ใต้กำแพงเมืองอานเจ๋อ ฉีอ๋องมองประตูเมืองริมน้ำฝั่งตะวันตกของเมืองอานเจ๋ออย่างเดือดดาล วันนี้กองเรือเป่ยฮั่นออกมาโจมตีหลายครั้งแล้ว เขาเห็นแล้วขัดตาจริงๆ ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว แต่ไม่มีวี่แววว่าจะตีเมืองแตกแม้แต่น้อย ฉีอ๋องอดกลั้นมิไหวจึงตัดสินใจเด็ดขาด ในที่สุดก็ให้กองเรือสองกองที่ทยอยมาถึงอานเจ๋อเป็นฝ่ายรุกโจมตี จะต้องกักกองเรือของเป่ยฮั่นไว้ในเมืองให้จงได้
แต่สิ่งที่มิคาดคิดก็คือ ไม่ว่าอย่างไรกองเรือเป่ยฮั่นก็เป็นกองทัพที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ เมื่อพบกับยุทธวิธีกระหนาบโจมตีหลายทางของกองเรือต้ายงก็ถูกตัดทางถอยจนต้องจำใจล่องขึ้นไปตามลำน้ำเพื่อถอยหนี กองเรือต้ายงที่บรรลุเป้าหมายคร้านจะไล่ตามโจมตีจึงสกัดประตูเมืองริมน้ำของอานเจ๋อไว้ ใช้เครื่องยิงหินกับเครื่องยิงหน้าไม้บนเรือโจมตีใส่กำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของอานเจ๋อ ก้อนหินขนาดยักษ์ก้อนแล้วก้อนเล่าเหวี่ยงขึ้นไปบนกำแพง เครื่องยิงหน้าไม้เครื่องแล้วเครื่องเล่ายิงใส่บนกำแพง ก้อนหินที่โปรยปรายลงมาทำให้ความอหังการของกองทัพที่ปกป้องอานเจ๋อลดน้อยลงทันที
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลทหารทั้งหลายก็ยินดียิ่งนัก จึงทุ่มกำลังบุกตีเมือง บันไดพาดกำแพงและหอรบหลังแล้วหลังเล่าประชิดกำแพงเมือง เริ่มมีเงาร่างสีครามเกือบดำปรากฏขึ้นบนกำแพง หลี่เสี่ยนดีใจยิ่ง ชี้บนกำแพงแล้วกล่าวว่า “หากมิใช่ว่าอานเจ๋อชัยภูมิดี หลังชิดผา ตะวันตกติดแม่น้ำชิ่นสุ่ย พวกเราไหนเลยจะต้องใช้เวลาตีเอาเมืองมากมายเช่นนี้”
ข้ายิ้มน้อยๆ แต่ในใจกลับยิ่งกังวล ง่ายเกินไป ต้วนอู๋ตี๋เป็นผู้ใด ข้าเคยอ่านข่าวสารเกี่ยวกับเขามาก่อน มีเขาบัญชาการ จะปกป้องอานเจ๋อสิบกว่าวันย่อมมิใช่ปัญหา เมื่อวานยามฉีอ๋องกล่าวว่าต้องการตีเมืองให้ได้ภายในวันนี้ ข้าจึงเพียงฟังผ่านหูเท่านั้น ทว่าวันนี้แม้ต้วนอู๋ตี๋จะยังรบอย่างเก่งกาจเช่นเดิม แต่รูปแบบกลับต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ให้ป้องกันเมือง เขาก็เอาแต่ป้องกันเมือง การโจมตีหลายครั้งหลายคราดูไม่เข้าท่า แม้ความผิดพลาดของกองเรือเป่ยฮั่นดูสมเหตุสมผล แต่ก็ค่อนข้างชวนให้คนสงสัยเล็กน้อย
ข้าจับจ้องกำแพงเมืองอานเจ๋อแล้วขบคิดบางสิ่งในใจ หากกองทัพเป่ยฮั่นมีแผนการร้ายอยู่จริง เช่นนั้นสมควรจะลงมืออย่างไร กำลังทหารของเป่ยฮั่นสู้กองทัพเรามิได้ การบุกตีเมืองของกองทัพเราก็ไร้ช่องโหว่ กองทัพศัตรูจะใช้วิธีการใดก็มิอาจทำให้กองทัพเราบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นกระดูกได้ นอกเสียจากว่าจะใช้อัคคีวารีอันไร้เมตตา เมื่อขบคิดถึงตรงนี้หัวใจข้าพลันสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้เหตุไฉนข้าจึงมิเคยคิดถึงจุดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะแต่เดิมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชนะกระมัง
