บทที่ 621 แนบชิด (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 621 แนบชิด (1)

กู้เจียวไม่ได้บอกว่าเขาเดาผิดแล้วอะไรทำนองนั้น นางไม่ได้เป็นคนประเภทชอบแก้ต่างกับใคร ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางใส่ใจด้วย

นอกจากเรื่องการแบ่งที่พักแล้ว จงติ่งก็ยังพูดกับทั้งคู่ในเรื่องเวลาและสถานที่เรียนของพวกเขาด้วย ซ้ำยังกำชับว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาอย่าลืมไปเรียน ห้ามมาสายเด็ดขาดด้วย

“มาสายจะถูกจดชื่อไว้ด้วยล่ะ กฎข้อบังคับของสำนักบัณฑิตเทียนฉงเข้มงวดมาก ครบสามครั้งขึ้นไปจะถูกไล่ออก”

ฟังเขาพล่ามน้ำไหลไฟดับมาตั้งนาน ในที่สุดสาระสำคัญก็มาถึงเสียที

ห้ามโดนจดชื่อ จะถูกไล่ออกไม่ได้ อย่างไรเสียสำนักบัณฑิตเทียนฉงก็เป็นอนาคตเพียงหนึ่งเดียวที่กู้เจียวเหลืออยู่ในแคว้นเยี่ยน

เมื่อออกมาจากเรือนตะวันออก กู้เสี่ยวซุ่นก็อยากจะไปดูที่เรือนใต้ต่อ แต่กู้เจียวกลับไม่ค่อยอยากจะไปนัก “ก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

กู้เสี่ยวซุ่นครุ่นคิดดูแล้วก็เหมือนจะถูก เขากับพี่สาวล้วนเป็นชาวแคว้นเยี่ยนทั้งคู่ หอพักที่ได้จะไปแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวได้อย่างไร

“เช่นนั้นพวกเรารีบไปรวมตัวกันกับพวกอาจารย์แม่ดีกว่า”

กู้เสี่ยวซุ่นต่อหน้าคนอื่นเรียกอาจารย์แม่ เรียกอาจารย์ มีเพียงตอนอยู่ด้วยกันสองคนกับหนานเซียงเท่านั้นที่จะเรียกทั้งสองว่าท่านพ่อท่านแม่

สองพี่น้องเดินกลับมาประตูหลังสำนักบัณฑิตทางเดิม

พูดตรงๆ ว่าหากตัดเรื่องเป้าหมายในการผ่าตัดกู้เหยี่ยนไป กู้เจียวบอกตรงๆ เลยว่าสนใจเมืองเซิ่งตูของแคว้นเยี่ยนจริงๆ เพียงแต่ก่อนตัดสินใจเรื่องกู้เหยี่ยน นางไม่ได้มีกระจิตกระใจไปเดินเที่ยวเล่นก็เท่านั้น

รถม้าของอาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่มาจอดอยู่ใกล้ๆ แล้ว

กู้เสี่ยวซุ่นถือป้ายคู่มารับรถม้าของตัวเอง ก่อนเอ่ยอย่างปวดใจ “ท่านพี่ จอดแค่ครู่เดียวเอง พวกเขาเก็บข้าตั้งเหรียญนึงแหน่ะ แคว้นเยี่ยนแพงนัก ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด!”

กู้เจียวยกมือหยิบใบไม้บนไหล่เขาออกให้ “ไม่เป็นไรหรอก แค่เหรียญเดียวเอง”

กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “ก็ต้องประหยัดไว้อยู่ดี ต้องเหลือเงินทองไว้ใช้รักษากู้เหยี่ยนอีก”

ก่อนออกเดินทางพวกเขาก็ไม่รู้ว่าค่าครองชีพแคว้นเยี่ยนจะสูงเพียงนี้ โดยเฉพาะค่าครองชีพเมืองเซิ่งตู หมั่นโถวลูกหนึ่งตั้งสองเหรียญ ซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่สามเหรียญ ซาลาเปาเนื้อแกะสี่เหรียญ….

เมื่อสิบกว่าปีก่อนอาจารย์แม่หนานเคยอยู่ที่เมืองเซิ่งตู แต่ตอนนั้นซาลาเปาสามลูกแค่เหรียญเดียวเองมิใช่หรือ เหตุใดจึงขึ้นราคามากมายเพียงนี้เล่า

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีเงินฝากในธนาคารอยู่อีก” อาจารย์แม่หนานบอกกับกู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เจียวไม่ได้เห็นอาจารย์แม่หนานเป็นคนนอก เพียงแต่ต่อให้รวมกับของอาจารย์แม่หนานแล้วเกรงว่าก็คงไม่พอให้พวกนางใช้จ่ายระยะยาวอยู่ดี ดูท่าแล้วต้องคิดหาวิธีหาเงินเสียแล้ว

