ภาค-5 ตอนที่ 32 พ่ายศึกอานเจ๋อ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ต้วนอู๋ตี๋ผู้มีสีหน้าเคร่งขรึม มองทหารต้ายงที่แห่แหนเข้ามาใต้กำแพงเมืองด้วยสายตาเย็นชา เขาสั่งการกำลังพลปกป้องเมืองได้อย่างมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน ภายในเมืองอานเจ๋อเตรียมพร้อมป้องกันเมืองได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งนัก กำลังทหารมีอยู่เพียงพอ ต้วนอู๋ตี๋ก็ป้องกันอย่างเข้มงวดกวดขัน ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ก็มิอาจลดทอนความเหนื่อยล้าในใจเขา

สี่วันแล้ว กำลังทหารของกองทัพต้ายงมากมายนัก พวกเขาผลัดกันบุกตีเมืองเป็นระลอก เว้นช่วงถี่และต่อเนื่อง บุกตีเมืองทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก ต่อให้เขาชำนาญการป้องกันเมืองอีกเท่าใดก็ยากจะยืนหยัดต้านไหว เหนือกำแพงเมือง ลูกศรโปรยปรายดั่งสายฝนไม่หยุดหย่อน เครื่องยิงหิน เครื่องยิงหน้าไม้แทบจะมิเคยหยุดส่งเสียง การกลิ้งท่อนซุง การโยนหิน การราดน้ำมันเดือดกับตะกั่วเหลวทำให้กำแพงเมืองอานเจ๋อทรุดโทรมจนไม่เหลือสภาพเค้าเดิม บางส่วนหลุดล่อนออกมาจนเห็นเนื้อดินเหนียวด้านในกำแพง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมืองอานเจ๋อจะแตกเมื่อใดก็คงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

ต้วนอู๋ตี๋นวดขมับอย่างเหนื่อยล้า หลังจากต้องพิษครั้งก่อน กำลังกายของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก เหน็ดเหนื่อยง่ายดายอย่างยิ่ง ต้วนอู๋ตี๋ฝืนหยัดร่างมองลงไปนอกกำแพงเมือง ใต้ร่มคันใหญ่กลางกองทัพหลวงของต้ายง ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนในชุดเกราะสีทองห่มด้วยผ้าคลุมไหมสีแดงกับบัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานยิ่งนัก ภาพเช่นนี้ทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพเป่ยฮั่นมากยิ่งกว่าการบุกตีเมืองไม่หยุดไม่หย่อนเสียอีก

ต้วนอู๋ตี๋มองด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่งก็โบกธงคำสั่ง กองเรือชิ่นโจวพุ่งออกมาจากประตูเมืองติดแม่น้ำฝั่งตะวันตกของเมืองอานเจ๋อ อ้อมกองกำลังหลักของทัพต้ายงที่กำลังโจมตีอยู่ทางทิศใต้ สายของเครื่องยิงหน้าไม้ส่งเสียงดังขึ้นหนึ่งระลอก กองทัพต้ายงที่กำลังโจมตีเมืองเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว พวกเขายกโล่ขึ้นกำบังห่าลูกศรที่ร่วงลงมา

ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ กองกำลังที่บุกตีเมืองอยู่ก็อ่อนแรงลง เมืองอานเจ๋อโจมตีโต้จนกองทัพที่โหมบุกระลอกนี้ของกองทัพต้ายงถอยไปสำเร็จอีกครั้ง เมื่อเรือรบของกองเรือต้ายงปรากฏตัวขึ้นก็มิอาจขัดขวางกองเรือเป่ยฮั่นจากการถอยหนีได้แล้ว ตอนกองเรือเจ๋อโจวมาถึงครั้งแรกเมื่อวาน ต้วนอู๋ตี๋เคยใช้เครื่องยิงหินจมเรือรบต้ายงไปหนึ่งลำ นับจากนั้นเรือรบของกองทัพต้ายงจึงมิกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองริมน้ำของอานเจ๋ออีก

เมื่อกองทัพต้ายงที่โจมตีเมืองชุดนี้ถอยออกไป กองทัพต้ายงอีกกองหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจ แล้วสั่งให้พลทหารที่ปกป้องกำแพงเมืองเริ่มเปลี่ยนกำลังพล พวกเขาทำศึกติดต่อกันมาครึ่งวันแล้ว สมควรให้พวกเขาลงไปพักสักหน่อย ต้วนอู๋ตี๋เงยหน้ามองทิศเหนือ ในใจคิดว่า เหตุใดกองหนุนของแม่ทัพใหญ่ยังมาไม่ถึง แม่ทัพใหญ่บอกว่าขอเพียงข้าป้องกันไว้ได้ห้าวัน ข้าก็หมดหน้าที่แล้ว แต่วันนี้วันที่สี่แล้ว

