ตอนที่ 211-1 จุดจบ
ทุกคนตกตะลึงที่จีเหล่าฮูหยินโกรธจนขว้างถ้วย ไม่ว่าหลี่ซื่อที่แต่งเข้ามาในตระกูลจีหรือจีซวงที่เกิดและเติบโตในตระกูลจีล้วนไม่เคยเห็นจีเหล่าฮูหยินบันดาลโทสะเท่านี้มาก่อน หน้าอกของจีเหล่าฮูหยินพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง โกรธจนทั้งร่างสั้นเทิ้ม ดวงตาประหนึ่งจะพ่นไฟออกมา หน้าผากมีเส้นเลือดปูดนูน นิ้วมือกำหมัดแน่น เพราะใช้แรงมากเกินไป ข้อนิ้วจึงเริ่มกลายเป็นสีขาว
หรงมามารีบลูบหลังของจีเหล่าฮูหยินแล้วปลอบเสียงเบา “โธ่ พอแล้วๆ ท่านคลายโทสะหน่อยเจ้าค่ะ เรื่องใหญ่หลวงเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่าร่างกายของตัวท่านเอง นายท่านล้มป่วยไปแล้ว หากท่านล้มอีกคน มิเรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ตระกูลแห่งนี้หรือเจ้าคะ”
ผู้ใดก็ล้วนเข้าใจเหตุผล แต่จีเหล่าฮูหยินอายุปูนนี้แล้ว หากจะบอกว่านางไม่ถนอมร่างกายของตนเองย่อมเป็นคำโกหก แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาทำให้อารมณ์ของนางตึงเครียดมากยิ่งนักอยู่แล้ว เมื่อถึงช่วงสำคัญจึงระเบิดออกมาเป็นการโจมตีเข้าที่ศีรษะหนนี้ ตอนนี้จะให้นางสงบได้อย่างไร
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหจนร่างกายย่ำแย่เลย”
ผู้ที่เอ่ยปากพูดคือหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อไม่สะดวกจะเกลือกกลั้วกับน้ำโคลนของเรือนใหญ่ แต่จะยืนอยู่เฉยๆ ก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงได้แต่ประคองแขนของเหล่าฮูหยิน ทำหน้าที่ลูกที่ดี
โชคดีที่หลังจากเฉียวเวยแต่งเข้าบ้านมา นางมักจะบำรุงร่างกายของจีเหล่าฮูหยินอยู่เสมอ หากไม่ใช่เช่นนั้น หนนี้น่ากลัวว่านางคงจ้งเฟิงอีกแล้ว
จีเหล่าฮูหยินสูดหายใจลึกๆ “คิดว่าข้าอยากโมโหรือ พี่ใหญ่ของเจ้าถูกคนทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ จะรอดหรือตายยังไม่แน่ ใจข้าทรมานยิ่งนัก!”
หลี่ซื่อตอบอย่างเศร้าใจ “ท่านแม่พูดถูกต้อง หัวใจของข้ากับนายท่านรองก็ทรมานเช่นเดียวกัน แต่เมื่อครู่ท่านหมอมิได้บอกแล้วหรือเจ้าคะ ว่าพี่ใหญ่ยังไม่ถูกพิษซึมลึก ยังมีหนทางช่วย ท่านต้องทำใจให้สบาย อย่าให้ตอนพี่ใหญ่ฟื้นขึ้นมา ท่านกลับล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคน หากเป็นเช่นนั้น พี่ใหญ่จะรู้สึกผิดมากเพียงใด!”
