ตอนที่ 211-2 จุดจบ
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ยาห้าทิวาสราญของข้า เจ้าเป็นคนวางใช่หรือไม่”
ทุกคนมึนงง ชุ่ยผิงกับสือหลิวนั่นแล้วไปเถิด ยาห้าทิวาสราญคืออะไรอีก
จีหมิงซิวมองเงาแผ่นหลังของสวินหลัน แววตาเย็นยะเยือกขึ้นมา
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ครรภ์ของพี่หว่าน เจ้าก็ทำให้แท้งใช่หรือไม่”
ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม สตรีชั่วร้ายคนนี้เคยทำให้หวานหว่านแท้งด้วยหรือ ตั้งแต่เมื่อใด!
เฉียวเวยจ้องนางนิ่งๆ “พวกเรานั่นช่างเถิด พวกเราขวางทางเจ้า แย่งความดีเด่นของเจ้า แต่พี่หว่านทำสิ่งใดให้ นางไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น นางแต่งออกไปแล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องทำเช่นนี้กับนางอีก เพราะนางเกิดมาสูงส่งกว่าเจ้า เพราะนางครอบครองทุกสิ่งที่เจ้าวาดฝัน เจ้าจึงทนเห็นนางมีความสุขไม่ได้ใช่หรือไม่”
สวินหลันยังคงไม่พูดเช่นเดิม นางเพียงประคองท้อง เดินไปยังธรณีประตูอย่างแผ่วเบา เดินไปสองสามก้าว ตอนที่เฉียดผ่านจีหมิงซิว นางก็หยุด “เพราะเหตุใด”
จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่มีเพราะเหตุใด”
“หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเคยมีสักนิดที่…”
คำพูดต่อจากนั้น นางมิได้เอ่ยออกมา
แต่จีหมิงซิวฟังเข้าใจแล้ว สายตาจับจ้องบนใบหน้าที่ถูกโลหิตย้อมจนแดงฉานของนาง แล้วตอบอย่างเย็นชาและไร้เยื่อใย “หากมันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นสักนิด คำตอบคือไม่”
ร่างกายของสวินหลันแข็งทื่อ
จีหมิงซิวเอ่ยย้ำทีละคำ “ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี ยี่สิบปี หรือจะผ่านไปอีกยี่สิบสองปี ข้าก็ยังไม่คิดจะชายตาแลเจ้าเช่นเดิม”
สีหน้างามสมบูรณ์แบบไร้จุดอ่อนให้ติของสวินหลันแตกสลายในพริบตา
นางยันโต๊ะด้านข้าง แผ่นหลังค่อยๆ คุดคู้ลงไป มือซ้ายประคองหน้าท้อง
“ว้าย! นาง…นางตกเลือดแล้ว!” สาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งกรีดร้อง
ทุกคนรีบหันไปมองนาง เห็นว่าใต้กระโปรงของนางมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเป็นดวงๆ อยู่บนพื้น
จีอู๋ซวงรีบก้าวเข้าไปจับข้อมือของนาง สามนิ้วแตะบนจุดชีพจร หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า
เฉียวเวยตกตะลึง สวินซื่อไม่ได้กินหญ้าไป่กูแต่ตั้งครรภ์จริงๆ หรือ ทว่านางกลับโกรธจนไม่เหลือแล้ว ไม่รู้ว่าหมิงซิวพูดอันใดกับนางกันแน่ ทั้งร่างของนางจึงดูราวกับกำลังพังทลาย
โจวมามาผลักปี้เอ๋อร์ออก ร่ำไห้คลานเข้าไปหา “ฮูหยิน!”