นี่เป็นเรื่องในภายหลัง ต้องจัดการเรื่องตรงหน้านี้ก่อน

ตั้งแต่เข้ามาในดินแดนแคว้นเยี่ยน กู้เจียวก็สืบถามข่าวคราวของห้องผ่าตัดมาตลอดทาง ไม่มีโรงหมอแห่งไหนมีห้องผ่าตัดที่กู้เจียวต้องการเลย

หากไม่ได้สร้างห้องผ่าตัด ก็สิ่งของในห้องผ่าตัดน่าตกใจเกินไป ให้คนนอกรับรู้ไม่ได้

กู้เจียวหวังว่าจะเป็นอย่างหลัง

แบบนี้อย่างน้อยๆ กู้เหยี่ยนก็ยังพอมีหวัง

อาจารย์แม่หนานเอ่ย “ข้าหาบ้านได้แล้ว อยู่ไม่ไกลจากสำนักบัณฑิต ออกจากประตูหลังไปอีกหนึ่งลี้ก็ถึงแล้ว”

นั่นเป็นบ้านที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแบบสองส่วน มีเรือนหน้าและเรือนหลัง เรือนหลังติดกับห้องครัวและห้องเก็บฟืน พื้นที่ไม่ค่อยกว้างขวางนัก แต่พวกเขาพักอาศัยกันเพียงพอ

ห้องปีกข้างสามห้อง ห้องหนังสือเล็กๆ หนึ่งห้อง อาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่อยู่หนึ่งห้อง กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนอีกห้อง ที่เหลือเป็นห้องกู้เจียว

“อาจารย์แม่ บ้านหลังนี้ค่าเช่าต่อเดือนเท่าไหร่หรือขอรับ” กู้เสี่ยวซุ่นถาม

อาจารย์แม่หนานแย้มยิ้ม “ไม่มากหรอก หนึ่งร้อยตำลึงต่อเดือน”

“ว่าอย่างไรนะ ร้อยตำลึง!” กู้เสี่ยวซุ่นตะลึงงันทันที!

อาจารย์แม่หนานขบขันกับท่าทางนิ่งอึ้งของเขา “บ้านละแวกสำนักบัณฑิตล้วนอิงค่าเช่าตามจำนวนห้อง ห้องละยี่สิบตำลึงต่อเดือน พวกเรามีทั้งหมดสี่ห้อง แถมมีห้องครัว ห้องเก็บฟืน เรือนหน้ากับเรือนท้ายอีก ร้อยตำลึงถือว่าไม่แพงแล้ว”

กู้เสี่ยวซุ่นลิ้นจุกปากพูดอะไรไม่ออก “ตรอกปี้สุ่ยกว้างกว่าที่นี่ตั้งมากตั้งมาย จิ้งคงคิดแค่สามสิบตำลึงเอง แถมทำเลก็ดี ใกล้กั๋วจื่อเจียนด้วย”

แค่เพียงวันเดียว กู้เสี่ยวซุ่นก็เริ่มรู้จักเปรียบเทียบทำเลแล้ว

หากบอกว่าแคว้นเจาแบ่งเมืองนอกเมืองใน เช่นนั้นตรอกปี้สุ่ยที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเมืองชั้นในอย่างแน่นอน ส่วนถนนจูเชวี่ยที่องค์หญิงซิ่นหยางพำนักอยู่นั้นใกล้กับวังหลวงสุดจะเปรียบ เป็นเมืองชั้นในที่อยู่ใจกลางเมืองชั้นในเลยทีเดียว

กู้เจียวเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก เงินทองหาใหม่ได้ ไปเก็บข้าวของก่อนเถิด”

“ขอรับ!” กู้เสี่ยซุ่นขานรับอย่างว่องไว

“พวกเราเก็บให้ก็ได้ พรุ่งนี้พวกเจ้าต้องไปเรียนแล้วมิใช่หรือ ไปเตรียมข้าวของที่ใช้เรียนก่อนเถิด”

“ไม่มีอะไรต้องเตรียมหรอก พรุ่งนี้ถึงจะได้หนังสือตอนไปถึงห้องเรียน”

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็พักกันก่อน” ระหว่างทางมานี้เด็กทั้งสองเหนื่อยกันแย่แล้ว อาจารย์แม่หนานสงสารนัก ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้พวกเขาลงมือทำอะไรอีก

กู้เจียวจำต้องยอมแพ้ นางหยุดเว้น ก่อนเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปสืบถามโรงหมอใกล้ๆ นี่หน่อยแล้วกัน”

“ท่านพี่ ข้าไปด้วย”

“มาสิ”

สองพี่น้องเดินเตร่กันบนถนนทั้งวัน สืบถามคนท้องที่ถึงโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดสองสามแห่งของเมืองชั้นนอกของเซิ่งตู สุดท้ายไปถึงที่นั่นกลับไม่มีห้องผ่าตัดที่ว่าเลย และไม่มีโรงหมอแห่งไหนเคยเห็นอุปกรณ์ต่างๆ ในภาพมาก่อนด้วย