คำพูดของหลี่ซื่อแตะถูกใจของจีเหล่าฮูหยิน ยังพบทันเวลา ลูกชายจึงยังมีทางรอด สิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมนางได้ในตอนนี้
“ข้า…ข้าโชคดีที่เดินทางไปวัดหนนี้ หากไม่ไปวัด ไม่เสี่ยงเซียมซีแท่งนั้น ข้าก็ยังไม่รู้ว่าในบ้านมีเภทภัยเช่นนี้ซ่อนอยู่!” จีเหล่าฮูหยินไม่สนว่าจะเป็นมุกขจัดมารหรือมุกทดสอบพิษ ในความเห็นของนาง สิ่งที่พระชรามอบให้นางช่วยเหลือนางไว้ นั่นก็คือพระพุทธองค์คุ้มครอง ความจริงใจของนางทำให้พระพุทธองค์ซาบซึ้ง ดังนั้นพระพุทธองค์จึงสำแดงเดช อาศัยมือของพระชราช่วยนางให้หาเภทภัยพบ ช่วยบุตรชายของนางได้
นางหันไปมองสวินหลันผู้ถูกโลหิตแดงฉานอาบครึ่งใบหน้าและเสื้อผ้าทั้งตัว แววตาไม่เหลือความเวทนาสงสารแม้แต่น้อยอีกต่อไป “ตั้งแต่เจ้าเข้ามาในครอบครัวของพวกเรา ข้าปฏิบัติกับเจ้าเช่นไร ลูกชายข้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร เจ้าลืมสิ้นแล้วหรือ พวกเราทั้งครอบครัวดีต่อเจ้าไม่น้อย เจ้าเกิดเรื่องเช่นนั้น ลูกชายข้าก็ยังไม่รังเกียจเจ้า! ยังแต่งเจ้าเข้าบ้านมา! ข้าไม่เห็นด้วย เขาก็คุกเข่าต่อหน้าข้าบอกว่าเขาผิดต่อเจ้า! เขาอยากดูแลเจ้าทั้งชีวิต! เขาทำเพื่อเจ้าเช่นนี้…ทำเพื่อเจ้าเช่นนี้เชียวนะ เหตุใดเจ้าจึงใจเหี้ยมทำร้ายเขาได้ลง”
พอนึกถึงความลำบากหลายปีที่ผ่านมาของบุตรชาย น้ำตาของจีเหล่าฮูหยินก็เอ่อล้น
สวินหลันกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ร่างกายแข็งทื่อประหนึ่งเหล็ก ริมฝีปากสั่นระริก ทว่าสุดท้ายก็มิเอ่ยออกมาสักคำ
จีซวงส่งสายตาให้หลี่ซื่อ สวินซื่อเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ใหญ่ของข้าถึงต้องไม่รังเกียจนาง
หลี่ซื่อลอบส่ายหน้า นางก็ไม่รู้เหมือนกัน
จีซวงริษยา นี่พี่ใหญ่สายเลือดเดียวกันของนางเชียวนะ เหตุใดยังมีเรื่องปิดบังนางอีก
โจวมามาคุกเข่าบนพื้น คลานมาแทบเท้าของจีเหล่าฮูหยิน แล้วกอดเท้าข้างหนึ่งของจีเหล่าฮูหยินไว้ ร่ำไห้น้ำตาไหลพราก “เหล่าฮูหยิน! ฮูหยินถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ! ฮูหยินเป็นภรรยาของนายท่าน จะวางยาพิษนายท่านได้อย่างไร นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่! ขอเหล่าฮูหยินตรวจสอบให้กระจ่างด้วย!”
จีซวงก้าวเข้ามาเตะนางหนึ่งที “เข้าใจผิด ผู้ใดเข้าใจผิด หมอเข้าใจผิดหรือแม่ของข้าเข้าใจผิด เจ้ายัยเฒ่าคนนี้หนก่อนก็เอางูพิษมากัดพี่ใหญ่ของข้า! งูกัดพี่ใหญ่ข้าไม่ตาย หนนี้ก็เปลี่ยนมาใช้ยาพิษอีก! พวกเจ้านายบ่าว ช่างภักดีจริงนะ!”
สองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิดถูกจีซวงจับมาร้อยเข้าด้วยกันเช่นนี้กลับฟังดูมีเหตุผลอยู่นิดๆ แล้ว
จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา หรือว่าหนก่อนที่โจวซื่อซื้องูพิษมาไม่ใช่เพื่อดองเหล้าอะไรหรอก แต่เพราะต้องการจะเอามากัดบุตรชายของนางให้ตาย
บุตรชายนางดวงแข็งจึงได้เฉียวเจิงช่วยกลับมาได้ หากไม่มีเฉียวเจิงเล่า ท่านหมอทั้งหลายไร้หนทาง บุตรชายของนางไยมิใช่เดินทางไปสวรรค์แล้ว
เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความคลางแคลงถูกปลูกขึ้นมาแล้ว ย่อมดิ้นรนงอกเงยสุดชีวิต ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นฝีมือของสวินซื่อหรือไม่ ยามนี้ในสายตาของเหล่าฮูหยิน ล้วนตัดความเกี่ยวข้องกับนางไม่ได้
จีเหล่าฮูหยินตำหนิตนเองอย่างโกรธแค้น ตำหนิตนเองที่มองอุบายชั่วของคนผู้นี้ไม่ออกเร็วกว่านี้ ตอนโจวซื่อใส่ร้ายเฉียวเวย นางยังช่วยพูดแทนสวินซื่อ แล้วยังเกรงว่าเฉียวเวยจะคิดแค้นสวินซื่อ ตั้งใจเรียกเฉียวเวยไปคุยที่ห้องอีก ตอนนี้ดูแล้ว ตนเองช่างโง่เขลานัก!
