาสวรรค์สร้างสายสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์เทพมารแล้ว

การก่อตั้งเผ่าพันธุ์เทพมารขึ้น มิใช่เพื่อต่อกรกับเทพมารอนธการเท่านั้น แต่จะให้ความร่วมมือช่วยกันจัดการศัตรูด้วย

ศัตรูของเทพมารฟ้าบุพกาลทุกตนล้วนจะเป็นศัตรูร่วมกันของเผ่าพันธุ์เทพมารทั้งหมด!

อิทธิพลระดับนี้น่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลมิ่งก็ไม่กล้าพอ!

เทพมารฟ้าบุพกาลทุกตนล้วนครอบครองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ยักษ์เอาไว้!

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีก ฝึกบำเพ็ญต่อ ยังไม่ครบกำหนดหมื่นปี จะปล่อยให้การฝึกบำเพ็ญขาดช่วงลงกลางคันไม่ได้

หมื่นปีไม่เพียงพออีกต่อไป เพิ่มเวลาฝึกฝนให้มากขึ้นดีกว่า!

หนึ่งแสนปีเลยแล้วกัน!

….

ภายในมิติมายาลึกลับ วิญญาณของหานทั่วล่องลอยอยู่ด้านใน เขาถูกโซ่ตรวนที่เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวปรากฏขึ้นมากมายหลายเส้นรัดพันไว้

ในห้วงมิติรอบๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่เลย มีเพียงห้วงมิติหลากสีสันที่บิดเบี้ยว

ในที่แห่งนี้ มองไม่เห็นความหวังใดๆ เลย ราวกับแดนเนรเทศแห่งห้วงจักรวาล

“น้องชาย ยืนหยัดเอาไว้อีกสักระยะเถิด! ข้าจะไปช่วยเจ้าในอีกไม่ช้า!”

เสียงของอี๋เทียนดังขึ้น ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด

หานทั่วไม่สามารถกล่าววาจาได้ เขาพยายามออมกำลังไว้

‘หากข้าเป็นเช่นเดียวกับท่านพ่อ หากข้ามีร่างจำลองมากมายเช่นนั้น…’

แววตาของหานทั่วเยียบเย็นอย่างยิ่ง เขาไม่เชื่อว่าตนจะไม่สามารถหนีรอดไปจากหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ได้!

เขาหวนนึกถึงฉากการต่อสู้ของหานเจวี๋ยอยู่ตลอด

มองเห็นรางๆ ว่าในดวงวิญญาณของเขามีเงาดำร่างหนึ่งต้องการจะพุ่งออกมาจากในตัวเขา นั่นก็เป็นร่างจำลองเทพมารประเภทหนึ่งเช่นกัน

นับตั้งแต่ถือกำเนิดหานทั่วก็มีพลังเช่นนี้แล้ว ถึงกล่าวว่าเป็นร่างจำลอง แต่ก็มิใช่ไปเสียทั้งหมด หลายครั้งที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังก็ล้วนพึ่งพาร่างจำลองเทพมารร่างนี้ ปลดปล่อยออกมาสังหารฝ่าฟัน

………………………………………………………………