บทที่ 620 สำนักบัณฑิตเทียนฉง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 620 สำนักบัณฑิตเทียนฉง

หลังจากกู้เจียวขึ้นมาชั้นบนก็กลับห้องพักตัวเอง

เหตุการณ์นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อกู้เจียวเลย นางรอคอยยามไฮ่[1]จะได้จับชีพจรและวัดความดันให้กู้เหยี่ยน ตัวเลขไม่ได้ย่ำแย่ลงมากนัก

จากนั้นนางจึงไปกลับพักผ่อน

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ากลางดึกจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในสถานีพักม้า อย่างการมาเยือนของโจรขโมย

ระหว่างทางพวกนางพบเหตุจี้ปล้นไม่น้อย ทั้งโจรปล้นม้า โจรภูเขา ไม่รู้เจอไปตั้งเท่าใด กู้เจียวชินชาเสียแล้ว ขอแค่ไม่มาล่วงเกินถึงนาง นางก็คร้านจะไปสนใจ

ทหารยามของขุนนางผู้ดูแลสถานีพักม้าเก่งกาจกันไม่น้อย เหล่าโจรปกปิดลมหายใจกันสุดกำลังแล้วก็ยังถูกพวกเขาจับได้อยู่ดี ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือด

แม้จำนวนคนของฝั่งโจรจะได้เปรียบกว่า แต่ในโรงพักม้าไม่ได้มีเพียงทหารยามของทางการเท่านั้น บรรดาลูกค้าก็นำองครักษ์คุ้มกันของตนเองติดตามมาด้วย พวกเขาพบว่าตัวเองถูกโจรกรรรม จึงรีบลงมือจับขโมยทันที

ไปๆ มาๆ การโจรกรรมจึงดุเดือดเลือดพล่านขึ้นมาสุดขีด นึกไม่ถึงว่าจะเริ่มวางเพลิง จับตัวประกันขึ้นมาแล้ว

พวกเขาจงใจบุกเข้าไปในห้องปีกข้างอันเงียบงัน เพราะโดยปกติแล้ว เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นเพียงนี้ คนที่ยังไม่ออกจากห้อง หากไม่ไหลตายไปแล้ว ก็ตกใจจนไม่กล้าออกมา ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเป็นตัวประกันอยู่ดี

โจรคนหนึ่งมือถือดาบใหญ่พุ่งไปทางห้องของกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น แต่ยังไม่ทันถึงหน้าห้อง จู่ๆ ก็ถูกกู้เจียวเร้นกายมาถีบกระเด็นออกไป!

“อ้ากกก”

โจรหวีดร้องไปชนกับเสาด้านหลัง แล้วสลบเหมือดไปทันที

อาจารย์แม่หนานเซียงก็สัมผัสได้ว่ามีคนจะมาลอบทำร้ายกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นเช่นกัน นางจึงดึงประตูเปิดออกมา

เห็นคนถูกกู้เจียวจัดการไปแล้ว ก็ไม่นึกแปลกใจ

กู้เจียวเอ่ยกับนาง “อาจารย์แม่หนานเซียงกลับไปนอนเถิด ข้าเฝ้าเอง”

จากฝีมือของกู้เจียวนั้น โจรแค่กลุ่มเดียวนางจัดการได้สบายๆ อาจารย์แม่หนานเซียงจึงกลับเข้าห้อง

ในลานกว้างการต่อสู้ดุเดือดไม่หยุดพัก นึกไม่ถึงว่าโจรกลุ่มนี้จะยังมีพวกเดียวกันหลบซุ่มอยู่นอกโรงพักม้าอีก คงจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว คนหลายสิบคนจึงรีบวิ่งกรูกันเข้ามา

ฝั่งโรงพักม้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันใด

พวกเขาเห็นพวกขโมยเงินเริ่มจะขโมยม้าขึ้นมาอย่างผิดคาด!

กู้เจียวไม่มีทางให้พวกเขาได้สมดั่งใจ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้จะเอาอะไรไปเมืองเซิ่งตู

กู้เจียวมือหนึ่งจับราวกั้น กระโดดลงจากชั้นสอง ถีบโจรขโมยม้าคนหนึ่งกระเด็น!