ข้ารีบสั่งให้คนนำแผนที่บริเวณห้าสิบลี้รอบอานเจ๋อมาแล้วพิเคราะห์อย่างละเอียด สายตาจับอยู่บนแม่น้ำชิ่นสุ่ย ภูมิประเทศแถบนี้มีความลาดชันมาก หากกักน้ำไว้ทางต้นน้ำก็อาจใช้น้ำจมกองทัพต้ายงได้จริงๆ แม้คำนวณเวลาแล้ว การก่อสร้างครั้งนี้น่าจะใช้เวลามหาศาล มิอาจทำเสร็จในสิบวันครึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ชิ่นโจวก็ยังเป็นน้ำแข็งอยู่ คิดจะทำเช่นนี้ยากลำบากยิ่งนัก
แต่กองทัพเรากำลังจะบุกตีเป่ยฮั่น ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ ก็ไม่แน่ว่าเป่ยฮั่นจะทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้เหล่านี้มิได้ แม้ในใจพอคาดเดาได้เลาๆ แล้ว แต่ข้าก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปมอย่างห้ามมิได้ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีข้อพิสูจน์ ข้าจะทำให้ฉีอ๋องถอยทัพได้เช่นไร หากเป็นเช่นนี้คงไม่มีทางโน้มน้าวแม่ทัพทั้งหลายได้ แม้แต่ฉีอ๋องเองก็คงเกลี้ยกล่อมไม่ง่าย
ขณะที่ข้ากำลังลังเล อาชาตัวหนึ่งก็ห้อตะบึงฝุ่นฟุ้งมาแต่ไกล คนบนหลังม้าถือธงแจ้งข่าวด่วนของกองทัพฉีอ๋อง นั่นเป็นสัญลักษณ์ที่ทหารสอดแนมใช้ ผู้ใดก็มิกล้าขวางทางของพวกเขา กองทัพต้ายงด้านหน้าเดิมทีคิดจะขัดขวาง แต่เมื่อเห็นธงแจ้งข่าวด่วนในมือคนผู้นั้น พวกเขาต่างก็หลบทางจนหมด คนผู้นั้นทะยานอาชาเข้ามายังใจกลางกองทัพ พอลงจากม้ารีบคารวะแล้วแจ้งว่า “องค์ชาย ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ กองทัพเป่ยฮั่นสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ที่หุบเขาเฟยอวิ๋นห่างออกไปยี่สิบลี้ เกรงว่าวันนี้จะปล่อยน้ำลงมา”
แม้ในใจข้าคาดเดาไว้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอุทานอย่างคาดไม่ถึงออกมาคำหนึ่ง ข้าเพ่งมองจึงพบว่าคนผู้นั้นก็คือซูชิง เพียงแต่ยามนี้หน้าตาซีดเซียว เสื้อผ้าขาดวิ่น บนแขนมีบาดแผลที่ใช้เศษผ้าพันไว้อยู่ เห็นชัดว่านางคงเผชิญความยากลำบากแสนสาหัสกว่าจะมาถึงที่นี่
หลี่เสี่ยนได้ยินก็ตกใจยิ่งนัก เขาลุกขึ้นถามทันที “เรื่องจริงหรือ”
ข้ามิรอให้ซูชิงกล่าวตอบ แต่ลุกขึ้นเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “องค์ชาย กองทัพเป่ยฮั่นท่าทางผิดปกติ กระหม่อมก็คิดว่าน่าจะเป็นดังนั้น”
