ตอนที่ 1535 สำนักประหลาด (2) ตอนที่ 1536 สำนักประหลาด (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1535 สำนักประหลาด (2) / ตอนที่ 1536 สำนักประหลาด (3)
ตอนที่ 1535 สำนักประหลาด (2)

สัปดาห์หลังจากนั้น ผู้เยาว์ที่สามารถผ่านการทดสอบได้มีเพียงสิบถึงยี่สิบคนต่อวันเท่านั้น หอพักขนาดใหญ่จึงว่างอยู่เกินครึ่ง และผู้เยาว์ส่วนใหญ่ก็ยังดิ้นรนอยู่กับการประเมิน

สำหรับผู้เยาว์ที่ผ่านการประเมินมาแล้ว พวกเขาจะถูกทิ้งให้เน่าอยู่ในหอพักโดยไม่มีใครมาใส่ใจว่าพวกเขาจะอยู่หรือตาย

ไม่มีใครมาถามถึงพวกเขาแม้แต่คนเดียว

พวกเฉียวฉู่อยากใช้ช่วงเวลานี้มารวมตัวกันเพื่อพูดคุย แต่สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่ได้ให้พวกเขาสมปรารถนา

ผู้เยาว์ทุกคนที่ผ่านการประเมินเริ่มตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมา!

ในการแข่งขันพวกเฉียวฉู่ไม่ได้ออมมือเลย พวกเขาล้วนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นจนทั้งห้าคนกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากในแต่ละตำหนักที่ตนอยู่ ผู้เยาว์คนอื่นๆ จึงพากันเข้าหาและพยายามจะเอาชนะใจพวกเขา

เรื่องที่ทั้งห้าคนรู้จักกันถูกเก็บเป็นความลับจากคนอื่นๆ และเพื่อไม่ให้ตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผย พวกเขาจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน

ถ้าพวกเขาจะเจอกันข้างนอก พวกเขาก็ต้องแกล้งทำเป็นรังเกียจกัน

ตรงกันข้ามกับพวกเฉียวฉู่ที่มีผู้คนรุมล้อม จวินอู๋เสียมักจะอยู่คนเดียวตามลำพังตั้งแต่ต้นจนจบ

แม้ว่าพวกผู้เยาว์ทุกคนจะได้รับคำสั่งจากตำหนักต่างๆ มาก่อนเข้าสำนักธาราเมฆแล้วว่าห้ามหาเรื่องจวินอู๋เสีย แต่ผู้เยาว์หลายคนก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองนางกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

แต่ในบรรดาพวกเขาก็ยังมี ‘คนฉลาด’ อยู่ไม่น้อย

จวินอู๋เสียไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนัก ส่วนใหญ่แล้วนางจะอยู่แต่ในห้องเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพลังวิญญาณของตัวเอง

หลังจากวันที่ผ่านการทดสอบที่สำนักธาราเมฆกำหนดไว้ให้ นางก็พบว่าการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณของนางชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีพลังวิญญาณของนางเป็นสีม่วงเพียวๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้มีประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวผสมเข้ามาในพลังวิญญาณของนาง เมื่อพลังวิญญาณของนางแสดงออกมา แสงสีม่วงก็จะมีประกายแวววาวระยิบระยับด้วย

จวินอู๋เสียไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน นางถามเยี่ยซากับเยี่ยกูแล้ว แต่ทั้งสองก็งงเช่นกัน ต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จวินอู๋เสียมองประกายระยิบระยับที่หลอมรวมอยู่ในพลังวิญญาณของนาง แล้วภาพของจวินอู๋เย่าก็ผุดขึ้นในใจนาง

ตั้งแต่นางมาถึงสามโลกชั้นกลาง นางก็ขาดการติดต่อกับจวินอู๋เย่า การแยกจากกันนี้ไม่เหมือนกับในอดีต

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจวินอู๋เย่าจะไปที่ไหน จวินอู๋เสียก็รู้ว่าทั้งคู่ยังคงอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน แต่ครั้งนี้จวินอู๋เย่าอยู่ในสามโลกเบื้องล่าง ขณะที่นางอยู่ในสามโลกชั้นกลาง

“ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาอาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” จวินอู๋เสียกระซิบกับตัวเองแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความลึกลับที่นางเผชิญอยู่เลยทำให้นางนึกถึงจวินอู๋เย่าผู้รอบรู้ หรือเป็นเพราะนางคิดถึงเขาจริงๆ

เยี่ยซาที่อยู่ในเงามืดมองจวินอู๋เสียที่ทำท่าทางเช่นนั้นแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ตรงข้ามกับเยี่ยกูที่ไม่เข้าใจสถานการณ์และได้แต่งง

ขณะที่จวินอู๋เสียกำลังจมอยู่ในความคิด ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของนาง

จวินอู๋เสียสลายพลังวิญญาณบนตัวทันทีและเอาโอสถวิเศษจากถุงเอกภพออกมากิน

ตอนอยู่สามโลกเบื้องล่าง นางได้ปรุงโอสถวิเศษที่ทำให้สามารถซ่อนระดับพลังวิญญาณของนางเป็นระยะเวลาหนึ่งได้ ลวงให้คนอื่นเห็นว่านางเป็นคนที่มีพลังวิญญาณอ่อนแอ

จวินอู๋เสียไม่คิดที่จะเปิดเผยพลังวิญญาณของนางต่อหน้าคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เมื่องานชุมนุมเทพยุทธ์เริ่มต้นขึ้น นางก็กินโอสถวิเศษนี้เป็นประจำ

จากนั้นจวินอู๋เสียก็เดินไปเปิดประตู

ด้านนอกประตูมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักและเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่

ตอนที่ 1536 สำนักประหลาด (3)