นางไม่ไปเข้าร่วมการต่อสู้ที่ลานกว้าง ทำเพียงเฝ้าคอกม้าไว้อย่างสบายอุรา มาคนหนึ่งก็ฟาดไปคนหนึ่ง มาสองคนก็ฟาดคู่

จนสุดท้ายโจรในลานกว้างไม่ได้ถูกกลุ่มคนปราบได้ แต่โจรที่แบ่งกันมาที่คอกม้าแต่ละคนโดนทุบเละเป็นโจ๊ก

ในระหว่างที่คนกลุ่มหนึ่งถือดาบปะทะกับกู้เจียวอยู่นั้น เด็กสาวนางหนึ่งบนชั้นสองก็วิ่งออกมาจากห้องตัวเอง

“พี่สี่”

นางวิ่งไปยังห้องปีกข้างอีกห้องหนึ่ง

แต่สิ่งที่นางไม่ได้สังเกตก็คือ ด้านหลังนางบังเอิญมีโจรยืนอยู่คนหนึ่งพอดี โจรคนนั้นกำลังอับจนหนทางยอมแพ้ แต่จู่ๆ ก็มีคุณหนูสูงศักดิ์ในอาภรณ์หรูหราวิ่งมาเช่นนี้ ปล่อยไปก็เสียดายน่ะสิ

หญิงสาวนางนั้นหาใช่ใครอื่น เป็นคุณหนูตระกูลซูที่ก่อนหน้านี้แย่งรถม้ากันกับกู้เจียวในห้องโถงนั่นเอง

เป็นแค่เสือกระดาษอย่างที่คิดจริงๆ คนเขาแตะโดนด้านหลังนางแล้ว นางกลับไม่รู้ตัวสักนิด

อุ้งมือปีศาจของโจรเอื้อมไปหานาง

กู้เจียวตวัดปลายเท้ากวาดพื้น ก่อนยันตัวขึ้น หยิบมีดสั้นที่โจรสักคนทำหล่นไว้ขึ้นมา แล้วหมุนตัว ยกเท้าขึ้นเตะด้ามมีดสั้น ให้ส่วนคมมีดพุ่งทะยานขึ้นไปยังชั้นสอง!

เห็นเพียงมีดสั้นแทงลงบนบ่าโจรอย่างแรง เรี่ยวแรงมหาศาลทำโจรกระแทกผนังเข้าอย่างจัง ก่อนจะถูกเรี่ยวแรงดีดกลับออกมาชนทะลุออกจากชั้นสอง ตกลงมายังห้องโถงใหญ่ชั้นล่างอย่างแรง

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟตอนตีหินเท่านั้น คุณหนูตระกูลซูไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิด พวกโจรที่ปะทะกับกู้เจียวอยู่เห็นแล้วตะลึงงันกันไปหมดแล้ว

นี่มันยอดฝีมือจากแห่งหนใดกัน!

“พี่สี่!”

คุณหนูตระกูลซูมาถึงหน้าห้องปีกข้างห้องหนึ่ง กู้เจียวมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นห้องปีกข้างที่อยู่ข้างห้องตัวเอง

ประตูห้องปีกข้างเปิดออก มือเรียวดุจหยกข้างหนึ่งยื่นออกมา รับตัวคุณหนูตระกูลซูที่สะดุดธรณีประตูเอาไว้ได้ทันเวลาพอดิบพอดี

ราตรีมืดมิดนัก มือข้างนั้นกลับคล้ายงดงามดุจหยกสวยที่ผ่านการแกะสลักมาอย่างประณีต

มือของชายผู้นั้นสวยมาก สวยเกินไปแล้ว

“จิ๊” กู้เจียวเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็ดึงสายตากลับมาอย่างลำบาก

โจรคนหนึ่งสบจังหวะฟันดาบใส่นาง

กู้เจียวเอาแต่จ้องมือข้างนั้น พลิกมือแทงหน้าอกโจรคนนั้นไปดาบหนึ่ง

โจรมองตัวเองที่โดนแทงทะลุอย่างเหลือเชื่อ “…”

แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ!