เย็นย่ำมาถึง ทั้งคู่เหงื่อโทรมเต็มหน้ากลับมาที่บ้าน

อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีแต่ของที่พวกเด็กๆ ชอบกิน นอกจากกู้เหยี่ยนที่เปิดเตาเล็กแยกต่างหากน่ะนะ

กู้เหยี่ยนมองเนื้อนึ่งตรงหน้าตัวเองแทบจะผิดหวังรอมร่อ มุมปากกระตุกยิก

อาจารย์แม่หนานตักน้ำแกงให้กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่น ก่อนถาม “วันนี้ไปสืบถามได้อะไรมาบ้างหรือ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะอาจารย์แม่หนาน” กู้เจียวรับชามน้ำแกงมาพลางเอ่ย “เหมือนเดิมเลย ไม่ได้ความสักอย่าง”

อาจารย์แม่หนานไม่ค่อยจะแปลกใจนัก “เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้าต้องการมันอยู่ที่แคว้นเยี่ยน”

“ข้าเคยเห็นภาพวาดของมันมาก่อน แน่ใจได้ว่าทางแคว้นเยี่ยนต้องมีคนที่รู้จักของพวกนี้แน่ ส่วนได้สร้างหรือไม่นั้นข้าก็ไม่แน่ใจ”

อาจารย์แม่หนานครุ่นคิด “ไม่อย่างนั้น…ไปลองดูที่เมืองชั้นในดีหรือไม่ อย่างไรเสียเมืองชั้นนอกก็มีแค่คนธรรมดาอาศัย โรงหมอที่ดีที่สุดและหมอที่มีฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยมที่สุดล้วนอยู่ในเมืองชั้นในหมด”

“เมืองชั้นในเข้ายากนี่” อาจารย์หลู่คีบสามชั้นตุ๋นน้ำแดงให้อาจารย์แม่หนาน

“นั่นก็จริง” อาจารย์แม่หนานขมวดคิ้ว

กู้เจียวซดน้ำแกงไปคำหนึ่งก่อนเอ่ย “อีกเดี๋ยวข้าจะไปลองเดินละแวกกำแพงเมืองชั้นในดู ดูว่าจะมีโอกาสปะทะเข้าไปได้หรือไม่”

อาจารย์แม่หนานรู้สึกว่าทำเช่นนี้มันเสี่ยงเกินไป แต่เมื่อนึกถึงอาการป่วยของกู้เหยี่ยนแล้ว ก็เข้าใจว่าพวกนางไม่มีเวลามารอต่อไปเรื่อยๆ

นางพยักหน้าเอ่ย “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ คนเดียวหลบซ่อนง่ายกว่า อาจารย์แม่ช่วยข้าดูแลกู้เหยี่ยนอยู่ที่บ้านดีกว่า”

อาจารย์แม่หนานมาแคว้นเยี่ยนเป็นเพื่อนพวกนางก็มีพระคุณล้นฟ้าแล้ว นางจะให้อาจารย์แม่หนานเสี่ยงเข้าเมืองชั้นในไปด้วยกันกับนางอีกได้อย่างไร

อาจารย์แม่หนานอ้าปากค้าง

อาจารย์หลู่เกลี้ยกล่อม “เจ้าก็ฟังเจียวเจียวเถิด เจียวเจียวทั้งฉลาดทั้งมีไหวพริบ ทำอะไรย่อมรู้ดีแก่ใจ ไม่มีทางสะเพร่าเลินเล่อหรอก กลับจะเป็นเจ้านั่นล่ะ ที่ไม่แยแสต่อความลำบากสู้เจียวเจียวไม่ได้”

อาจารย์แม่หนานหน้าพลันทะมึน “เจ้าอยากโดนนักใช่หรือไม่”

อาจารย์หลู่ยิ้มแหยกระแอมในลำคอ “กินข้าว กินข้าว!”

ทานมื้อเย็นกันเร็ว กินเสร็จฟ้ายังสว่างโร่อยู่เลย เพียงแต่กู้เหยี่ยนเรี่ยวแรงไม่ค่อยไหว กู้เจียวจึงไปส่งเขากลับห้องให้พักผ่อน

กู้เหยี่ยนนอนลงบนเตียงคนป่วยอย่างอ่อนล้า ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทำได้เพียงตาปริบๆ มองกู้เจียววิ่งไปโน่นมานี่เพื่อเขาโดยไม่ห่วงชีวิต

จู่ๆ เขาก็เสียใจขึ้นมา

กู้เจียววัดอุณหภูมิร่างกายและความดันเลือดให้เขา เก็บกล่องยาใบน้อยเรียบร้อยก็เอ่ย “อย่าคิดมาก ข้าไปครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับมา”

**************************