ปีอู้อิ๋น รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสาม วันที่สิบเจ็ด กองทัพต้ายงบุกอานเจ๋อ ต้วนอู๋ตี๋ยืนหยัดป้องกันเมืองมิถอย เดือนสาม วันที่ยี่สิบเอ็ด หลงถิงเฟยตัดสินใจใช้น้ำจากแม่น้ำชิ่นสุ่ยจมกองทัพต้ายง กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ สายลับเป่ยฮั่นออกค้นหารอบบริเวณสามวัน
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
หลงถิงเฟยยืนอยู่บนกำแพงเมืองอานเจ๋ออันยับเยิน มองดูนครแห่งสายน้ำใต้กำแพงเมืองอย่างเฉยชา สีหน้าของเขาไม่มีความยินดีปรีดาสักน้อย การโจมตีด้วยสายน้ำครั้งนี้ แม้จมกองทหารต้ายงได้นับไม่ถ้วน แต่ก็ทำให้เมืองอานเจ๋อใกล้จะล่มมิล่มแหล่เช่นเดียวกัน สังหารศัตรูได้หนึ่งหมื่น ฝ่ายตนสูญเสียสามพัน หากมิใช่ว่าไร้หนทางให้เลือก ตนจะตัดสินใจเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อนึกถึงว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จมที่นาริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ยไปกี่พันกี่หมื่นหมู่ ประชาชนเป่ยฮั่นเท่าใดต้องอพยพสูญเสียบ้าน หัวใจของหลงถิงเฟยก็เจ็บปวด
ตอนนี้เอง ด้านหลังเขาก็มีเสียงคารวะของต้วนอู๋ตี๋กับแม่ทัพนายอื่น หลงถิงเฟยไม่ต้องการให้ความว้าวุ่นในใจส่งผลถึงแม่ทัพทั้งหลาย จึงผ่อนคลายสีหน้ามากขึ้น แล้วยังฝืนคลี่รอยยิ้มออกมาจางๆ เขาเอ่ยเสียงดังกังวาน “ครั้งนี้กองทัพเราใช้น้ำโจมตีเอาชัยมาได้ แต่กำลังหลักของกองทัพต้ายงยังอยู่ ต่อจากนี้ยังมีศึกอันยากลำบากรออยู่ ทุกท่านอย่าได้หย่อนยาน”
ในที่แห่งนี้ต้วนอู๋ตี๋เป็นแม่ทัพที่ตำแหน่งสูงสุดใต้บัญชาของหลงถิงเฟย จึงเอ่ยนำขึ้นเป็นคนแรก “ท่านแม่ทัพมิต้องกังวล แม้กองทัพต้ายงรักษากำลังส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่กองเรือย่อยยับเกือบหมดสิ้น เส้นทางระหว่างอานเจ๋อกับจี้ซื่อกลายเป็นบึงน้ำ รถม้ายากจะเคลื่อนผ่าน นับจากนี้เส้นทางเสบียงของกองทัพต้ายงแทบจะถูกตัดขาด หากแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายงรู้จักประมาณกำลังตน เขาอาจถอนทัพก็เป็นได้ แผนการนี้ของท่านแม่ทัพปราบศัตรูให้แพ้พ่ายในชั่วพริบตา พวกผู้น้อยนับถือยิ่งนัก”
แม่ทัพทั้งหลายต่างชื่นชมหลงถิงเฟยว่าวางกลศึกได้ดุจเทพ รัศมีแห่งชัยชนะทำให้พวกเขาแต่ละคนหน้าตาเบิกบานแจ่มใส ลืมเลือนแรงกดดันและความทรมานยามกองทัพใหญ่ของต้ายงบุกตีเมืองหลายวันก่อนหน้าไปแทบหมดสิ้น ในใจหลงถิงเฟยทอดถอนใจ แม่ทัพเหล่านี้มากกว่าครึ่งล้วนเป็นพวกกล้าหาญแต่ไร้ปัญญา ยากจะแบกรับงานใหญ่ได้ แต่เขาทำได้เพียงฝืนยิ้มรับคำสรรเสริญของผู้คนทั้งหลาย ถึงอย่างไรเขาก็มิอาจทำให้แม่ทัพทั้งหลายเสียขวัญกำลังใจ
เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ทำศึกต่อเนื่องมาหลายวันลำบากยิ่งนัก งานของกองทัพก็มีมากมาย แม่ทัพทั้งหลายไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ตัวข้าแม่ทัพใหญ่จะฉลองชัยชนะให้แก่ทุกท่าน”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นถอยออกไปอย่างเริงร่า เหลือเพียงหลงถิงเฟยกับต้วนอู๋ตี๋สองคนสนทนากันเป็นการลับอยู่บนกำแพงเมือง องครักษ์คนสนิทของทั้งสองคนต่างรู้จักกาลเทศะออกไปยืนอยู่ห่างๆ สายลมวสันต์หนาวยะเยือกพัดผ่าน ถึงบางครั้งได้ยินคำพูดบางคำ แต่ก็ปล่อยให้ลอยผ่านหูไป
แม้ในใจเศร้าสลดอยู่เล็กน้อย แต่ความจริงแล้วผลการรบเช่นนี้ก็ทำให้หัวใจของหลงถิงเฟยรู้สึกยินดียิ่ง เขาเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “แผนการนี้ข้าวางแผนมานานยิ่งนัก หลังจากเรื่องของสืออิง ข้าก็ให้เซียวถงกวาดล้างจารชนและสายลับต้ายงขนานใหญ่ ควบคุมทิศเหนือของอานเจ๋ออย่างเข้มงวด สายลับของต้ายงคิดว่าข้าโกรธจัดเพราะเรื่องสืออิง แต่มิทราบสักนิดว่าข้าฉวยโอกาสดำเนินแผนการ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนคุณชายสี่ชิวไล่ล่าสังหารร้อยลี้ก็สังหารบุคคลระดับหัวหน้าคนสำคัญของสายลับต้ายงสิ้นชีพไปมากกว่าครึ่ง หลายเดือนมานี้จึงเป็นช่วงที่ความสามารถในการสอดแนมกองทัพเราของต้ายงอ่อนแอที่สุด ข้าจึงอาศัยช่วงที่น้ำจับตัวแข็งสร้างเขื่อน รอให้หิมะละลายกลายเป็นทะเลสาบ ทุกสิ่งเตรียมพร้อมสรรพ จนในที่สุดก็ใช้น้ำจมกองทำต้ายงสำเร็จ
สิ่งที่ทำให้ผู้แซ่หลงยินดีเจียนคลั่งก็คือทัพเรือที่ท่านเจ้าแคว้นฝึกปรือเป็นการลับภายใต้ความช่วยเหลือของราชครูเดินทางมาช่วยรับศึก ระหว่างการรบอันยากลำบากห้าวันที่อานเจ๋อจึงรั้งกำลังหลักของกองเรือต้ายงไว้ใต้กำแพงเมืองอานเจ๋อได้จนกระทำการสำเร็จ
น่าเสียดายกองเรือต้ายงแข็งแกร่งนัก กว่ากองเรือของพวกเราจะหลบเลี่ยงเข้าแม่น้ำสาขาได้ก็ใช้เวลานาน ยิ่งมีภูเขาขวางกั้น การจะควบคุมจังหวะปล่อยน้ำก็ยากยิ่ง แต่เดิมข้าตั้งใจว่าจะรอให้กองทัพต้ายงเหนื่อยล้าช่วงปลายยามเว่ย[1]ค่อยปล่อยน้ำ แต่น่าเสียดายมิทราบว่าสุดท้ายถูกกองทัพต้ายงสังเกตพบเงื่อนงำได้เช่นไร โชคยังดีอู๋ตี๋จุดไฟส่งสัญญาณแจ้งได้ทันกาล มิเช่นนั้นเกรงว่าความพยายามคงล้มเหลวในก้าวสุดท้าย”
ต้วนอู๋ตี๋ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็ไม่สบายใจเล็กน้อย เขาอยู่บนกำแพงเมืองอานเจ๋อ มองกองทัพต้ายงจากที่สูง ภาพยามซูชิงทะยานอาชาเข้าไปในกองทัพเพื่อแจ้งข่าวการศึกล้วนอยู่ในสายตาของเขา แม้ระยะห่างไกลอย่างยิ่ง แต่ต้วนอู๋ตี๋มีสายตาเฉียบคมไม่ธรรมดา อีกอย่างเขาทั้งนับถือและรู้สึกผิดต่อซูชิง ดังนั้นเขาจึงจดจำรูปลักษณ์ของนางได้อย่างชัดเจน แม้อยู่ไกลแต่เขาก็ยังมองออกอยู่เลือนราง ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็มิสะดวกจะเอ่ย ถึงอย่างไรตนเองกับซูชิงก็มีความรักแต่หนก่อนกันอยู่ แม้ยามนี้สิ้นบุญคุณตัดสัมพันธ์กันแล้ว แต่ซูชิงสร้างคุณงามความชอบให้แก่ต้ายงมากเท่าใด ตนเองก็เลี่ยงไม่ได้ยิ่งกระอักกระอ่วนเท่านั้น
