บทที่ 777 ความหมายของการบำเพ็ญ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 777 ความหมายของการบำเพ็ญ

‘ทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนสักหน่อยแล้วกัน’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วครุ่นคิด หากบรรพชนมารลู่หยวนเป็นอาจารย์ของหานทั่ว จะไม่เป็นการสาปแช่งคนกันเองตายหรอกหรือ

หานเจวี๋ยเข้าฝันหานทั่วโดยตรง

แดนความฝันคือภูมิประเทศที่มีขุนเขาสายธารงดงาม

หานเจวี๋ยพบว่าหานทั่วเปลี่ยนไป

นอกจากกล้ามเนื้อกระดูกที่แข็งแกร่งกำยำยิ่งขึ้นแล้ว ใบหน้าก็ดูผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เส้นผมขาวหงอกทั่วหัวถูกเส้นเอ็นสีเลือดเส้นหนึ่งรวบไว้ที่ท้ายทอย บริเวณหน้าผากเหลือไรผมเพียงสองปอยเท่านั้น

ดูเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้หานทั่วจะได้รับความลำบากไม่น้อยเลย

เดิมทีหานเจวี๋ยคิดจะซักถามเขาว่าเหตุใดถึงทำร้ายจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย แต่พอเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ ก็อดใจอ่อนไม่ได้

คาดว่าเขาคงจะมีเหตุผลจำเป็นเช่นกัน

หานทั่วลืมตาขึ้นทันที หลังจากมองเห็นหานเจวี๋ย เขาตะลึงงัน รีบลุกขึ้นทำความเคารพ เพียงแต่มิได้ตื่นเต้นมากเท่าในอดีตแล้ว บุคลิกดูสุขุมขึ้นยิ่งนัก

เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

หานทั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังคงบอกเล่าสิ่งที่ตนประสบพบพานไปตามจริง เริ่มตั้งแต่เรื่องที่ตนถูกขังไว้ในหุบเหวไร้ขอบเขต จากนั้นก็ถูกทำให้ยอมสยบต่อบรรพชนมารลู่หยวน รวมถึงเรื่องราวในระยะนี้ที่ติดตามบรรพชนมารลู่หยวนตระเวนไปทั่วฟ้าบุพกาล คิดหาทางช่วยเหลือฟื้นฟูสังขารดั้งเดิมให้บรรพชนมารลู่หยวน

หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางถาม “บรรพชนมารตนนี้ยังไม่ฟื้นฟูกลับสู่ร่างจริงเช่นนั้นหรือ”

หานทั่วพยักหน้ารับ “สังขารของเขาถูกผานกู่ทำลายล้าง อีกทั้งดวงวิญญาณของเขาถูกบรรพชนเต๋าสะกดไว้ในแดนบรรพกาลมาเนิ่นนานหลายยุคหลายสมัย จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูพลัง”

เขาอึกอักลังเล ดวงตาฉายแววกังวล

หานเจวี๋ยถาม “เจ้าอยากพูดอะไร”

หานทั่วสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าทำร้ายจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย มิได้มีเจตนาจะโจมตี แต่เขาและโจวฝานคิดจะบังคับพาข้าและอี๋เทียนกลับไป ข้าละอายใจต่อฝ่าบาท แต่ข้าอยากลองติดตามบรรพชนมารดู หวังว่าท่านพ่อจะอภัยให้ข้าด้วย”

เขาทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างหานเจวี๋ยและจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย ดังนั้นถึงได้เป็นกังวล

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงอยากติดตามบรรพชนมาร”

หานทั่วเงยหน้ามองหานเจวี๋ย แววตาเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง กล่าวออกมาว่า “ค้นหาความหมายในการมีตัวตนอยู่ของข้า ข้าติดตามฝ่าบาท ทำศึกอยู่ตลอด สังหารเข่นฆ่าไปนับไม่ถ้วน ถึงแม้วังสวรรค์จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้ากลับหาความหมายในการมีอยู่ของตนไม่พบเลย หากติดตามบรรพชนมาร บางทีอาจจะหาพบ”

หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย

ค้นหาความหมายอย่างนั้นหรือ

คงต้องโดนสักหมัดแล้วกระมัง!

การมีชีวิตอยู่รอดต่อไปคือความหมายอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว!