จีเหล่าฮูหยินลุกขึ้นยืน นางเคยคิดจะลงโทษสตรีที่ใจกล้าวางยาพิษบุตรชายของนางคนนี้ให้หนัก แต่เวลานี้สวินซื่อถูกความโศกเศร้าแสนสาหัสห้อมล้อม จนทำให้เหล่าฮูหยินนึกถึงตอนที่สวินซื่อมาตระกูลจีครั้งแรก ตอนนางทราบข่าวว่านายท่านสวินจากโลกนี้ไปแล้ว นางก็เคยโศกเศร้าอย่างยิ่ง แต่ก็ยังไม่เท่ากับตอนนี้
แม้แต่จีเหล่าฮูหยินยังรู้สึกสะเทือนใจ
สวินหลันเดินทีละก้าวออกไปด้านนอก ทิ้งรอยเท้าสีเลือดข้างแล้วข้างเล่าไว้บนแผ่นหินที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบ
จีซวงแต่เดิมคิดจะจัดการนางให้หนักๆ สักยก ทว่าพริบตานี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพอแล้ว
สวินหลันยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ สองมือยกขึ้นปิดหน้า น้ำตาไหลรินผ่านซอกนิ้ว
ทุกคนเพียงมองดูแผ่นหลังของนางก็สัมผัสถึงความโศกศัลย์ท่วมท้นจากตัวนาง
ทุกคนนิ่งอึ้ง
รู้จักกันมานานปานนี้ เคยเห็นนางโศกเศร้าเสียใจเท่านี้เมื่อใด
แม้แต่ปี้เอ๋อร์สาวใช้ผู้ชิงชังสวินหลันเข้ากระดูกดำคนนี้ ก็ยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังที่ซึมลึกไปจนถึงกระดูกจากบนตัวสวินหลัน หัวใจเกิดความรู้สึกทนไม่ได้วูบหนึ่ง
จีหมิงซิวมองนางอย่างเฉยชาราวกับมองก้อนหินสักก้อน ไม่มีความเวทนาหรือสงสารเห็นใจแม้แต่น้อย
แม้เฉียวเวยไม่สงสารสวินซื่อ แต่ก็รู้สึกโศกเศร้ากับสวินซื่อ การตกหลุมรักบุรุษเช่นหมิงซิวลิขิตให้ชะตาชีวิตนางคือหายนะ นางใช้สิ้นสารพัดวิธี ไม่ว่าแปลงกายเป็นเทพธิดาก็ดี หรือร่วงหล่นเป็นมารร้ายก็ช่าง ล้วนไม่มีวันทำให้บุรุษคนนี้หวั่นไหวสักนิด
รักแต่มิอาจได้มาครอบครองคือความทุกข์ทรมานที่สุดในโลกหล้าและเป็นเรื่องที่ทำให้คนเป็นบ้าได้มากที่สุด
หมิงซิวจบความยึดติดยี่สบสองปีของนางด้วยมือตนเอง น่ากลัวยิ่งกว่าถือมีดมาฟันหัวใจนางร้อยหน ความเศร้าโศกใดล้วนไม่เท่าความสิ้นหวัง นางไม่เพียงสิ้นหวัง แม้แต่สิ่งที่ยึดมั่นก็พังทลาย ชีวิตของนางไม่มีแสงสว่างอีกต่อไปแล้ว
ม่านรัตติกาลอันหนักอึ้งโถมทับลงบนร่างของสวินหลัน
สวินหลันหมดสติไป
โจวมามาคลานไปข้างตัวนาง อุ้มนางเข้ามาในอ้อมแขน ตะโกนสุดเสียง “ฮูหยิน”
สายฝนห่าใหญ่ตกลงมาอย่างไม่มีลางบอกสักนิด พรมรดเสื้อผ้าของสวินซื่อจนชุ่มโชก ชะล้างคราบโลหิตบนใบหน้าและใต้ร่างของนางออก คราบเลือดรวมกันกลายเป็นสายน้ำ ไหลคดเคี้ยวผ่านมาจากใต้ร่างของนาง
หรงมามายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปลายจมูก ถามเสียงเบา “เหล่าฮูหยิน เรื่องนี้ท่านจะ…” จัดการเช่นไรดีเจ้าคะ
จีเหล่าฮูหยินได้สติกลับมา นางถอนหายใจอย่างไม่พอใจนัก “ช่างเถิด เป็นเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะถือมีดไปเฉือนนางเป็นชิ้นๆ ได้หรือ พาออกไปเถิด ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีกต่อไปแล้ว”
“พาไปที่ใดเจ้าคะ” หรงมามาถาม
จีเหล่าฮูหยินตอบว่า “หาที่ดินในครอบครองของเราสักผืน เอาที่ไกลหน่อยก็พอ อย่าให้นางโผล่มาขัดหูขัดตาอีก” ตอนนั้นที่บิดาของสวินซื่อพาสวินซื่อผู้เป็นกำพร้ามาฝากไว้กับเหล่าไท่เหยีย ก่อนสิ้นใจเหล่าไท่เหยียกำชับไว้ว่าให้ดูแลนางให้ดี เหล่าฮูหยินไม่ต้องการขัดความต้องการของเหล่าไท่เหยีย แต่หากเหล่าไท่เหยียที่อยู่ในปรโลกรับรู้ เขาก็คงยอมให้นางอยู่ก่อความวุ่นวายในตระกูลจีต่อไม่ได้เช่นกัน
“ท่านย่า” จีหมิงซิวเอ่ยปาก “ดีเลวก็เคยเป็นฮูหยินตระกูลจี ส่งไปอยู่ที่อื่น ผู้อื่นถามขึ้นมาจะไม่เหมาะสมนัก”
จีเหล่าฮูหยินคิดครู่เดียวก็เห็นว่ามีเหตุผล จึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นควรทำเช่นไร”
จีหมิงซิวตอบ “นางสมควรตอบแทนบุญคุณของท่านปู่ เฝ้าสุสานแทนท่านย่า แสดงความกตัญญู”
จีซวงกับหลี่ซื่อตาค้างอย่างพร้อมเพรียง อายุน้อยๆ ก็ส่งไปเฝ้าสุสาน นี่อนาถยิ่งกว่าปลงผมบวชชีเสียอีกนะ!
