ตอนที่ 212-1 ผู้บงการเบื้องหลัง

จีหมิงซิวอุ้มหลิวเกอร์กลับมายังบ้านชิงเหลียน เฉียวเวยทำแผลให้หลิวเกอร์ อายุน้อยๆ ก็หกล้มจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ น่าสงสารนัก ตอนฆ่าเชื้อเจ้าตัวน้อยร้องไห้จ้า ร้องจนหลังคาบ้านเกือบจะถล่มลงมา

แผลถลอกที่หัวเข่ากับกลางฝ่ามือรักษาค่อนข้างง่าย แต่ฝ่าเท้ากลับหนักหนาอยู่บ้าง ต้องเย็บ

เฉียวเวยดึงเศษกระเบื้องออกมาก่อน จากนั้นใช้สุราฆ่าเชื้อ หลังจากนั้นจึงทาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ชาให้เขาเล็กน้อย สมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ไม่เท่ายาชาหรือยาสลบ ทำได้เพียงลดความรู้สึกที่บาดแผลเท่านั้น

จีหมิงซิวอุ้มหลิวเกอร์ไว้บนตัก หลิวเกอร์เจ็บจนกัดข้อมือของเขา

เขาไม่ขยับ

เฉียวเวยเย็บให้หลิวเกอร์สองเข็ม ทายา พันผ้าพันแผล สุดท้ายก็ให้แม่นมซุนอุ้มเขากลับไปยังเรือนถง จีเหล่าฮูหยินไม่วางใจจึงส่งคนมาอุ้มเขาไปเรือนลั่วเหมย

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังอยู่ที่จวนกั๋วกง เมื่อไม่มีเด็กๆ บ้านชิงเหลียนก็แลดูเงียบเป็นพิเศษ

เฉียวเวยกับจีหมิงซิวนั่งประจันหน้ากัน นางเทยาจินชวงเล็กน้อยทาบนข้อมือของจีหมิงซิวอย่างพิถีพิถัน หลิวเกอร์ดูเหมือนอ่อนแอ แต่กัดคนไม่เบาสักนิด ดูรอยฟันเล็กๆ นี่สิ เกือบจะกัดเนื้อของสามีนางหลุดออกมาเป็นก้อนอยู่แล้ว เดี๋ยวรอเด็กนั่นหายดี ต้องตีก้นสักยก!

จีหมิงซิวมองนาง ขยับยิ้มคล้ายกับไม่ยิ้ม “แรงมืออย่างเจ้า เปลี่ยนให้ปี้เอ๋อร์ตีเถิด ข้ากลัวว่าเจ้าจะฟาดจนคนปลิว”

เฉียวเวยสะอึก อะไรกัน คนผู้นี้มีวิชาอ่านใจหรืออย่างไร เหตุใดนางคิดอะไรเขามองทีเดียวก็มองออก

เฉียวเวยตีหน้าสุขุม “พูดอะไรกัน ตีอะไร”

ยืนกรานไม่ยอมรับว่าตนคิดจะหวดก้นของน้องชายเขาสักยก!

สายตาของจีหมิงซิวจับบนใบหน้าน้อยที่โกรธฮึดฮัดของนาง จากนั้นสีหน้าอ่อนโยนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

เฉียวเวยไม่จำเป็นต้องดูก็สัมผัสได้ว่าสายตาร้อนแรงของเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของตน แล้วนางก็นึกถึงความเย็นชาของเขาตอนอยู่เรือนลั่วเหมย ความเอาใจใส่ที่เขามีให้นางกับลูกมาตลอด ทำให้นางคิดว่าเนื้อแท้เขาเป็นบุรุษอ่อนโยนเอาใจใส่คนหนึ่ง แต่วันนี้ได้เห็นจึงเพิ่งรู้ว่ายามเขาเย็นชาน่ากลัวมากเพียงใด

จีหมิงซิวคล้ายจะมองออกว่านางถอนหายใจ จีหมิงซิวยกมือขึ้นจัดปอยผมของนาง

การกระทำของเขาทำให้เฉียวเวยรู้สึกอบอุ่นใจ นางจึงคิดว่าความจริงเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว มิเช่นนั้นหากเขาปฏิบัติกับสตรีคนอื่นเฉกเช่นเดียวกับนาง นางไม่หึงตายหรอกหรือ