หลี่เสี่ยนเป็นคนเด็ดขาด เขามองซูชิงพริบตาหนึ่งแล้วหันไปมองแผนที่ในมือของข้า จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ตอนนี้ไม่ทราบว่าพวกเขาจะปล่อยน้ำลงมาเวลาใด กองทัพเราจะบุ่มบ่ามรีบถอยมิได้ เซวียนซง เจ้าสั่งการแม่ทัพกับพลทหารที่กำลังตีเมืองให้ทยอยถอยทัพมา ข้าจะนำองครักษ์คนสนิทคอยคุมหลัง พวกเจ้าถอนทัพไปสองฝั่งของแม่น้ำชิ่นสุ่ย อย่าได้ชักช้า ให้กองเรือล่องลงไปตามลำน้ำ ยิ่งเร็วยิ่งดี สุยอวิ๋น ท่านมิต้องตามไปกับกองเรือแล้ว ให้ราชองครักษ์หู่จีคุ้มกันท่านไปหลบใกล้ๆ ก่อน”
เวลานี้ข้าไม่มีเวลาสนใจพิธีรีตอง เสี่ยวซุ่นจื่อพยุงข้าขึ้นอาชาศึก ข้ากระซิบว่า “องค์ชายอย่าได้เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย ภายหน้ายังมีงานใหญ่ต้องการให้องค์ชายดูแล ครั้งนี้พวกเรารู้อุบายของกองทัพศัตรูล่วงหน้า แม้จะเสียหายหนักหนาสักหน่อย แต่ก็มิใช่ว่าจะกู้สถานการณ์มิได้”
ดวงตาของหลี่เสี่ยนทอประกายเย็นยะเยือก ตอบว่า “ท่านวางใจเถิด ข้ามิใช่คนไม่รู้จักหนักเบา ไม่มีทางยอมตายง่ายๆ แน่ ท่านไปก่อนเถิด รอกองทัพเริ่มถอนทัพแล้ว ข้าจะออกมาทันที หากยามนี้ถอนทัพเร็วเกินไป ข้ากังวลว่าจะทำให้เหล่าทหารเสียขวัญ แม่ทัพซู ท่านรู้จักภูมิประเทศที่นี่ คุ้มกันใต้เท้าเจียงหนีไป เมื่อน้ำลดจะได้กลับมารวมกับกองทัพหลวงได้อย่างรวดเร็ว”
ซูชิงรีบพยักหน้าแล้วพลิกกายขึ้นอาชาศึก ขบวนคนหนึ่งร้อยกว่าคนของพวกเราผละจากสนามรบอย่างว่องไว แต่เดิมพวกเราก็มิใช่คนของค่ายใหญ่เจ๋อโจว แม้ผละจากไปอย่างกะทันหันก็มิได้ดึงดูดความสนใจของแม่ทัพและนายทหารใต้บัญชามากมายนัก ยามจากไปข้าได้ยินเสียงแตรสัญญาณดังขึ้นจากด้านหลัง คาดว่ากองทัพทั้งหมดของฉีอ๋องคงจะเตรียมถอยทัพแล้ว ในใจภาวนาให้ฉีอ๋องกับแม่ทัพทหารทั้งหลายถอยหนีได้อย่างปลอดภัย เพราะหากพ่ายแพ้ยับเยินที่นี่ ถ้าเช่นนั้นแผนการต่อไปของข้าก็คงมิอาจลงมือทำได้แล้ว
เมื่อข้าออกห่างกำแพงเมืองอานเจ๋อได้เกือบยี่สิบลี้ หูก็พลันได้ยินเสียงระเบิดกัมปนาทราวกับอสนีบาตฟาด ในใจข้าตะโกนลั่นว่า แย่แล้ว กองทัพเป่ยฮั่นต้องปล่อยน้ำลงมาแล้วเป็นแน่ เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ มิรู้ว่าฉีอ๋องจะทันถอยหนีออกมาได้ปลอดภัยหรือไม่ แต่ข้าก็มิมีเวลาสนใจสถานการณ์ทางฝั่งนั้นเช่นกัน ทำได้แต่ปล่อยอาชาห้อตะบึงเต็มกำลัง ผู้ใดจะทราบว่าน้ำนั่นจะซัดมาไกลเท่าใด ยิ่งข้าหนีได้ไกลเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
ในใจข้าสาปแช่งหลงถิงเฟยกับต้วนอู๋ตี๋ ขณะเดียวกันก็สาปแช่งตนเองว่าเหตุใดจึงคิดไม่ถึงว่ากองทัพศัตรูจะใช้น้ำโจมตี ข้าหวดแส้เร่งม้ารีบเดินทาง โชคดีที่หลายวันนี้ข้าฝึกทักษะการขี่ม้าระหว่างอยู่ในค่ายมาบ้าง มิเช่นนั้นยามนี้แม้แต่หนีเอาชีวิตรอดก็คงยากลำบาก