จีเหล่าฮูหยินกลับรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว “บิดาของนางเคยฝากนางไว้กับเหล่าไท่เหยีย แล้วเหล่าไท่เหยียก็มีบุญคุณต่อนางเท่าขุนเขา นับจากวันนี้ไปก็ให้นางไปเฝ้าสุสานของเหล่าไท่เหยียก็แล้วกัน!”
สุสานของตระกูลจีอยู่ไกลถึงที่ดินบรรดาศักดิ์ ห่างจากเมืองหลวงไกลโพ้น แล้วยังมีกองกำลังของตระกูลจีคอยเฝ้าดูแล ต่อให้นางมีปีกก็บินกลับมาเมืองหลวงไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นดูจากสภาพหมดอาลัยตายอยากของนาง เกรงว่าต่อให้ประตูใหญ่เปิดอ้าอยู่ นางก็ก่อเรื่องอะไรไม่ได้อีก
โจวมามาวิงวอน “เหล่าฮูหยิน! เหล่าฮูหยิน บ่าวขอร้องท่าน! อย่าส่งฮูหยินไปเลยนะเจ้าคะ! ฮูหยินทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อตระกูลจีมาตั้งหลายปี! ไม่มีความดีความชอบก็มีความเหนื่อยยาก! ฮูหยินไม่ได้ทำร้ายนายท่าน! เหล่าฮูหยินโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง! โปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย!”
จีเหล่าฮูหยินโบกมือ
หรงมามาเรียกหญิงรับใช้ร่างกำยำพละกำลังมากสองสามคนมาอุดปากโจวมามาแล้วลากสองนายบ่าวออกไป
หลังระเบียงทางเดิน หลิวเกอร์ยืนเท้าเปล่า มองมารดาของตนถูกผู้อื่นลากออกไปอย่างหวาดผวา เขากลัวจนใบหน้าน้อยซีดขาว
เขามุดผ่านช่องสุนัขลอดอันคับแคบออกไป ตามคนเหล่านั้นที่เดินอยู่บนทางเส้นน้อยจากด้านหลังพุ่มดอกไม้ ตามตลอดทางไปจนถึงประตู
โจวมามาดิ้นรนอย่างหนัก พอมาถึงประตูใหญ่ก็ร่วงตกจากไม้กระดาน สถานการณ์วุ่นวายอลหม่าน
หลิวเกอร์ฉวยจังหวะที่วุ่นวายวิ่งออกจากจวน
สวินหลันถูกโยนขึ้นไปบนรถม้าเก่าทรุดโทรมคันหนึ่ง
สารถีสวมเสื้อฟาง แขวนโคมไฟ จากนั้นก็สะบัดแส้เคลื่อนรถม้า
หลิวเกอร์ร้อนรนแล้ว “ท่านแม่!”
ฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำ กลบเสียงของเขา
หลิวเกอร์วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบอย่างบ้าคลั่งด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า บนร่างสวมเพียงชุดนอนตัวบางเพียงตัวเดียว
น้ำตาที่ไหลรินจากหางตาถูกสายฝนชะล้างอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“ท่านแม่!”
“ท่านแม่ ท่านอย่าไป!”
“ท่านแม่ ท่านอย่าทิ้งหลิวเกอร์!”
หลิวเกอร์ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนขณะวิ่งไล่ตามรถม้า แต่รถม้าแล่นเร็วยิ่งนัก เขาใกล้จะไล่ตามไม่ทันแล้ว
“ท่านแม่! โอ้ย”
หลิวเกอร์สะดุดล้มถลาลงไปในแอ่งน้ำ หัวเข่ากับฝ่ามือถลอกปอกเปิก เลือดไหลออกมา แต่เขาไม่สนใจความเจ็บปวด ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจากแอ่งน้ำ ลากเนื้อตัวที่เปียกโชกไล่ตามรถม้าต่อ เท้าเหยียบบนเศษกระเบื้องแหลมคม ชิ้นกระเบื้องปักเข้าไปในเท้าของเขา
เขาย่ำเศษกระเบื้องที่ฝังอยู่ในเนื้อ ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัส ไล่ตามไปทั้งน้ำตา “ท่านแม่… ท่านแม่…ท่านแม่ ท่านรอข้าด้วย… ท่านแม่ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ…ข้าจะไม่ขี้เกียจแล้ว…ข้าจะตั้งใจอ่านหนังสือ…ท่านแม่ ท่านกลับมาสิ…”
สวินหลันเหมือนจะได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นางจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา นางยกแขนอันอ่อนแรงเปิดผ้าม่าน น้ำฝนสาดเข้ามา หนาวจนนางตัวสั่น
“ท่านแม่!”