เมื่อคิดอะไรได้ นางก็กล่าวขึ้นว่า “โจวมามาคนนั้น ข้าได้ยินว่าแต่เดิมนางเป็นคนในจวน เหตุไฉนจึงภักดีต่อสวินซื่อปานนี้ นางไม่มีจุดอ่อนใดอยู่ในมือเหล่าไท่ไท่หรือ ตัวอย่างเช่นลูกชาย ลูกสาว สามี”

จีหมิงซิวจึงตอบว่า “โจวมามาไม่ใช่คนเมืองหลวง ครอบครัวประสบภัย ทั้งครอบครัวเหลือเพียงนางคนเดียว นางจึงไหว้วานคนบ้านเดียวกันหางานให้ในเมืองหลวง ต่อมาตระกูลจีขาดคนจึงรับนางเข้ามาในจวน นางมือเท้าคล่องแคล่ว เหล่าไท่ไท่ชอบยิ่งนัก จึงให้นางทำงานอยู่ในเรือนลั่วเหมยครึ่งปี ต่อมาสวินซื่อกลับกูซู เหล่าไท่ไท่เห็นนางเป็นคนทำงานเก่งจึงมอบนางให้สวินซื่อ”

มิน่า แต่เดิมความผูกพันระหว่างโจวมามากับตระกูลจีก็ไม่ลึกซึ้ง อยู่กับสวินซื่อทุกวันคืนมานานหลายปี จึงร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามากกว่า

ถามเรื่องนี้เสร็จ เฉียวเวยก็ไม่พูดต่อแล้ว

ในห้องเงียบสงัด

เรื่องราวหนนี้ความจริงเฉียวเวยไม่ได้เล่าให้เขาฟังทั้งหมด เพียงวางตุ๊กตาคนที่ถูกเข็มแทงไว้บนโต๊ะ ปี้เอ๋อร์บอกเขาว่าโจวมามาพาคนมาค้นจวน ความสามารถอย่างเขาย่อมเดาออกไม่ยากว่าสิ่งที่โจวมามาต้องการค้นหาก็คือตุ๊กตาคนเหล่านั้น

เรือนถงต้องการใส่ร้ายนางว่าเล่นคุณไสยมนต์ดำ นี่เป็นความจริงที่เขาเดาได้

ส่วนเรือนถงเหตุใดจึงทำร้ายนาง รวมถึงก่อนหน้านี้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ นางไม่ได้พูด เขาก็ไม่ได้ถาม

แต่เฉียวเวยรู้สึกได้เลือนรางว่าเขาน่าจะทราบอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นวันนี้ที่เรือนถง ตอนที่นางพูดถึง ‘อดีต’ เหล่านั้นของสวินหลัน หลี่ซื่อกับจีซวงล้วนตกตะลึงกันแทบตาย แต่เหตุใดเขากลับสีหน้านิ่งสนิท

“นี่” เฉียวเวยใช้ปลายเท้าแตะขาเขาเบาๆ “นายท่านหกบอกท่านหมดแล้วใช่หรือไม่”

“อืม” จีหมิงซิวตอบรับ

เฉียวเวยถลึงตา ว่าแล้วเชียว!

น่าจะเดาได้ตั้งนานแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตอนนางไปหานายท่านหกให้สืบข่าว นายท่านหกตอบรับฉับไวเกินไป นายท่านหกมีความสัมพันธ์กับหมิงซิวไม่น้อย แต่กลับไม่ถามนางสักคำว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้จะปรึกษากับหมิงซิวหรือไม่ ตอนนั้นนางรู้สึกเพียงว่ามีตรงไหนไม่ปกติ แต่เพราะรีบร้อนอยากจะหาหลักฐานความผิดของแม่เลี้ยงมากเกินไป จึงมองข้ามความผิดปกติเล็กน้อยนั้นไป

“คงไม่ใช่ว่า…การแปลงโฉมของพวกนายท่านหก อี้เชียนอินเป็นคนช่วยหรอกกระมัง” นางจำได้ว่าวิชาแปลงโฉมของอี้เชียนอินร้ายกาจยิ่งนัก

จีหมิงซิวตอบว่า “เรื่องนั้นไม่ใช่ การแปลงโฉมง่ายๆ ระดับนั้น ยังไม่ต้องให้อี้เชียนอินออกโรง”

ดูสิ ดูๆ แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยระหว่างนั้นก็รู้ทั้งหมด!