คนผู้นี้ ตั้งแต่แรกเริ่มก็มีเจตนาไม่ดี!
ตระกูลจีของพวกเขา เลี้ยงหมาป่าตาขาวไว้ตัวหนึ่ง!
เฉียวเวยยืนอย่างเงียบสงบอยู่ด้านข้าง นางมองเห็นสีหน้าทั้งหมดของเหล่าฮูหยิน รู้สถานการณ์ดีจึงไม่ปากมาก
ปี้เอ๋อร์ยืนอยู่หลังร่างนางอย่างระมัดระวัง นางใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนถามว่า “เหล่าฮูหยินเดือดดาลเกินไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ หุนหันพลันแล่นไปหน่อยแล้ว”
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “หากมีคนทำร้ายลูกชายข้าเช่นนี้ เชื่อข้าเถิด ข้าก็คงไม่มีสติไปกว่าเหล่าฮูหยินสักเท่าใดเหมือนกัน”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นางไม่เคยมีลูกมาก่อน ไฉนเลยจะเข้าใจความคิดของคนเป็นแม่ นางเห็นก่อนหน้านี้ตอนเหล่าฮูหยินทราบว่าสวินซื่อคิดหาวิธีแต่งเข้าตระกูลจี จนถึงขั้นมิไยดีแม้ต้องทำลายชีวิตคนหลายชีวิตก็ยังไม่เดือดดาลเช่นนี้ แต่จีซั่งชิงเพิ่งจะถูกพิษเล็กน้อยก็ทนไม่ได้อยากจะไล่ออกไปทันที ชั่วขณะจึงตกตะลึงเล็กน้อย
จริงดังว่า หากมีดไม่บาดถูกมือตนย่อมไม่รู้สึกเจ็บ
โจวมามาร่ำไห้ “สวรรค์เป็นพยาน กูหน่ายนาย! เรื่องหนก่อนเป็นอุบัติเหตุจริงๆ! บ่าวจงรักภักดีต่อนายท่าน! ฮูหยินเองก็ภักดีต่อนายท่านไม่มีทางเป็นอื่น!”
เฉียวเวยเกือบจะหัวเราะแล้ว เกรงว่าบนโลกนี้สวินซื่อจะเป็นคนที่ไม่ภักดีต่อจีซั่งชิงที่สุดแล้ว กินในชาม แต่มองของในหม้อ แล้วของในหม้อนั่นยังเป็นบุตรชายของจีซั่งชิงอีก ความสัมพันธ์น้ำเน่าอันสับสนยุ่งเหยิงนี่ หากไม่ประสบด้วยตนเอง นางก็คงไม่เชื่อจริงๆ
สวินหลันข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัส เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ จิกจนกลางฝ่ามือเป็นแผลเหวอะ
โจวมามาน้ำหูน้ำตาไหลเอ่ยว่า “เหล่าฮูหยิน เรื่องวันนี้มีบางอย่างแปลกๆ! ต้องมีคนวางยาทำร้ายนายท่านแล้วโยนความผิดมาให้ฮูหยินแน่! ท่านใส่ร้ายฮูหยินยังไม่เป็นไร แต่คนร้ายคนนั้นหากยังอยู่ในตระกูลจี ไม่แน่ว่าวันหน้านางอาจลงมือกับนายท่านต่อก็ได้นะเจ้าคะ!”