นั่นเป็นเสียงของหลิวเกอร์
สวินหลันชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นหลิวเกอร์วิ่งกะโผลกกะเผลกฝ่าสายฝนมาหา หัวใจนางราวกับถูกมีดกรีด “หยุดรถ…หยุดรถ!”
สารถีกลับหวดแส้เร่งรถม้าให้เร็วขึ้น
สวินหลันเปิดผ้าม่าน “ข้าบอกให้เจ้าหยุดรถ เจ้าไม่ได้ยินหรือ!”
สารถีเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ เขากวาดสายตามองนางอย่างเฉยชาแล้วยกฝ่ามือตบนางเข้าไปในตัวรถ!
นางกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ศีรษะกระแทกกับหนังรถจนแตกเป็นแผลอีกหนึ่งแห่ง
“ท่านแม่! ท่านแม่ ท่านอย่าไป…”
“ท่านแม่!”
คิดว่าไม่มีจุดอ่อนแล้ว แต่ที่แท้กลับไม่ใช่
สวินหลันฝืนร่างกายอ่อนแรง เปิดผ้าม่านอีกหน
สารถีบอกอย่างหมดความอดทน “รถม้าโคลงเคลง หากนั่งไม่ดี โคลงกระแทกเป็นอันใดไป ข้าไม่สนใจหรอกนะ!”
สวินหลันเกาะผนังรถ หายใจหอบหนัก หลังจากนั้นจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดกระโดดลงไป!
นางกลิ้งกลางสายฝนอันเย็นเฉียบ แผ่นหินเขียวอันแข็งกระด้างแทบจะกระแทกกระดูกซี่โครงของนางหัก
“ท่านแม่!”
หลิวเกอร์เห็นมารดาลงจากรถมาแล้ว ดวงตาก็พลันเป็นประกาย เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
สวินหลันดิ้นรนจะลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าตนเองไม่มีเรี่ยวแรงแหลืออีกแล้ว
“ท่านแม่! ท่านแม่!” ในที่สุดหลิวเกอร์ก็วิ่งมาถึง
สารถีพบว่าคนกระโดดลงไปจริงๆ ก็สบถหยาบคาย รั้งสายบังเหียนหยุดรถม้า แล้วกระโดดลงมาคว้าแขนของสวินหลันเอาไว้
หลิวเกอร์ผลักเขาออก “เจ้าปล่อยแม่ของข้านะ!”
สารถีดึงหลิวเกอร์ออกแล้วโยนสวินหลันขึ้นไปบนรถม้า
หลิวเกอร์ร่ำไห้คร่ำครวญวิ่งไล่ตาม
ทันใดนั้น แขนทรงพลังข้างหนึ่งก็อุ้มเขาขึ้นมา
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตามองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัด เขาร้องไห้โฮ ร่ำไห้หนักกว่าเดิม “พี่ใหญ่…ท่านแม่ไปแล้ว…ท่านรีบเรียกนางกลับมาเร็ว…”
เขาไม่รู้ว่ามารดาของตนไม่ใช่มารดาของพี่ใหญ่
จีหมิงซิวไม่พูดคำใด ใช้ผ้าคลุมห่อตัวเขาไว้อย่างแน่นหนาแล้วอุ้มเขาเดินเข้าตระกูลจี
เขาดิ้นสุดชีวิต น้ำตาหยดลงบนหัวไหล่ของจีหมิงซิว “ข้าจะหาท่านแม่! ข้าจะหาท่านแม่!”
จีหมิงซิวอุ้มเขา ฝีเท้าไม่ช้าลงแต่น้อย
รถม้าค่อยๆ ถูกสายฝนกลืนกลบ เสียงล้อรถห่างไกลออกไปทุกที
หลิวเกอร์มองทิศทางที่รถม้าแล่นจากไป มือนุ่มนิ่มเอื้อมออกมาเหมือนต้องการจะคว้ามารดาเอาไว้
ทว่าเขาไม่มีวันคว้าได้อีกต่อไป