ถ้าเช่นนั้นอดีตของสวินซื่อเล่า เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่

เฉียวเวยถาม “ท่านรู้เรื่องระหว่างสวินซื่อกับพวกคุณชายซุนอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่”

“อืม”

เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “ถ้าเช่นนั้นท่านยังจะปล่อยให้นางแต่งเข้ามาในตระกูลจีอีกหรือ ท่านไม่รู้สึกแปลกประหลาดบ้างหรือไร” จีเหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงมองพิรุธไม่ออกก็แล้วไปเถิด แต่ขุนนางใหญ่ตัวร้ายคนนี้ เขาจะมองปัญหาไม่ออกได้เช่นไร

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “เรื่องเหล่านั้น นางไม่ได้ทำ”

เฉียวเวยตะลึง

จีหมิงซิวลูบมือของเฉียวเวย “ยาห้าทิวาสราญของเจ้า นางเป็นคนใส่ นางไม่อยากให้เจ้ามีแรงร่วมหอกับข้า แต่เรื่องที่เจ้าถูกไล่ฆ่าในตรอก ไม่ใช่ฝีมือนาง”

“ท่าน…แม้แต่เรื่องนี้ท่านก็รู้หรือ” เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหรือว่าจีอู๋ซวง คนไหนบอกท่าน”

“เจ้าเดาสิ” จีหมิงซิวจ้องนาง

เฉียวเวยกำหมัดแน่น “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่กำลังแทะสาลี่อยู่ในเรือนสี่ประสานตัวสั่นสะท้าน

“ถ้าหากว่าไม่ใช่นาง แล้วเป็นผู้ใดเล่า” เฉียวเวยมุ่นคิ้ว “คนกลุ่มนั้นที่นายท่านหกพบใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวหเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด”

เฉียวเวยเบ้ปาก “แต่ต่อให้นางไม่ได้ทำเรื่องเหล่านั้น เรื่องที่นางทำกับสือหลิวกับชุ่ยผิง เรื่องที่นางทำกับพี่หว่านก็เลวร้ายมิอาจให้อภัยเหมือนกัน”

จีหมิงซิวพยักหน้า

เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว นางไมได้เป็นคนทำ แล้วที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่เล่า นายท่านหกบอกว่าคนกลุ่มนั้นวรยุทธ์สูงส่ง นางไปหาเรื่องคนที่ร้ายกาจเช่นนั้นได้อย่างไร หรือจะจริงอย่างที่โจวมามาเล่า บนเรือที่นั่งกลับไปกูซู นางบังเอิญช่วยอันธพาลไว้คนหนึ่ง แล้วอันธพาลคนนั้นตอแยนางนับตั้งแต่นั้น แต่อันธพาลคนไหนจะรู้ความเคลื่อนไหวของตระกูลจีกระจ่างดั่งฝ่ามือ แม้แต่เรื่องที่ข้าส่งคนไปสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของนางก็รู้ด้วย”

เฉียวเวยรู้สึกว่าสมองของตนเองมีไม่พอใช้แล้ว!

จีหมิงซิวไม่ตอบ เพียงลูบมือของนางเบาๆ แววตาดำมืด

เฉียวเวยถูกลูบจนจั๊กจี้จึงชักมือกลับ “ข้าคิดแล้วก็โมโห ข้าเหนื่อยแทบเป็นแทบตายหาหลักฐานความผิดของนางออกมา แต่ท่านกลับเอาแต่ชมละครอยู่ด้านข้าง ท่านรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือนางก็ไม่ห้ามข้าให้หยุดเล่า”

จีหมิงซิวจับมือนางขึ้นมาอีกหน เขาสบสายตานางแล้วตอบอย่างจริงจังว่า “บางเรื่อง ข้าพูดไป เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ”

เรื่องนี้ก็ถูก ตอนนั้นนางสงสัยเขากับแม่เลี้ยงสาวปานนั้น หากเขากล้าวิ่งมาบอกนางว่า ‘นี่ เจ้าไม่ต้องสืบแม่เลี้ยงสาวแล้ว นางไม่ได้ส่งคนไปไล่ฆ่าเจ้า แล้วก็ไม่ได้สังหารคุณชายพวกนั้น นางแต่งเข้าตระกูลจีมาเพราะความรู้สึกผลักดัน’ นางคิดว่านางจะต้องแตกหักกับเขา แตกหักกับเขาแน่!