แต่เมื่อหานเจวี๋ยเห็นแววตาของหานทั่ว ก็ไม่ดีหากตำหนิออกไปตรงๆ

มนุษย์เรามีปณิธานต่างกันไป เส้นทางที่หานเจวี๋ยเลือกเดินในอดีตก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจเช่นกัน คนรอบตัวล้วนคิดว่าเขาใจฝ่อกลัวปัญหา แต่เขาใช้พลังอันแข็งแกร่งพิสูจน์แล้วว่าตัวเองเลือกถูก

อย่างน้อยหานเจวี๋ยก็เด็ดเดี่ยวยิ่งนักมาตั้งแต่แรกเริ่ม

หานทั่วผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ หกอารมณ์เจ็ดปรารถนาล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จในจุดสูงสุด ความสิ้นหวังท้อแท้จนแทบจะพังทลายล้วนประสบพบพานมาหมดแล้ว ด้วยระดับที่เขาบรรลุถึงหาผู้ต่อกรได้ยากยิ่งนัก ทำให้เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นได้ง่ายจริงๆ

หานเจวี๋ยถามเขา “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดบรรพชนมารถึงต้องการเจ้า”

หานทั่วก็มิได้ปิดบัง

เมื่อทราบว่าบรรพชนมารคิดจะเริ่มต้นวงจรฟ้าบุพกาลใหม่ หานเจวี๋ยก็มิได้ตื่นตระหนก กลับรู้สึกนึกสนุกอยู่บ้าง

กลุ่มอิทธิพลมิ่ง เผ่าเทพมาร บรรพชนมารรวมถึงเหล่าดวงจิตมหามรรค เริ่มมีกลุ่มอิทธิพลออกมาโลดแล่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองของหานเจวี๋ยกลับเป็นเรื่องน่ายินดี ยิ่งฟ้าบุพกาลปั่นป่วนวุ่นวายเท่าไร ฐานะของเขาก็ยิ่งถูกเปิดโปงได้ยากขึ้นเท่านั้น

หานทั่วนำแผนการของบรรพชนมารออกมาเล่าได้ แปลว่าบรรพชนมารไม่ได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อล้างสมองเขา มิเช่นนั้นเขาต้องเก็บเรื่องของบรรพชนมารเป็นความลับแน่

“เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ เส้นทางนี้จะลำบากยากเข็ญยิ่งนัก และจะเผชิญปัญหามากมาย” หานเจวี๋ยถาม

หานทั่วเอ่ยด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น “ตอนแรกข้าปฏิเสธ แต่ภายหลังบรรพชนมารทำให้ข้ามองเห็นเรื่องราวมากมาย ข้าถึงตัดสินใจว่าจะติดตามเขา หากว่าบรรพชนมารมีตบะมากถึงขั้นที่ทำลายล้างทุกสิ่งได้จริงๆ ถึงเวลานั้นข้าจะให้บรรพชนมารช่วยปกป้องสำนักซ่อนเร้นไว้ หากว่าบรรพชนมารพ่ายแพ้ ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับท่านด้วยตัวเอง จะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนเด็ดขาดขอรับ”

เช่นนี้นับว่าลงทุนมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หานเจวี๋ยล้วนไม่ขาดทุนเลย

ชั่วชีวิตนี้ของหานทั่วสูญเสียคนไปมากมายเหลือเกิน ญาติที่เหลืออยู่มีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้น ส่วนหานเจวี๋ยก็แข็งแกร่งเกินไป เขาไม่มีความสามารถพอจะทดแทนพระคุณหานเจวี๋ยได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ติดตามบรรพชนมาร ช่วยแย่งชิงหนทางรอดเสี้ยวหนึ่งให้หานเจวี๋ยจะดีกว่า

หานเจวี๋ยเงียบไป เขาสัมผัสได้ถึงความจริงจังตั้งใจของหานทั่ว

เพียงแต่ไอ้ลูกคนนี้ดูแคลนข้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!

หานทั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่ว “ถึงแม้ท่านจะปกป้องข้ามาโดยตลอด แต่ความจริงแล้วในใจท่านไม่ได้ตั้งความหวังในตัวข้าเลย”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากไม่ตั้งความหวัง เหตุใดต้องช่วยเหลือเจ้าเล่า”

หานทั่วกล่าวว่า “เพียงเพราะข้าคือบุตรชายของท่าน ความคาดหวังที่ข้าเอ่ยถึงมิได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็เหมือนกับท่านที่คอยดูแลปกป้องคนมากมาย ที่เพียรบำเพ็ญมาโดยตลอด เพียงเพราะไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไว้ใจเพียงตนเองใช่หรือไม่ ในใจท่านไม่เคยคาดหวังเลยว่าผู้อื่นจะให้ความช่วยเหลือท่านได้ ท่านเชื่อมั่นว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่สามารถปกป้องตัวเองได้”

หานเจวี๋ยเงียบไปอีกครั้ง

ต้องกล่าวเลยว่า ลูกคนนี้นับว่ามองเขาได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง

หานเจวี๋ยไม่เคยคาดหวังในตัวใครหน้าไหนมากเกินไปเลยจริงๆ เขาชุบเลี้ยงกองทัพเทพมาร ด้วยหวังเพียงว่าในอนาคตจะช่วยลดปัญหาความยุ่งยากให้เขาได้ เขาไม่เคยตั้งความหวังเลยว่าสำนักซ่อนเร้นและกองทัพเทพมารจะให้ความช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาเผชิญกับวิกฤต

เนื่องจากเขาไม่มีทางปล่อยให้ตนตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนั้น

นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังคงปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด

“ท่านพ่อ ให้ลูกลองดูเถิดขอรับ”

หานทั่วจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

รูปลักษณ์ของทั้งสองสมเป็นพ่อลูกกันจริงๆ เพียงแต่หานทั่วดูผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนมากกว่า

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ได้ ข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่หากว่าบรรพชนมารกล้าคุกคามข้า ข้าไม่มีทางปรานีเขา หวังว่าพอถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่ช่วยขอร้องแทนเขา”

หานทั่วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจะขอความเมตตาให้เขาทำไมกัน ข้าทำเพื่อตัวเองเท่านั้น หาได้มีความประทับใจในตัวเขาไม่”

หานเจวี๋ยเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วสลายแดนความฝันลง

“หากเผชิญสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตจริงๆ เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”

….

บนแผ่นดินรกร้างผืนหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นท้องนภาที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

หานทั่วนั่งสมาธิอยู่บนเนินเขา เขาลืมตาขึ้น ในใจมีทั้งความตื้นตันและขมขื่น “ท่านยังคงคิดว่าข้าไม่เอาไหนอยู่ดี…”

สายลมเหน็บหนาวเย็นยะเยือกพัดโชยมา เส้นผมขาวหงอกของหานทั่วปลิวไสว

อี๋เทียนเดินเข้ามาในทันใด เขาก็เป็นเช่นเดียวกับหานทั่ว รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด สวมชุดเกราะสีดำดุดัน เส้นผมสีดำงอกยาวจรดตาตุ่ม สีหน้าดุร้าย ต่อให้ไม่อ้าปากพูดก็ทำให้คนรู้สึกว่าเหี้ยมหาญยิ่งนักแล้ว

“กำลังคิดอะไรอยู่ คาดว่าบรรพชนมารคงใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว คนผู้นั้นน่าขยะแขยงเสียจริง กินซากศพของเทพมารฟ้าบุพกาลโบราณเข้าไปได้” อี๋เทียนนั่งลงข้างๆ หานทั่วแล้วเอ่ยขึ้นมา

หานทั่วเอ่ยถาม “อี๋เทียน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าตนฝึกบำเพ็ญไปเพื่อสิ่งใด ใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร”

อี๋เทียนผงะไป ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ย่อมเคยคิดแน่นอน ข้าต้องการกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด! เหมือนฉีเทียนต้าเซิ่งที่เจ้าเคยเล่าไว้!”

หานทั่วเอ่ยเรียบๆ ว่า “แต่สุดท้ายฉีเทียนต้าเซิ่งก็กลายเป็นพุทธะพิชิตชัยไป”

อี๋เทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “นั่นเป็นเพราะเขาพลาดท่าล้มเหลว แต่ข้าจะทำให้สำเร็จ แม้แต่ตถาคตก็ยังต้องคุกเข่าลงเบื้องหน้าข้า!”

หานทั่วมองรอยยิ้มของเขา ใจลอยอยู่บ้าง

อี๋เทียนดูมีความสุขเช่นนี้อยู่ตลอด ไร้เรื่องกังวล

อี๋เทียนรับรู้ถึงอารมณ์ของหานทั่วจึงตบบ่าเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าเอาแต่คิดเรื่องมีไม่มีพวกนี้ทั้งวันเลย ให้ตายอย่างไรตัวเจ้าก็มีบิดาให้พึ่งพาอยู่ เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่มีทางตาย ดังนั้นคิดหาความสุขให้ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”

หานทั่วแย้มยิ้มด่าไปว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร ข้ากำลังใช้ความคิด ใช้ความคิดน่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

อี๋เทียนแสยะยิ้ม “รอให้ผู้เฒ่าแซงหน้าเจ้าได้ก่อนเถอะ จะเหยียบเจ้าไว้ใต้ฝ่าเท้า ทำให้เจ้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะใช้ความคิดด้วยซ้ำ คิดได้เพียงว่าทำอย่างไรถึงจะเหนือกว่าข้า!”

………………………………………………………………