นอกกำแพงเมืองอานเจ๋อเวลานี้กลายเป็นขุมนรกบนดิน น้ำหลากไหลบ่าลงมาตามลำน้ำชิ่นสุย เส้นสีขาวที่แต่เดิมอยู่ตรงขอบฟ้าเส้นนั้น เพียงชั่วครู่ก็เผยโฉมหน้าจริงอันอำมหิต คลื่นแม่น้ำขุ่นคลั่กสูงหลายจั้งโถมมาอย่างเหิมเกริมประหนึ่งสัตว์ร้ายตื่นตระหนก เสียงครืนดั่งเสียงอสนีบาตดังก้องทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนจนแก้วหูของผู้ที่ได้ยินแทบฉีกขาด ทว่าเมื่อเงยหน้ามองกลับเห็นท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก น้ำหลากทรงพลังถึงเพียงนั้น
น้ำหลากกวาดมาจากฝั่งตะวันตกของเมืองอานเจ๋อ พริบตาเดียวก็ล้อมเมืองอานเจ๋อไว้ตรงกลาง แม้ประตูเมืองริมน้ำฝั่งตะวันตกจะปิดสนิทอยู่ก่อน แต่น้ำจากแม่น้ำก็ยังทะลักผ่านประตูเข้าไปในเมือง คลื่นคลั่งโหมซัดทำลายภายในตัวเมือง ต้วนอู๋ตี๋อพยพทหารกับชาวเมืองขึ้นบนที่สูงก่อนแล้ว ทั้งยังจัดการช่องทางระบายน้ำเอาไว้เรียบร้อย ด้วยการขุดรูไว้ด้านในของกำแพงเมือง เหลือดินปิดด้านนอกเอาไว้มิได้เจาะทะลุ ส่วนด้านในใช้เพียงอิฐปิดไว้ เมื่อน้ำหลากไหลผ่าน กำแพงเมืองจึงเกิดรูขนาดใหญ่ทันทีที่น้ำหลากไหลออกไป
แม้จะเป็นเช่นนี้ ต้วนอู๋ตี๋ผู้ยืนอยู่บนป้อมกำแพงเมืองเฝ้าดูน้ำหลากไหลทะลักเข้าเมืองก็ยังคงหวาดวิตกอยู่ในใจ เขาย่อมมิอยากให้ทหารและชาวบ้านทั้งเมืองลงสุสานร่วมกับกองทัพต้ายง ยิ่งไปกว่านั้น มิทราบว่ากองทัพต้ายงรู้ข่าวได้อย่างไรจึงถอยทัพหนีล่วงหน้า หากมิใช่ว่าเขาใช้ไฟสัญญาณแจ้งข่าว เกรงว่าน้ำหลากครั้งนี้คงจมได้เพียงเมืองอานเจ๋อเท่านั้น
กองทัพที่อยู่ภายในเมืองอานเจ๋อมีกำแพงเมืองปกป้องจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่กองทัพต้ายงนอกเมืองเสียหายใหญ่หลวง แม้ทราบข่าวทันกาล ฉีอ๋องออกคำสั่งให้ทหารม้าใช้หนึ่งอาชาบรรทุกสองคนหนีออกไป ทว่ากองทัพต้ายงมีทหารม้านอกกำแพงเมืองอานเจ๋อสี่หมื่น พลทหารเดินเท้าห้าหมื่น แม้หลายวันมานี้จะมีผู้บาดเจ็บอยู่มาก ทั้งทหารม้าก็พยายามช่วยขนกันสุดความสามารถ แต่กระนั้นก็ยังมีกองทัพต้ายงอีกเกือบห้าพันคนที่ได้แต่ต้องถอยทัพด้วยเท้า
สองขาวิ่งเร็วอีกเท่าใดก็เร็วสู้น้ำหลากมิได้ แล้วพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเป็ดบกผู้ว่ายน้ำไม่เป็น ไพร่พลแทบทั้งหมดจึงสูญไปกับน้ำหลาก กองเรือของต้ายงเสียหายหนักหนายิ่งกว่า คลื่นของน้ำหลากจมเรือรบและเรือเสบียงมากกว่าครึ่งหายไปใต้กระแสน้ำ โชคยังดีแม่ทัพและพลทหารบนนั้นมากกว่าครึ่งล้วนว่ายน้ำเก่ง อาศัยทักษะการว่ายน้ำที่เหนือกว่าคนธรรมดาผนวกกับคว้าเกาะไม้กระดานเรือที่ลอยอยู่กลางน้ำ คนมากกว่าครึ่งจึงหนีเอาชีวิตรอดมาได้ น่าเสียดายก็แต่เรือรบของกองเรือเจ๋อโจวกับเสบียงทั้งหมดของกองทัพต้ายงจมหายไปในชิ่นสุ่ยแทบหมดสิ้น