แม้เขามิอยากปากมาก แต่หลงถิงเฟยก็นึกถึงซูชิงขึ้นมาแล้ว เขาหันกลับมาคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “อู๋ตี๋ แม่นางชิงไต้คนนั้นของเจ้าเป็นวีรสตรีในหมู่อิสตรีโดยแท้ หากนางยังควบคุมสถานการณ์อยู่ในเป่ยฮั่น พวกเราอาจจะปิดบังเรื่องการกักน้ำไว้มิง่ายดายเช่นนี้ แต่นางคงจะอยู่ที่ต้ายงต่อมิได้แล้วเช่นกัน”
ต้วนอู๋ตี๋ตกตะลึงอยู่ในใจ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพไยกล่าวเช่นนี้ ข้ากับซูชิงมิมีเยื่อไยต่อกันอีกต่อไปแล้ว แล้วซูชิงก็ได้รับความไว้วางใจจากต้ายงพอสมควร เหตุใดท่านแม่ทัพจึงกล่าวว่านางมิอาจอยู่ในต้ายงได้อีกแล้วเล่า”
หลงถิงเฟยลอบหัวเราะในใจ พลางคิดในใจว่า ต้วนอู๋ตี๋ผู้นี้ลืมความรักที่มีต่อชิงไต้ผู้นั้นมิลงจริงๆ แต่เขามิได้โกรธเพราะเหตุนี้ เขาทราบจิตใจภักดีต่อเป่ยฮั่นของต้วนอู๋ตี๋ดี อีกฝ่ายยอมปล่อยให้ชื่อเสียงย่อยยับ ละทิ้งความรัก ยังมีสิ่งใดให้คลางแคลงอีก
เขาอมยิ้ม ตอบว่า “หลายวันก่อนตอนคุณชายใหญ่ต้วนมาพบข้าในกองทัพ เขาเล่าเรื่องของซูชิงให้ฟัง แรกเริ่มตอนกองทัพต้ายงกรีฑาทัพเข้าเขตแคว้น เขาอยู่ทางใต้ของจี้ซื่อจึงได้เห็นกองเรือของเราดักขวางกองเรือของทัพต้ายงบนแม่น้ำชิ่นสุ่ย บังเอิญพบฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋ออยู่ในกองเรือด้วย หากกองเรือของเราโจมตีเต็มกำลังจนสังหารเจียงเจ๋อสำเร็จ กองทัพเราก็คงมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก
คุณชายใหญ่ต้วนเห็นสถานการณ์เป็นดังนั้น จึงไปลอบสังหารแม่ทัพทหารม้าจำนวนหนึ่งของกองหนุนทัพต้ายงที่กำลังมุ่งหน้ามาเพื่อให้กองเรือมีเวลาทำศึกเพิ่มขึ้น ทำให้กองทัพต้ายงสับสนได้พักใหญ่ แต่น่าเสียดายล้มเหลวก้าวสุดท้าย กองเรือสูญเสียรองแม่ทัพที่มีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งไป”
กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าของหลงถิงเฟยก็หม่นหมองเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็กลับมายิ้มอีกครั้ง “คุณชายใหญ่ต้วนเห็นว่าร่องรอยเปิดเผยแล้ว จึงตัดสินใจลอบสังหารคนสำคัญของกองทัพต้ายงสักคน ข้างกายเจียงเจ๋อผู้นั้นมีราชองครักษ์หู่จีมากมายดุจหมู่เมฆ แล้วยังมีเงามารหลี่ซุ่นยอดฝีมือเช่นนั้นอารักขา เขาจึงหมายตาแม่ทัพซู ซูชิง