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงคาดเดา นายท่านหกเป็นคนหาหลักฐานพบ ข้าจึงมั่นใจว่าไม่ใช่นาง แต่ต่อให้ไม่ใช่นาง สิ่งอื่นที่นางทำก็มิอาจให้อภัยได้”

คำนี้นางชอบฟัง!

สตรีคนนั้นแต่งงานกับพ่อแล้วยังแอบหมายตาลูกชาย ในหัวมีแต่ความคิดชั่วร้าย ต่อให้เคยถูกคนบีบบังคับก็มิคู่ควรให้สงสาร

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “แล้วก็หากเจ้าไม่ได้สืบเรื่องพวกนี้ เหล่าฮูหยินกับจีหว่านคงไม่เชื่อ หมากตานี้ในวันนี้ย่อมเดินไม่ได้เช่นกัน”

ริมฝีปากของเฉียวเวยยกโค้ง “พูดเช่นนี้ข้าก็เก่งกาจพอตัวสินะ”

จีหมิงซิวยกมุมปาก “นั่นแน่นอน ไม่ดูเสียบ้างว่าภรรยาของผู้ใด”

ช่างไม่เคยลืมอวยตัวเองจริงๆ!

เฉียวเวยอุตส่าห์เบิกบานใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็หน้าบึ้งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ถูกต้องสิ เรื่องหนนี้ นางพูดกับเขาก่อน เขาถึงลงมือ หากนางไม่สารภาพกับเขาตลอดไป เขาก็จะนิ่งดูดายไปตลอดอย่างนั้นหรือ

จีหมิงซิวย่อมไม่มีทางเมินเฉย เมื่อถึงจุดที่เขาจำเป็นต้องลงมือ มิว่านางเอ่ยปากหรือไม่ เขาล้วนไม่มีทางนิ่งเฉย

เฉียวเวยนึกถึงความขุ่นเคืองอันไร้สาเหตุหนนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางไปรับคณะทูตจากหนานฉู่ เขาถามนางว่ามีสิ่งใดต้องการให้เขาจัดการหรือไม่ ตอนนั้นเขารู้แล้วว่าแม่เลี้ยงสาววางยาห้าทิวาสราญใส่นาง จึงรอคอยให้ตนขอกองหนุนจากเขาใช่หรือไม่

“ข้าว่าท่านคนนี้น่ะช่าง…” ประหลาดเสียจริง!

ความจริงจีหมิงซิวก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าตนคิดเช่นไร ด้านหนึ่งหวังจะฝึกฝนนาง ฝึกจนนางเผชิญทุกสิ่งได้ด้วยตัวคนเดียว เช่นนั้นวันใดเขาไม่อยู่แล้ว นางก็ยังคงดูแลตนเองกับลูกได้ แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็หวังว่านางจะพึ่งพิงตนเองให้มากขึ้นสักหน่อย ความรู้สึกที่ย้อนแย้งเช่นนี้ เขาไม่เคยสัมผัสจากตัวผู้อื่น เขาเองก็รู้สึกมึนงงอย่างยิ่งเช่นกัน บางครั้งก็สับสนทำอันใดมิถูก

ความจริงแล้วเฉียวเวยไยมิใช่ว่ารู้สึกกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซูเช่นนี้เหมือนกัน นางเฝ้ามองพวกเขาจากที่ตัวเล็กๆ สิ่งนี้ก็ทำไม่เป็น สิ่งนั้นก็ทำไม่เป็น วิ่งก็วิ่งไม่ไหว กระโดดก็กระโดดไม่ไกล แต่ละวันเฝ้ามองพวกเขาเติบโตขึ้น แต่ระยะนี้วั่งซูเพิ่งกลัดกระดุมเองได้แล้ว หัวใจดวงนี้ของนางกลับไม่สบายใจ

จีหมิงซิวถามอย่างไม่เข้าใจ “กลัดกระดุมได้มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ จิ่งอวิ๋นสวมเสื้อผ้าเองได้ตั้งนานแล้ว”

“ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องดี ข้าก็หวังว่านางจะเก่ง แต่หากนางเก่งแล้ว ไม่เท่ากับว่าไม่มีข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วหรือ หัวใจข้ามีอีกความรู้สึกหนึ่ง นั่นก็คืออยากให้นางทำสิ่งใดไม่เป็นทั้งสิ้น สิ่งใดก็ล้วนต้องพึ่งข้า” เฉียวเวยพูดพลางมองเขาด้วยความจริงจัง “ท่านเอง ก็รู้สึกกับข้าเช่นนี้เหมือนกันสินะ”