“เจ้าคือจวินอู๋ใช่หรือไม่ ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้ออกจากห้อง บังเอิญข้ามีอาหารอยู่ก็เลยเอามาให้” เด็กสาวน่ารักอ่อนหวานยิ้มตาหยี นางมองจวินอู๋เสียพร้อมกับโบกกล่องอาหารในมือ

จวินอู๋เสียมองเด็กสาวที่จู่ๆ ก็โผล่มาทำตัวเป็นมิตรอย่างเย็นชา จวินอู๋เสียจำได้ว่าเคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อน ดูเหมือนนางจะถูกเลือกโดยตำหนักมารโลหิต ตอนที่พวกเขาเข้ามาในสำนัก นางก็ยืนอยู่กับศิษย์ของตำหนักมารโลหิต

ตำหนักมารโลหิตมีอำนาจเกือบเทียบเท่าตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ โดยที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจเหนือกว่าเล็กน้อย แต่หลังจากสูญเสียผู้อาวุโสไปสองคน ความเหนือกว่าเล็กน้อยนั้นก็โดนตำหนักมารโลหิตตามทัน

ถ้าจะหาตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดสองตำหนักในบรรดาสิบสองตำหนัก ก็มีเพียงตำหนักเปลวเพลิงปีศาจและตำหนักมารโลหิตนี่เท่านั้น

ถ้าจวินอู๋เสียจำไม่ผิด กู่อิ่งจากตอนที่อยู่สำนักศึกษาเฟิงหัวก็เป็นคนที่ตำหนักมารโลหิตส่งมา

ท่าทางเย็นชาของจวินอู๋เสียดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย เพราะรอยยิ้มของเด็กสาวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางพูดต่อด้วยท่าทางสนิทสนมว่า “ดูเหมือนคนจากสำนักธาราเมฆจะไม่มายุ่งกับพวกเราในช่วงนี้นะ ข้าได้ยินว่าจนกว่าทุกคนจะผ่านการทดสอบ เราจะต้องดูแลตัวเองกันไปก่อน บังเอิญว่าข้าอยู่ชั้นเดียวกับเจ้า ห้องตรงข้ามนี้เอง มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้พบกัน ข้าชื่อกู่ซินเยียน อาหารนี่เจ้ารับไว้เถอะ ไม่อย่างนั้นจะหิวเอานะ”

ใบหน้าของกู่ซินเยียนมีเสน่ห์อย่างมาก รอยยิ้มของนางบริสุทธิ์งดงาม ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นมิตรและสนิทใจได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้ทำไม เมื่อจวินอู๋เสียเห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของกู่ซินเยียน นางก็นึกถึงชวีหลิงเย่ว์ในอดีตทันที

ในอดีต ชวีหลิงเย่ว์เคยบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเมื่อนางยิ้ม ราวกับว่านางไม่มีเรื่องกังวลหรือทุกข์ร้อนใดๆ เลย

สายตาของจวินอู๋เสียหยุดอยู่ที่ใบหน้าของกู่ซินเยียนครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตาและพูดเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็น”

กู่ซินเยียนไม่ยอมแพ้ นางพูดว่า “ดูตัวเจ้าสิ ผอมขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้หิวเดี๋ยวก็แย่เอาหรอก สำนักธาราเมฆไม่ใช่สำนักทั่วไป ถ้าเจ้าอยากฝึกอยู่ที่นี่ให้เก่งๆ เจ้าก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง”

ขณะที่พูด กู่ซินเยียนก็ยัดกล่องอาหารใส่มือจวินอู๋เสีย จากนั้นก็ถอยไปสองสามก้าวทันที พร้อมกับโบกมือโดยไม่เปิดโอกาสให้จวินอู๋เสียปฏิเสธ

“เจ้ากินก่อนเถอะ ถ้าไม่พอ ข้าจะเอามาให้อีก ไปล่ะ” พูดจบกู่ซินเยียนก็เดินจากไปโดยไม่หันหน้ากลับมาเลย เด็กหนุ่มที่อยู่กับนางก็เดินตามไปทันที

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาเย็นชา สายตาที่จ้องมองมาตอนจากไปก็ดูไม่เป็นมิตร

จวินอู๋เสียมองกล่องอาหารที่ถูกยัดเยียดใส่มือนาง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โยนมันทิ้งไป นางถือมันเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง

กู่ซินเยียนยังไม่ได้เดินออกไปไกลนัก นางหันหน้ากลับมาเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู และเห็นหน้าห้องของจวินอู๋เสียว่างเปล่า รอยยิ้มฉายแววในดวงตาของนางอย่างไม่รู้ตัว

“ซินเยียน ทำไมเจ้าต้องดีกับหมอนั่นด้วย ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่ได้ตอบสนองความหวังดีของเจ้าเลยสักนิด” เด็กหนุ่มหน้าหล่อพูดพลางขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นมัวเมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาของกู่ซินเยียน

กู่ซินเยียนหันหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มที่กำลังไม่พอใจอย่างมาก

“เขาจะชื่นชมความมีน้ำใจของข้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เฮ่าอวี่ เมื่อไรสมองของเจ้าจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ถ้าเจ้ายังโง่อยู่แบบนี้ ตอนที่อยู่สำนักธาราเมฆนี่ เจ้าก็อยู่ของเจ้า ข้าก็อยู่ของข้า เราสองคนไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกัน” รอยยิ้มบนใบหน้าของกู่ซินเยียนจางหายไป ขณะมองหลินเฮ่าอวี่ด้วยสายตาโกรธเคือง

หลินเฮ่าอวี่อ้าปาก มองกู่ซินเยียนที่มีสีหน้าไม่พอใจ แล้วเขาก็พูดอะไรไม่ออก