คำพูดนี้ของนาง ขาดเพียงเอ่ยชื่อแซ่แล้ว
จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่นางอย่างหมดความอดทน “ดี ในเมื่อเจ้าบอว่าถูกผู้อื่นโยนความผิดใส่ ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกข้าซิ คนที่วางยาพิษซั่งชิงที่แท้เป็นผู้ใด”
“เป็น…” สายตาของโจวมามากวาดผ่านเฉียวเวย ทุกคนมองตามสายตาของนางจนหันมาหาเฉียวเวยด้วย
จีเหล่าฮูหยินมุ่นคิ้ว
เฉียวเวยหัวเราะอย่างประหลาดใจ “โจวมามาสงสัยว่าข้าวางยาพิษนายท่านหรือ เหตุใดข้าต้องวางยาพิษพ่อสามีด้วยเล่า ข้าก็บอกแล้ว พ่อสามีดีต่อข้านัก นอกจากเหล่าฮูหยิน พ่อสามีก็คือที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า เขาเกิดเรื่อง คนที่เสียหายหนักที่สุดย่อมเป็นข้าแล้ว”
โจวมามาเถียงข้างๆ คูๆ “ตอนนี้ก็ช่วยกลับมาได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคำนวนไว้หมดแล้ว! ให้นายท่านทรมานเล็กน้อย แต่ไม่ทำร้ายนายท่านถึงชีวิต! หลังเสร็จเรื่อง นายท่านก็ยังจะซาบซึ้งขอบคุณเจ้าที่สะกิดให้เห็นเภทภัย!”
เฉียวเวยตอบอย่างใสซื่อ “เภทภัยหนนี้คนที่สะกิดใจไม่ใช่ข้าเสียหน่อย เหล่าฮูหยินต่างหาก”
โจวมามาสะอึก “สะ สะ…สรุปก็คือเจ้านั่นแหละ! เจ้าคิดจะโยนความผิดให้ฮูหยินของข้า ขับไล่ฮูหยินของข้าออกจากตระกูล! แต่เดิมเจ้าก็เป็นคนที่ไม่เลือกวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายอยู่แล้ว!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย “อ้อ ตอนนี้ไม่บอกว่าข้าวางยาพิษพ่อสามีข้าเพื่อระบายโทสะแล้วหรือ เจ้าวาจาเปลี่ยนไปมาเร็วจริงนะ”
โจวมามาอับอายจนหน้าแดงหูแดง “เจ้า…เจ้า…เจ้าก็คิดจะระบายโทสะด้วย! ทางหนึ่งเจ้าต้องการลงโทษนายท่าน อีกทางหนึ่งก็คิดจะขับไล่ฮูหยินออกจากตระกูล เจ้ายิงทีเดียวได้นกสองตัว เจ้าคิดคำนวนวางแผนมาดีจริงนะ!”
เฉียวเวยถามขึ้นเรียบๆ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองพูดมาซิว่า ข้าวางยาพิษนายท่านได้เช่นไร”
โจวมามาแววตาเป็นประกาย “นั่นต้องถามตัวเจ้าเองแล้ว! เจ้ามาเรือนถงหลายครั้งเช่นนั้น พบกับนายท่านต้องมากมายหลายหน เจ้าใส่อะไรลงในถ้วยของนายท่าน นายท่านก็หนีไม่พ้นแล้ว!”
เฉียวเวยเหล่มองนาง แล้วหันไปมองจีอู๋ซวง “ท่านหมอจี ข้าอยากถามท่านว่า พ่อสามีของข้าเขาถูกพิษมากี่วันแล้ว”
จีอู๋ซวงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ดูจากชีพจรกับร่องรอยของการถูกพิษ ราวสามวัน”
เฉียวเวยผายมือ “แต่สี่วันก่อนข้าออกไปนอกตระกูลจี ข้าก็อยากถามโจวมามาว่าตัวข้าไม่อยู่ที่ตระกูลจี แล้วจะวางยาพิษพ่อสามีของข้าได้เช่นไรเล่า”
โจวมามาเค้นสมอง ผ่านไปครู่หนึ่งก็รีบตวาด “เจ้าไม่อยู่ คนรับใช้ของเจ้าก็อยู่! ไม่แน่เจ้าอาจสั่งให้พวกนางทำ!”
ปี้เอ๋อร์ถลึงตา “ข้าไม่เคยไปเรือนถง!”