จีหมิงซิวครุ่นคิดแล้วพยักหน้า

เฉียวเวยเผยรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ หอมแก้มเขาหนึ่งหน

จีหมิงซิวตกตะลึงเล็กน้อย แล้วก็พบว่ารอยยิ้มในดวงตาของนางคงอยู่เนิ่นนานนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงดีใจเช่นนี้ แต่เขาก็จับมือนาง ดึงนางมานั่งในอ้อมแขนของตน

เสื้อผ้าของเขาบางเบา เขาจึงสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างกายนางที่ถูกกั้นด้วยผ้าเนื้อบาง กลิ่นหอมเย็นไหลเข้ามาในอก เขาค่อยๆ รู้สึกปากคอแห้งผากเล็กน้อย

“ยังเจ็บอยู่หรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร่า

เฉียวเวยหน้าแดง ส่ายหน้าเบาๆ

ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่เจ็บตั้งนานแล้ว

จีหมิงซิวจับสองขาของนางแยกออก ให้นางนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา แล้วมองนางด้วยสายตาคลุมเครืออันมอมเมาผู้คน ความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นแทบจะทำให้นางจมน้ำตาย

เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขา แล้วยังสัมผัสได้ถึงความมเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองด้วย ในใจคิดว่าตนเองคงไม่ได้รีบร้อนเกินไปใช่หรือไม่ บุรุษคนนี้ยังมิทันทำสิ่งใดทั้งสิ้น ตนเองก็รับมือไม่ไหวเสียแล้ว เขาคงไม่คิดว่าตนเองเป็นคนใจร้อนกระมัง

จีหมิงซิวเห็นความเขินอายและความกังวลทั้งหมดของนางอยู่ในสายตา นิ้วมือม้วนเส้นผมของนาง พลางประคองหลังคอเรียวบางของนาง ริมฝีปากแนบลงมาเกือบแนบชิด ขยับอีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะถูกนาง “ได้หรือไม่ เจ้าสำนักเฉียว”

เสียงทุ้มต่ำนี้ไพเราะจนน่าตายนักเชียว เพียงได้ยินก็เกือบท้องแล้ว

ใบหน้าของเฉียวเวยแดงระเรื่อ “โคมไฟ”

จีหมิงซิวซัดฝ่ามือ ดับเปลวเทียนบนโต๊ะ

แสงสว่างในห้องมืดลงในพริบตา

หลังจากนั้นภายในห้องก็ค่อยๆ มีเสียงอันน่าอายดังออกมา

สองสามีภรรยาหวานชื่น แต่ปี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกกลับหนาดำเป็นก้นหม้อ

เยียนเอ๋อร์เดินผ่านมา ถามอย่างเป็นห่วงว่าปี้เอ๋อร์เป็นอันใด มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่

ปี้เอ๋อร์ตอบในใจ ข้าไม่สบายสักตรงนั่นแหละ คิดว่าสองสามีภรรยานั่นทะเลาะกันจริงๆ เสียอีก นางกังวลใจไม่รู้ตั้งมากมายเท่าใด ร้อนใจจนเส้นผมเกือบกลายเป็นสีขาว แต่ดูผลลัพธ์สิ! พวกเขาจงใจเล่นละครให้ผู้อื่นดู แม้แต่นางก็ถูกปิดบังด้วย!

โกรธนักเชียว!

ปี้เอ๋อร์โกรธฮึดฮัดตัดสินใจว่าตลอดทั้งคืนนี้จะไม่สนใจฮูหยินของตนเองแล้ว!

หนึ่งคืนผ่านไป ฟ้าสว่าง ปี้เอ๋อร์ก็ยิ้มตาหยีเดินมาที่ห้องอีกหน

เริงรักหนึ่งค่ำคืน ยามนั้นขาอ่อนจนแทบไม่ไหว ร่างกายสั่นระริกดั่งใบไม้ร่วงท่ามกลางลมหนาว แต่พอหลับหนึ่งตื่นก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งร่างเต็มไปด้วยพละกำลังที่ใช้ไม่หมดสิ้น