สุดท้ายโจรในลานกว้างก็ถูกจับกุมไว้ทั้งหมด

“แย่แล้ว! ลืมคอกม้า!” ทหารยามของโรงพักม้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

ขุนนางผู้ดูแลโรงพักม้ารีบพาลูกน้องไปคอกทันที สุดท้ายเห็นโจรขโมยม้าจมูกช้ำหน้าบวมกองหนึ่งมัดตัวเองเสียเป็นระเบียบเรียบร้อย ถูกผ้าเช็ดหน้ายัดปากคุกเข่าอยู่กับพื้น ท่าทางเหมือนให้รีบพาข้าไปเร็วเข้าสิ

ทุกคน “…”

วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใสปลอดโปร่ง

กู้เจียวแบกกู้เหยี่ยนไว้บนหลังพลางขึ้นรถม้า

กู้เสี่ยวซุ่นขับรถ อาจารย์หลู่ขับรถม้าอีกคัน

กู้เจียวไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของสองพี่น้องตระกูลซูนัก นางปลดม่านลงแล้วให้กู้เสี่ยวซุ่นออกรถเลย

ระหว่างทางมานี้ราบรื่นมาก ราวครึ่งชั่วยามต่อมาพวกนางก็เข้าสู่เมืองเซิ่งตูแห่งแคว้นเยี่ยน

แม้คนที่ไม่ค่อยสนใจภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมมากนักอย่างกู้เจียวก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายของเมืองหลวงแคว้นอันแข็งแกร่งโชยมาปะทะหน้า ร้านรวงเรียงรายสองฟากฝั่งถนน ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย รถลาพลุกพล่านไม่ขาดสาย

กู้เสี่ยวซุ่นตื่นตะลึงจนปากอ้าไม่หุบไปแล้ว “ว้าว ท่านพี่ ถนนของเซิ่งตูกว้างขวางยิ่งนัก! นี่รถม้าวิ่งสวนกันได้หลายคันเลยนะ!”

รถม้าของอาจารย์แม่หนานตีคู่มากับพวกเขา ได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวซุ่น อาจารย์แม่หนานก็เลิกม่านขึ้น ยิ้มเอ่ย “นี่ยังแค่รอบนอกเมืองนะ เข้าไปเมืองชั้นใน ถนนหนทางจะกว้างกว่านี้อีก”

“เมืองชั้นในคืออะไรหรือ แล้วรอบนอกเมืองคืออะไร” กู้เสี่ยวซุ่นถามอย่างฉงน

อาจารย์แม่หนานอธิบายอย่างใจเย็น “เมืองเซิ่งตูของแคว้นเยี่ยนนั้น มีการแบ่งเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน ส่วนใหญ่เมืองชั้นนอกจะเป็นพวกพ่อค้าแม่ขายและประชาชนคนธรรมดาพักอาศัย ส่วนเมืองชั้นในจะเป็นขุนนางและชนชั้นสูง”

กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยอีก “เช่นนั้นสำนักบัณฑิตที่พวกเราจะไป อยู่เมืองชั้นนอกหรือเมืองชั้นในหรือ”

“เมืองชั้นนอก” อาจารย์แม่หนานบอก

กู้เสี่ยวซุ่นก็ยังไม่เข้าใจ “แต่คนที่มาเรียนที่สำนักบัณฑิตไม่ใช่ว่ามีท่านชายตระกูลใหญ่ๆ มากมายหรอกหรือ เหตุใดไม่สร้างสำนักบัณฑิตไว้เมืองชั้นในเล่า”

“เมืองชั้นนอกที่ทางราคาถูก” กู้เจียวบอก

อาจารย์แม่หนานแย้มยิ้ม “ถูกต้อง”

กู้เสี่ยวซุ่นปากอ้าตาค้าง “อ่า เช่นนั้นถ้ามีโอกาสต้องเข้าเมืองชั้นในไปดูเสียหน่อยแล้ว”

ที่อาจารย์แม่หนานไม่ได้บอกก็คือ เมืองชั้นในไม่ได้เข้าได้ง่ายๆ ต่อให้มีหมายของสำนักบัณฑิตเทียนฉงก็ไม่ได้

เซิ่งตูแห่งแคว้นเยี่ยนมีกำแพงสามแห่งที่แข็งแรงทนทาน แห่งแรกคือกำแพงเมืองชั้นนอก แห่งที่สองคือกำแพงเมืองชั้นใน แห่งที่สามคือกำแพงวังหลวงในเขตพระราชฐาน

แคว้นเยี่ยนเป็นแคว้นที่แบ่งชนชั้นเข้มงวดกว่าแคว้นเจา คนในเมืองชั้นในออกมาง่าย คนในเมืองชั้นนอกเข้าไปกลับยากยิ่งนัก

อาจารย์แม่หนานเคยอาศัยอยู่แคว้นเยี่ยนมาหลายปี ยังไม่เคยเข้าไปในเมืองชั้นในเลยสักครั้ง