ไม่ใช่เพียงปี้เอ๋อร์ คนรับใช้ในบ้านชิงเหลียนไม่ว่าคนใดล้วนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับคนเรือนถง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เหลียนเอ๋อร์อยู่ มักจะแวะไปอยู่บ่อยๆ แต่เหลียนเอ๋อร์ถูกลงโทษขับไล่ออกจากตระกูลจีไปนานแล้ว สาวใช้กับหญิงรับใช้ที่เหลือล้วนไม่สนิทกับคนเรือนถง
อ้อ มีแม่เฒ่าโจวที่เป็นพรรคพวกสมคบกับโจวมามาอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่กี่วันนั้น แม่เฒ่าโจวไม่ได้ออกจากบ้านชิงเหลียนเลยเหมือนกัน ต่อให้อยากใส่ร้ายเฉียวเวยก็ใส่ร้ายไม่ได้
โจวมามาเอ่ยอีกว่า “บาง บางที…อาจจะซื้อตัวสาวใช้ในเรือนถงไว้แล้ว!”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “เรื่องนี้น่าขันแล้วโจวมามา ข้ากับสาวใช้เรือนถงเคยพูดจากันไม่กี่ประโยค ข้าเปิดรับรักษา ทุกคนล้วนวิ่งมาหาข้าให้รักษาให้ นอกจากคนเรือนถงของพวกเจ้า อ้อ เจ้าเคยมาอยู่หนหนึ่ง เมื่อหลายวันก่อน คืนนั้นที่เหล่าฮูหยินทำปิ่นมุกหาย หรือว่าหนนั้นข้าซื้อตัวเจ้าไว้แล้วเล่า โจวมามา”
“เจ้า…” โจวมามาสะอึกบื้อใบ้พูดไม่ออก
หากโจวมามาบอกว่าตนเองถูกเฉียวเวยซื้อตัวไป แล้วทำทุกสิ่งตามคำสั่งของเฉียวเวย ถ้าเช่นนั้นตอนที่รับคำสั่งจากเฉียวเวยให้วางยาพิษทำร้ายนายท่าน เหตุใดนางจึงไม่ฟ้องเฉียวเวยตั้งแต่แรก แต่ช่วยเฉียวเวยทำทุกสิ่งจนสำเร็จ เรื่องนี้ตัวมันเองก็เป็นความผิดที่มิอาจให้อภัยได้เรื่องหนึ่งแล้ว
เฉียวเวยมองสวินหลันผู้สภาพดูไม่ได้อยู่ด้านข้าง ไม่ใช่ว่าแสร้งเป็นดอกบัวขาวเก่งนักหรือ ตอนนี้เหตุใดจึงเป็นใบ้เสียแล้วเล่า ปล่อยให้คนสาดโคลนใส่ตนเอง แต่กลับไม่มีกำลังจะโต้กลับแม้แต่น้อย
โจวมามามองบุปผามุกที่ร่วงตกแตกเป็นสองเสี่ยงบนพื้นดอกนั้น สมองเกิดไหวพริบ ตะโกนออกมาว่า “บุปผามุก….บุปผามุกไม่ใช่ของฮูหยิน! เป็น…เป็นของที่ผู้อื่นมอบให้!”
“ผู้ใด” จีเหล่าฮูหยินถาม
โจวมามามองจีหมิงซิว “เป็น…”
“องค์หญิง” สวินหลันเอ่ยปากขัดคำพูดของโจวมามา “องค์หญิงเป็นคนมอบให้ ข้ากับพี่หว่าน คนละชิ้น”
จีซวงยิ้มอย่างดูแคลน “โจวมามา พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าตายไปเกือบยี่สิบปีแล้ว เจ้าคงไม่บอกว่านางซ่อนยาพิษไว้ในบุปผามุก แล้วมอบให้สวินซื่อ สวินซื่อจะได้มาวางยาพิษพี่ใหญ่ของข้าในวันนี้หรอกกระมัง”
จีอู๋ซวงซ้ำอีกหนึ่งดาบ “ยาพิษชนิดนี้ ผ่านไปหนึ่งปีก็หมดฤทธิ์แล้ว”
ดังนั้นต่อให้องค์หญิงเจาหมิงซ่อนไว้ในบุปผามุก ถึงเป็นเช่นนั้นพิษก็เสื่อมนานแล้ว แต่ผงกล้วยไม้หยกนี่เป็นของสดใหม่ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่มีทางเป็นของที่เจาหมิงใส่เอาไว้
โจวมามาหันไปมองเจ้านายของตนอย่างร้อนรน เรื่องที่ทั้งสองคนอยู่ในศาลาวันนั้น นางเห็นหมดแล้ว นอกจากฮูหยินก็มีแต่นายน้อยที่แตะบุปผามุกดอกนี้ หากไม่ใช่นายน้อยเล่นตุกติก ยังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า ไม่ว่ามุกขจัดมาร ไม่ว่าบุปผามุก ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของคนผู้นั้น! แม้แต่เรื่องที่เฉียวซื่อกลับไปบ้านแม่เมื่อสี่วันก่อนก็คงจะเป็นสิ่งที่วางแผนมาล่วงหน้าแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อกันตัวเองออกอย่างสะอาดหมดจด ไม่เพียงเฉียวซื่อที่ตัดความเกี่ยวพันได้อย่างเกลี้ยงเกลา เฉียวเจิงเองก็ไม่เข้ามายุ่งด้วย มือของพ่อลูกตระกูลเฉียวเรียกได้ว่าขาวสะอาด!