ขณะที่ในใจเขาหวาดวิตกอยู่นั่นเอง องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ ผู้ส่งสารของแม่ทัพใหญ่เดินทางมาถึงแล้ว ขอให้แม่ทัพทำตามแผนการ” กล่าวจบก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ ต้วนอู๋ตี๋รีบเปิดออกดู อ่านเพียงครู่เดียว หัวใจก็ยินดีเจียนคลั่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันยากจะปกปิด ต้วนอู๋ตี๋ก้มมองกองทัพต้ายงใต้กำแพงเมือง ดวงตาพลันปรากฏจิตสังหารเย็นยะเยือก

ในเวลานี้ข้ากำลังวิตกอยู่นอกกำแพงเมือง เรื่องราวที่ผิดปกติย่อมมีสายสนกลในซ่อนอยู่ ต้วนอู๋ตี๋มิใช่คนโง่เขลา หลงถิงเฟยยิ่งมิใช่คนเบาปัญญา สภาพของอานเจ๋อเป็นเช่นนี้ย่อมมิอาจขวางคมอาวุธของกองทัพเราได้ หากยึดชิ่นหยวนเป็นที่ป้องกัน ต่อให้หนึ่งเดือน หรือสองเดือน กองทัพเราก็คงบุกตีเมืองไม่ได้ ทว่าที่อานเจ๋อ แม้ต้วนอู๋ตี๋จะป้องกันอย่างเข้มแข็งเท่าใด แต่ความสูงกับความหนาของกำแพงเมืองอานเจ๋อไม่เพียงพอให้ยืนหยัดรอกองหนุน เหตุใดพวกเขาจึงยังมิถอยไปอีก

จากอานเจ๋อถึงชิ่นหยวน ระหว่างกลางมีเทือกเขาทอดสลับเรียงราย เนินเขาทอดต่อเป็นแนว หากพวกเขาค่อยๆ ถอยทัพสลับตั้งรับ อาศัยป้อมปราการเหล่านั้นที่มีอยู่คงเพียงพอถ่วงเวลาพวกเราได้หนึ่งเดือน ความจริงแล้วข้าไม่เคยคิดจะใช้อุบายบุกยึดอานเจ๋อ หรือแม้แต่ชิ่นหยวน ที่ตรงนี้มีแต่ต้องอาศัยทหารของกองทัพเราเอากำลังเข้าหักหาญจึงจะสำเร็จ ข้ามองดูอานเจ๋อที่โงนเงนง่อนแง่นแต่ยังยืนหยัดมิล้ม ความกังวลในหัวใจยากจะกดเก็บไว้อีก จึงถามขึ้นมาอย่างอดมิไหว “องค์ชาย ซูชิงมีข่าวการศึกส่งมาแจ้งหรือไม่”

ฉีอ๋องขมวดคิ้วกล่าวว่า “ยังไม่มี แต่เมื่อวานเสบียงรอบที่สองมาถึงแล้ว แล้วยังขนหน้าไม้เสินปี้[1]มาอีกหลายคัน การบุกตีเมืองวันพรุ่งนี้คงได้ใช้”

ข้าพยักหน้าเล็กน้อย สายตาทอดมองไกลออกไป อาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าแสงสลัว ข้าไม่เฝ้าดูการบุกตีเมืองยามกลางคืน หวังว่าวันพรุ่งนี้จะได้เห็นเมืองอานเจ๋อแตก เหตุใดซูชิงจึงยังไม่เคลื่อนไหวกันเล่า ในใจข้าอดคิดถึงความเป็นไปได้ที่ไม่ค่อยดีนักมิได้

ซูชิงสวมเสื้อกับกางเกงสีเหลืองหม่นลอบลัดเลาะมาบนภูเขา หลังจากนางหวนคืนสนามรบ ไม่นานก็พบว่าสถานการณ์ดูผิดปกติเล็กน้อย แม้กองทัพเป่ยฮั่นขวางกองทัพต้ายงไว้ที่อานเจ๋อ แต่ด้านหลังของพวกเขากลับคอยส่งสายลับมาดักสังหารทหารสอดแนมทัพต้ายงที่ฝ่าผ่านแนวป้องกันของอานเจ๋อมา

ซูชิงอาศัยวรยุทธ์ทั้งหมดและความคุ้นเคยกับภูมิประเทศของอานเจ๋อจนแทรกซึมเข้ามาจนถึงแถบนี้สำเร็จ โชคดีที่ชาวบ้านบริเวณนี้ยังเดินทางกันมิขาดสาย ยังอพยพไปชิ่นหยวนไม่หมด ความแปลกพิกลของสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ซูชิงละทิ้งแผนการยุแยงทำลายขวัญกำลังใจของทหารอานเจ๋อ ถึงอย่างไรหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน อานเจ๋อก็ป้องกันเมืองไว้มิได้อยู่แล้ว หน้าที่ของนางก็คือพยายามสุดกำลังมิให้เรื่องไม่คาดฝันนั่นเกิดขึ้น

นางใช้ท่าร่างอสรพิษพุ่งผ่านเนินเขาน้อยที่ป้องกันแน่นหนาลูกนั้นแล้วอาศัยสีของอาภรณ์ที่กลืนกับดินโคลนและต้นหญ้าแห้งค้นหาจุดที่เหมาะแก่การสอดแนมข่าวพบในที่สุด ด้านหลังเขาลูกน้อยคือแม่น้ำชิ่นสุยที่ไหลผ่านชิ่นโจว ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงพลันฉายแววตกตะลึง

นางได้เห็นสิ่งที่อยากตามหาแล้ว มันคือเขื่อนแห่งหนึ่ง ด้านล่างไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ด้านบนกลับมีประตูน้ำที่เปิดปิดได้อยู่จำนวนหนึ่ง น้ำของแม่น้ำชิ่นสุ่ยทะลุผ่านช่องเหล่านี้ไหลลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ด้านข้างของเขื่อนซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำชิ่นสุ่ยคือทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างหลายลี้

ความคิดนานานัปการปรากฏขึ้นในสมองของซูชิง ในความทรงจำของนาง ทะเลสาบแห่งนี้มิได้เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นร่องรอยการใช้ไฟเผารอบบริเวณ นางจึงแน่ใจว่ากองทัพเป่ยฮั่นคงใช้ไฟละลายน้ำแข็งระหว่างช่วงฤดูหนาว หลังจากนั้นขุดจนกลายเป็นทะเลสาบ ใช้ประโยชน์จากยามวสันต์ เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำชิ่นสุ่ยสูงขึ้นเพื่อกักน้ำให้เต็มทะเลสาบ ตัวเขื่อนก็ออกแบบได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อน้ำในทะเลสาบเต็มเขื่อน น้ำของแม่น้ำชิ่นสุ่ยก็จะยังไหลต่อลงไปด้านล่างได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งปลายน้ำย่อมมองไม่ออกแล้วว่าระดับน้ำของแม่น้ำชิ่นสุ่ยเปลี่ยนไป ถึงอย่างไรน้ำหนึ่งทะเลสาบเมื่อเทียบกับน้ำทั้งหมดในแม่น้ำชิ่นสุ่ยก็มิได้มากมายจนเห็นชัดนัก

ทว่าขอเพียงปิดประตูน้ำบนเขื่อนหนึ่งวัน หลังจากนั้นทำลายเขื่อนเสีย อาศัยภูมิประเทศและแรงน้ำย่อมเพียงพอเกิดเป็นกระแสน้ำหลากพัดท่วมกองทัพพันทหารหมื่นอาชา ด้านล่างห่างออกไปยี่สิบลี้คืออานเจ๋อ ที่แห่งนั้นคือสถานที่สู้รบระหว่างกองทัพต้ายงกับเป่ยฮั่น เมื่อน้ำหลากไหลบ่าลงไป กองทัพต้ายงย่อมจมหายหมดสิ้น ส่วนกองทัพเป่ยฮั่นที่มีกำแพงเมืองปกป้องอยู่ย่อมมิเสียหายหนักหนานัก

ซูชิงข่มความตกตะลึงในหัวใจแล้วค่อยๆ ถอยลงจากเขาอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก นางมิอยากเผยร่องรอยในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย นางโชคดีไม่เลวที่เมื่อหลายวันก่อนตรงจุดนี้มิได้มีทหารคุ้มกันแน่นหนานัก ยิ่งยามนี้รบพุ่งวุ่นวาย อีกทั้งที่แห่งนี้กำลังจะได้ใช้งาน จึงไม่มีสายลับเป่ยฮั่นมากนัก พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมุ่งหน้าไปสอดแนมข่าวการศึก หรือไม่ก็ไปกำจัดสายลับที่แฝงอยู่ในหมู่ชาวบ้านอพยพแล้ว

เรื่องนี้นับเป็นความผิดพลาดของเซียวถง ในความคิดของเขา ซูชิงผู้มีฝีมือโดดเด่นในหมู่สายลับต้ายงสมควรถูกกักตัวอยู่ หรืออาจถึงขั้นถูกประหารไปแล้ว สายลับคนอื่นยากนักที่จะฝ่าการป้องกันแน่นหนามาจนถึงที่แห่งนี้ได้

ในที่สุดซูชิงก็กลับออกมาจากที่ซ่อนตัวอย่างปลอดภัย นางคะเนเวลาเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วใช้วิชาทั้งหมดที่มีทะยานไปทางอานเจ๋อ นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แถบนี้มีเหยี่ยวของเป่ยฮั่นอยู่ไม่น้อย พิราบส่งสารย่อมใช้การมิได้ ทหารสอดแนมคนอื่นก็ยากจะส่งข่าวกลับไปได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเร่งเดินทางสุดชีวิต แม้ระยะทางจะสั้นเพียงยี่สิบลี้ แต่เพราะต้องฝ่าการป้องกันอันแน่นหนา ซูชิงจึงมิกล้าวาดหวังว่าจะกลับไปถึงอานเจ๋อได้รวดเร็วนัก นางได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ หวังว่าจะเร่งเดินทางกลับถึงอานเจ๋อได้ก่อนกองทัพเป่ยฮั่นจะลงมือ

[1]หน้าไม้เสินปี้ หน้าไม้ขนาดยาวสามฉื่อสามชุ่น สายหน้าไม้ยาวสองฉื่อห้าชุ่น ยิงได้ไกลที่สุดสามร้อยสี่สิบก้าว