แม้สำนักบัณฑิตเทียนฉงจะตั้งอยู่เมืองชั้นนอก กลับอยู่ห่างจากเมืองชั้นในไม่ไกล เป็นพื้นที่ทองคำของเมืองชั้นนอก

รถม้าเคลื่อนต่ออีกครึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดพวกนางก็มาถึง…ประตูหลังของสำนักบัณฑิตเทียนฉง

อาจารย์แม่หนานขอโทษขอโพย “ไม่ได้มานาน เกือบจำทางไม่ได้แล้ว”

นางอยากพาไปยังประตูหน้า แต่ดันพาไปผิดเสียได้

กู้เจียวกระโดดลงรถม้า “ไม่เป็นไร พวกเราเข้าจากทางประตูหลังก็ได้”

อาจารย์แม่หนานเอ่ย “พวกเราพาเหยี่ยนเอ๋อร์ไปหาบ้านก่อน อีกเดี๋ยวจะมารับพวกเจ้าที่นี่”

กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

สำนักบัณฑิตเทียนฉงมีคนรับใช้ดูแลรถม้าโดยเฉพาะ กู้เจียวเดินไปหา แล้วแสดงหนังสือรับเข้าเรียนของตัวเองกับกู้เสี่ยวซุ่นเป็นอย่างแรก ก่อนจะหยิบทะเบียนบ้านแคว้นเจาของเซียวลิ่วหลังกับกู้เสี่ยวซุ่นออกมา หลังจากตรวจสอบตัวตนเรียบร้อย คนรับใช้ก็ส่งป้ายคู่[2]ให้นางแผ่นหนึ่ง

“อีกเดี๋ยวเอาป้ายนี้มารับรถม้า”

เขาบอกพลางพินิจมองกู้เจียวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

โดยมากคือพินิจมองปานบนใบหน้านาง

กู้เจียวอึดอัด ถามสถานที่ที่ให้รายงานตัวว่าอยู่ตรงไหน

คนรับใช้เอ่ย “ที่หอชิงเจิ้ง ท่านเข้าไปแล้วเดินตรงไป ทางแยกให้เลี้ยวไปทางตะวันออกก็จะเห็น”

กู้เจียวพากู้เสี่ยวซุ่นไปรายงานตัวที่หอชิงเจิ้ง

วันนี้คนที่มารายงานตัวมีไม่น้อยอย่างผิดคาด จากแคว้นต่างๆ มากมาย ดังนั้นสำนักบัณฑิตเทียนฉงอะไรนี่กล่าวได้ว่าเป็นสำนักบัณฑิตนานาชาติเลยทีเดียว

ต่อแถวได้สักพักก็ถึงตากู้เจียว กู้เจียวยื่นหนังสือตอบรับและทะเบียนบ้านของตัวเองกับกู้เสี่ยวซุ่นให้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

พวกนางมาร่ำเรียนที่แคว้นเยี่ยนก็ต้องรู้อักษรแคว้นเยี่ยน อาจารย์ที่สอนในแคว้นเยี่ยนไม่ได้รู้อักษรของแคว้นเจา

ด้วยเหตุนี้ ทะเบียนบ้านจึงมีสองฉบับ อาจารย์มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวแคว้นเจา สายตาบ่งบอกถึงความดูถูกดูแคลน เมื่อมาพินิจมองใบหน้ากู้เจียวอีก ยิ่งทำให้รำคาญขึ้นกว่าเดิม

เมื่อครู่เขาเพิ่งจะต้อนรับนักเรียนแคว้นจิ้นกับแคว้นเหลียงเสร็จ กระตือรือร้นยิ่งนัก กู้เสี่ยวซุ่นก็นึกว่าเขาเป็นคนนิสัยดีมาก มายามนี้เห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าในฉับพลัน จึงเบ้ปากอย่างผิดหวังทันที

แต่เมื่ออาจารย์เห็นชื่อในทะเบียนบ้าน แววตาก็ตื่นตะลึงไปเล็กน้อย “คนไหนคือเซียวลิ่วหลัง”

“ข้าเอง” กู้เจียวบอก

“จะ…เจ้าอายุเท่าใด”

“สิบเก้า”

“ดูๆ แล้วเจ้าเหมือนแค่สิบห้า สิบหก”

กู้เจียวที่แค่สิบหกปีจริงๆ “…ข้าหน้าอ่อน”

อาจารย์ “…”

อาจารย์มองกู้เจียวอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับไหว ไม่รู้ว่าพึมพำอะไร