เพียงแต่ว่ารู้เรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะต่อให้แฉนายน้อยออกมาก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ!
นอกประตู สายลมหนาวพัดเย็นเฉียบเป่าแสงเทียนให้ไหววูบ
แสงเงาทอดลงบนใบหน้าอาบโลหิตแดงฉานของสวินหลันจนแลดูน่าสะพรึง นางยกมือขึ้นเช็ดช้าๆ หลังจากนั้นจึงหมุนเรือนกายบอบบาง เดินทีละก้าวไปทางด้านนอก
เฉียวเวยเรียกนางไว้ “พรรคพวกของเจ้าเป็นผู้ใด บางทีข้าควรเปลี่ยนประโยคเสียใหม่ ที่แท้เจ้าเป็นหมากของผู้ใด”
“ข้าไม่ใช่หมากของผู้ใด แล้วข้าก็ไม่มีพรรคพวก” สวินหลันตอบ
ยามนางเอ่ยคำนี้ น้ำเสียงผ่อนคลายผิดจากปกติ ทำให้คนรู้สึกว่านางไม่เหมือนโกหก แต่หากเบื้องหลังนางไม่มีผู้บงการ ทั้งยังไม่มีพรรคพวก นางจะทำเรื่องมากมายเช่นนั้นสำเร็จได้อย่างไรเล่า อย่าบอกเฉียวเวยเชียวว่าการแต่งงานสามหนของนางเป็นฝีมือของอันธพาลในยุทธภพสักคนที่มาตอแยจริงๆ หากเป็นอันธพาลธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากนางแต่งเข้าตระกูลจีก็สมควรสืบหาความเคลื่อนไหวของนางไม่ได้อีกแล้วจึงจะถูก เหตุใดยามตนกับนายท่านหกเริ่มสืบหาหลักฐานความผิดของนาง กลับยังพบคนกลุ่มหนึ่งดักไล่ล่า คนผู้นั้นสืบความเคลื่อนไหวของตระกูลจีได้อย่างสบายๆ หากเขาไม่ใช่คนตระกูลจี สวินหลันก็ย่อมเป็นคนคอยส่งข่าวให้เขา
เฉียวเวยว่าต่อ “ดี เรื่องนี้เจ้าไม่ยอมรับ ถ้าเช่นนั้นสือหลิวกับชุ่ยผิงเล่า อุบัติเหตุของพวกนางสองคน คงไม่ใช่ฝีมือผู้อื่นสินะ”
ร่างกายของสวินซื่อชะงัก
โจวมามาตะโกนเสียงดัง “ข้าเอง! ข้าเอง! ไม่ใช่ฮูหยิน!”
เฉียวเวยหันไปมองโจวมามา “ข้าถามเจ้าแล้วหรือ”
ปี้เอ๋อร์เดินอ้อมเก้าอี้มากดโจวมามาไว้กับพื้น “หากตะโกนอีก ข้าจะฉีกปากของเจ้า!”
สวินหลันยืนอยู่ที่ประตู แสงจันทร์ส่องร่างของนางให้แลดูซูบผอมและบอบบาง
นางไม่เอ่ยคำใด