เฉียวเวยหยิบเหอเถา[1]ลูกหนึ่งมาบีบเบาๆ เหอเถาแหลกเละในทันใด

หลังรับประทานอาหารเช้า เฉียวเวยก็ไปเรือนลั่วเหมยคารวะจีเหล่าฮูหยิน หลี่ซื่อกับจีซวงล้วนอยู่ด้วย

จีเหล่าฮูหยินจูงมือเฉียวเวยมาเอ่ยว่า “สวินซื่อไปแล้ว ท่านพ่อของเจ้าก็ยังหมดสติ หมอบอกว่าอีกสองสามวันกว่าจะตื่น แต่เรื่องน้อยใหญ่ในจวนแห่งนี้มิอาจไร้คนจัดการ ข้าเรียกอาสะใภ้รองกับท่านอาของเจ้ามาแล้ว ก่อนสิ้นปีให้พวกนางช่วยไปก่อน หลังปีใหม่เซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้ว เจ้าค่อยรับช่วงต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป”

เฉียวเวยรู้จักการเซ่นไหว้บรรพบุรุษอยู่ ขอเพียงเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จ ชื่อของตนก็จะอยู่ในรายนามวงศ์ตระกูลของตระกูลจี นับว่าได้รับการยอมรับจากทั้งตระกูลจีอย่างแท้จริง

เฉียวเวยไม่มีความเห็นประการใดกับการจัดการเช่นนี้ ระยะนี้นางวุ่นวายกับการสู้รบปรบมือกับแม่เลี้ยง เรื่องของตนเองกองทับถมอยู่บนกระบุงโกย กำลังปวดหัวว่าไม่มีจังหวะไปจัดการพวกมันอยู่พอดี ตอนนี้มีหลี่ซื่อกับจีซวงจัดการงานในจวนแทน นางก็หาเวลาไปสะสางเรื่องของตนเองได้แล้ว

จีเหล่าฮูหยินเห็นเฉียวเวยรู้ความเช่นนี้ ในใจก็วางก้อนหินลง “เจ้าก็อย่าอยู่ว่างมากเกินไป มีเวลาว่างก็มาเรียนรู้จากอาสะใภ้กับท่านอาของเจ้าให้มากเข้า ในตระกูลจีตั้งแต่บนจรดล่างมีคนเกือบร้อยชีวิต ที่นากับร้านรวงที่ดูแลอยู่ในมือมีมากมายนับไม่ถ้วน ของบรรณาการที่ส่งมาจากที่ดินศักดินาแต่ละปีก็ล้วนไม่เหมือนกัน เจ้าต้องทำความคุ้นเคยกับแต่ละแห่งเอาไว้”

เฉียวเวยตอบรับอย่างเชื่องฟัง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ขึ้นเขานานแล้ว ไม่ทราบว่าโรงงานฝั่งนั้นทำงานเป็นอย่างไรจึงอยากไปดูสักหน่อย”

จีเหล่าฮูหยินทราบว่าเฉียวเวยมีกิจการของตนเอง ตระกูลระดับพวกเขาตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องให้สตรีโผล่หน้าออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่จะไปขัดขวางความชอบของเด็กน้อยคนนี้ก็ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจนางเถิด แต่งงานเข้ามาตั้งนาน ปล่อยให้นางได้รับความยุติธรรมมากมายถึงเพียงนั้น หากยังจะจำกัดอิสระของนางอีกก็คงไม่ดีนัก

เฉียวเวยได้รับคำอนุญาตก็กลับบ้านชิงเหลียนอย่างดีอกดีใจ “ปี้เอ๋อร์ ถังเช่ากับโสมที่ข้าให้เจ้านำไปให้ท่านพ่อของข้าครั้งก่อน เจ้าเอาไปให้แล้วหรือยัง”

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ยังเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าวันนี้จะส่งไปพร้อมกับชะมดเชียงชิ้นนั้น”

เฉียวเวยพลิกปฏิทิน “ไม่ต้องส่งไปแล้ว ให้ข้าเถอะ”

ปี้เอ๋อร์ประหลาดใจ “เหตุใดเล่า ฮูหยินไม่ขายแล้วหรือ” นั่นคือเงินทั้งนั้นเลยนะ!

เฉียวเวย มองตัวเลขยี่สิบห้าที่ถูกวงอยู่บนปฎิทิน “วันนี้วันเกิดมารดาบุญธรรมของข้า ข้าจะนำกลับไปให้นางบำรุงร่างกาย”

[1]เหอเถอ คือวอลนัท