เขาหยิบตราประทับมาประทับลงบนทะเบียนบ้านและหนังสือตอบรับดังปึงปัง จากนั้นก็เก็บไว้ ก่อนจะคืนทะเบียนบ้านให้พวกกู้เจียว ต่อมาจึงหยิบกระดาษอีกชุดออกมา ให้กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นลงนามและประทับลายนิ้วมือ

ขั้นตอนนี้ทำให้กู้เจียวเกิดภาพหลอนของการรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยในชาติก่อนขึ้นมา

เมื่อกรอกเสร็จก็ชำระค่าเล่าเรียน

“คนละยี่สิบตำลึงต่อเดือน” อาจารย์เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

กู้เสี่ยวซุ่นตาถลึงโต ปล้นกันชัดๆ ! ยี่สิบตำลึง!

“ค่าหอพักสิบตำลึง” อาจารย์เสริม “ต่อเดือน”

กู้เสี่ยวซุ่นกลายเป็นหินไปแล้ว

เรียนหนังสือที่แคว้นเจาจ่ายแค่สามสิบตำลึงต่อปีเอง!

นอกจากนี้ นางก็เอาเอกสารและทะเบียนของกู้เหยี่ยนมาด้วยแล้ว เพียงแต่กู้เหยี่ยนป่วย นางจึงลาป่วยให้

อาจารย์เอ่ยนิ่งๆ “สามสิบตำลึง”

ลาป่วยก็ต้องจ่ายเงินรึ!

กู้เจียวเอ่ย “หากไม่พักเล่า”

อาจารย์เอ่ย “ก็ต้องจ่ายอยู่ดี”

กู้เจียวตรวจดูระเบียบข้อบังคับของสำนักบัณฑิต อาจารย์ไม่ได้หลอกพวกนางจริงๆ จึงควักกระเป๋าจ่ายเงิน

“สองคนต่อหนึ่งห้อง” อาจารย์เอ่ยพลางโยนป้ายไม้สองแผ่นให้ทั้งคู่ ซึ่งบนนั้นเขียนชื่อพวกนางไว้ และมีกุญแจห้อยไว้ด้วย

กู้เสี่ยวซุ่นนึกว่าหมายถึงเขากับกู้เจียวสองคนต่อหนึ่งห้อง สุดท้าย พอมาดูดีๆ เขาได้ห้องสิบเจ็ด กู้เจียวได้ห้องยี่สิบเจ็ด นะ…นี่มันห่างกันตั้งกี่ห้องเนี่ย!

กู้เสี่ยวซุ่นมึนงง “จัดให้อยู่ห้องเดียวกันไม่ได้รึ”

อาจารย์ปรายตามองกู้เสี่ยวซุ่นอย่างเรียบเฉย “ไม่ได้”

กู้เจียวเอ่ย “ช่างเถิด อย่างไรเสียก็ไม่ได้พัก”

“แพงหูฉี่เลยท่านพี่ ข้าอยากพัก เปลี่ยนเป็นกลับมาพักเถอะ” กู้เสี่ยวซุ่นเคยลำบากมาก่อน ค่าหอพักสิบตำลึงต่อเดือน มันช่างปวดใจเสียจริง เขาอยากจะพักจนห้องแทบจะทะลุอยู่รอมร่อแล้ว!

พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันไม่พอ ไปถึงแล้วจึงได้พบว่า มันไม่ได้อยู่เรือนเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

กู้เจียวอยู่เรือนใต้ กู้เสี่ยวซุ่นอยู่เรือนตะวันออก

กู้เสี่ยวซุ่นแทบกระอักเลือด เขากุมอกเอ่ย “ท่านพี่ พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า ดูว่าห้องพักสิบตำลึงนั่นมันเป็นเช่นไร”

กู้เจียวไปดูเรือนตะวันออกเป็นเพื่อนกู้เสี่ยวซุ่น

“สภาพแวดล้อมไม่เลว สวยงามและเงียบสงบดีทีเดียว” กู้เจียวบอก

กู้เสี่ยวซุ่นตอนที่อยู่นอกเมืองแคว้นเจาเคยพักที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียงอยู่ระยะหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าดีกว่าบ้านที่ชนบทมากแล้ว หอพักของสำนักบัณฑิตเทียนฉงย่อมมีระดับไม่ธรรมดามากกว่าสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ไม่เพียงแต่คุ้มราคาค่าพักห้าตำลึง แต่ถึงกระนั้นก็คุ้มกับชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตแห่งราชวงศ์แคว้นเยี่ยน