ยามนั้นซูชิงอาจจะถูกเจียงเจ๋อเรียกมาพบ หลังจากกองเรือฝั่งเราถอยหนี เจียงเจ๋อน่าจะทราบเรื่องที่แม่ทัพของกองทัพต้ายงถูกลอบสังหารแล้ว จึงตั้งใจจะส่งซูชิงไปแจ้งข่าวแก่ฉีอ๋อง นี่คือสิ่งที่คุณชายใหญ่ต้วนคาดการณ์จากการเคลื่อนไหวของซูชิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจเอาซูชิงเป็นเป้าหมายการลอบสังหาร ซูชิงอยู่ที่เป่ยฮั่นมานานปี ทราบข่าวทางการทหารกับภูมิประเทศเป็นอย่างดี หากสังหารนางย่อมมีค่ามากที่สุด
น่าเสียดายเจียงเจ๋อผู้นั้นคาดคะเนเรื่องราวได้ดั่งเทพ เขาวางแผนดักซุ่ม ทำให้คุณชายใหญ่ที่ไล่ล่าสังหารซูชิงตกอยู่ในวงล้อม ทว่าคุณชายใหญ่วรยุทธ์สูงส่ง เขาจึงหนีรอดออกมาได้ นับว่าทำให้เจียงเจ๋อเสียหน้าได้ครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นคุณชายใหญ่ยังพบเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือวรยุทธ์และวิชากระบี่ของซูชิงผู้นั้นกลับเป็นวิชาที่ถ่ายทอดมาจากสำนักเฟิงอี้ คุณชายสี่ชิวคงมิคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาและวิชากระบี่ของสำนักเฟิงอี้นักจึงไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้
หากก่อนหน้านี้ข้าทราบเรื่องนี้ บางทีอาจใช้อุบายให้ซูชิงเป็นไส้ศึก แต่ยามนั้นเพื่อหนีเอาชีวิตรอด คุณชายใหญ่จึงเปิดโปงเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คน ฮ่า นั่นน่าสนุกยิ่งจริงๆ แม้คุณชายใหญ่มิได้อยู่ดูว่าหลังจากนั้นเรื่องราวเป็นเช่นไร แต่ทหารสอดแนมที่อยู่ในหมู่ชาวบ้านอพยพของกองทัพเรามีอยู่คนสองคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ พวกเขาเห็นซูชิงหมดสติถูกส่งขึ้นเรือของเจียงเจ๋อกับตาตนเอง
เหอะ เจียงเจ๋อผู้นั้นเป็นถึงคนสนิทของจักพรรรดิต้ายง เขาย่อมสาบานมิขออยู่ร่วมฟ้ากับสำนักเฟิงอี้ หลังจากสำนักเฟิงอี้ล่มสลาย ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับสำนักเฟิงอี้ทุกคนล้วนถูกหางเลขไปด้วย แม้ในกองทัพต้ายงจะผ่อนคลายกว่าอยู่บ้าง แต่รูปโฉมและความสามารถของซูชิงผู้นั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง นางย่อมต้องเป็นหนึ่งในคนสำคัญของสำนักเฟิงอี้ เวลานี้สำนักเฟิงอี้เป็นดั่งสิ่งต้องห้ามร้ายแรงที่สุดในต้ายง เกรงว่าอนาคตของซูชิงผู้นั้นคงจบสิ้นแล้ว ต่อให้เห็นแก่ความดีความชอบในอดีตของนางก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งในกองทัพ
ความจริงข้าก็เห็นใจแม่นางซูอยู่พอสมควร เพื่อชำระแค้นของตระกูล นางจึงทรยศเป่ยฮั่น ยามนี้ตัวตนถูกเปิดเผย นางจึงกลายเป็นคนทรยศของต้ายงด้วย มิว่ารุกหรือถอยล้วนยากลำบาก บางทีอาจมีโอกาสกลับใจก็เป็นได้ หากอู๋ตี๋มีโอกาสพบสตรีนางนี้อีกหน มิสู้ลองออกปากชักชวนดู หากนางกลับมาสวามิภักดิ์ต่อเป่ยฮั่นอีกหน ขอเพียงนางช่วยข้ากำจัดเครือข่ายสายลับของต้ายงในเป่ยฮั่นได้ ข้าจะละเว้นความผิดก่อนหน้านี้ของนางก็ย่อมได้”
[1]ยามเว่ย 13.00-15.00 น.