“ห้องสิบเจ็ดอยู่ตรงนั้น” กู้เจียวชี้ห้องตรงทางเดิน

ทั้งคู่เดินไปยังห้องของกู้เสี่ยวซุ่น ประตูเปิดอ้าไว้อยู่

“เพื่อนร่วมห้องเจ้าอยู่” กู้เจียวเอ่ย

นางยื่นมือไปผลักประตู ประตูกลับถูกด้านในดึงเปิดเอาไว้

ใบหน้าคุ้นเคยสะท้อนเข้าครองสายตานาง อีกฝ่ายเห็นกู้เจียวแล้ว เขาชะงักงันไป ก่อนแววตาจะเป็นประกาย “ท่านพี่เซียว! ท่านพี่นี่เอง!”

ท่านพี่นั้นคือคำเรียกอย่างเคารพ ความจริงแล้วหากว่ากันตามอายุจริงๆ เซียวลิ่วหลังอายุน้อยกว่าเขาอีก

“ท่านพี่…เขย พวกเจ้ารู้จักกันรึ” กู้เสี่ยวซุ่นเกือบจะหลุดพิรุธเสียแล้ว

“เคยเจอกันที่สถานีพักม้า” กู้เจียวบอก

คนผู้นี้หาใช่ใครอื่น เป็นจงติ่งที่คุยกับนางด้วยน้ำใสใจจริงตรงโถงใหญ่ของโรงพักม้า

“ข้าชื่อจงติ่ง” จงติ่งเอ่ยพลางมองกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เสี่ยวซุ่นมองกู้เจียว ก่อนเอ่ย “ข้าชื่อกู้เสี่ยวซุ่น เขาเป็นพี่เขยข้า”

“อ๊ะ เช่นนั้นพวกเจ้าสองคน…” จงติ่งใช้สายตาปรายไปห้องด้านหลัง

กู้เจียวกระจ่างพลางเอ่ย “น้องภรรยาข้าเป็นเพื่อนร่วมห้องเจ้า”

จงติ่งร้องอ๊ะขึ้นอีกหน ก่อนยิ้มแหยๆ เอ่ย “ข้าก็นึกว่าท่านพี่เซียวเสียอีก จริงสิ เมื่อคืนสถานีพักม้ามีโจรบุก พวกท่านพี่เซียวไม่เป็นอะไรกระมัง”

กู้เสี่ยวซุ่นตกใจ “เมื่อคืนมีโจรรึ”

จงติ่งตกใจเสียยิ่งกว่าเขา นี่เจ้าหลับเป็นตายเลยหรือไร

พวกเขาพูดคุยกันสองสามประโยค หลักๆ เป็นจงติ่งผู้นี้ที่เป็นคนช่างพูดมาก พูดจนน้ำไหลไฟดับ จนบทสนทนาถึงทางตัน แต่เขาก็ดึงกลับมาอย่างดื้อรั้นทุกคราไป

กู้เจียวได้รู้จากปากเขาว่าโดยปกติแล้วห้องพักจะแบ่งกันตามแคว้นเบื้องบนกับแคว้นเบื้องล่าง ชาวแคว้นเบื้องล่างพักด้วยกันกับแคว้นเบื้องล่าง คนแคว้นเบื้องบนพักด้วยกันกับแคว้นเบื้องบน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อนร่วมห้องของนางก็คงจะเป็นชาวแคว้นเบื้องล่างเช่นกัน

“เรือนตะวันออกมีแต่ชาวแคว้นเบื้องล่างทั้งนั้นเลย เป็นพวกเราแคว้นเจามากที่สุด” จงติ่งบอก “จริงสิ ท่านพี่เซียว พี่พักห้องไหนหรือ”

กู้เจียวบอก “ข้าไม่ได้พักเรือนตะวันออก”

จงติ่งเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เช่นนั้นก็คงเป็นเรือนตะวันตก”

เพราะเรือนเหนือเรือนใต้ล้วนเป็นคนแคว้นเบื้องบนพักกันทั้งสิ้น

[1] ยามไฮ่ 21.00-23.00 น.

[2] ป้ายคู่ เป็นป้ายที่มีหมายเลขเดียวกันสองใบ ทั้งสองฝ่ายถือกันคนละใบ ใช้เวลาฝากรถม้าหรือสิ่งของ

***********************