บทที่ 621-2 แนบชิด (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 621 แนบชิด (2)

กู้เจียวใส่ชุดดำยามวิกาลกับหน้ากากไว้ในห่อผ้า ก่อนจะผูกไว้กับตัว แล้วออกจากบ้านมาขึ้นรถม้า

กู้เสี่ยวซุ่นมาส่งนางตรงละแวกกำแพงเมืองชั้นใน

กู้เจียวกระโดดลงจากรถม้า “เอาละ ส่งแค่ตรงนี้ก็พอ เจ้ารีบกลับไปเสีย”

กู้เสียวซุ่นเอ่ย “ท่านพี่ ระวังด้วยนะ!”

กู้เจียวส่งเสียงอืม “ข้ารู้”

กู้เสี่ยวซุ่นจากไปแล้ว กู้เจียวสังเกตละแวกกำแพงเมืองอยู่นานมาก ในที่สุดก็พบรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง กำลังจะเข้าไปในเมืองชั้นใน

นางมายังหลังรถม้า อาศัยจังหวะที่คนไม่ทันระวังมุดเข้าไปใต้ท้องรถ สองมือจับไม้คานตรงท้องรถเอาไว้ สองเท้าเกี่ยวกับเพลารถเอาไว้ แนบทั้งร่างสนิทไร้ช่องว่างใดๆ

วิธีนี้เอาเข้าจริงๆ แล้วเสี่ยงมาก แต่เหมือนว่ากู้เจียวจะมีโชคไม่น้อย ตอนเข้าเมืองชั้นในรถม้าคันนี้ไม่ได้โดนตรวจตราทั้งบนทั้งล่าง

ในขณะที่นางกำลังหาถนนที่คนน้อยๆ ปล่อยตัวลงมา คิดไม่ถึงว่ารถม้าคันนี้จะใช้แต่ถนนใหญ่ สองฟากฝั่งมีแต่ผู้คนเดินขวักไขว่ นางร่วงลงมาจากใต้ท้องรถ คงได้แตกตื่นกันไปครึ่งค่อนถนนแน่

กู้เจียวกัดฟัน

นางรอ

นางรอต่อไป

ท่านี้กินแรงยิ่งนัก ทั้งร่างนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว

รถม้ายังคงเคลื่อนไปยังถนนอีกสองสามสาย ในที่สุดก็ไม่ใช่ถนนใหญ่จอแจคึกคักอีกต่อไป

แต่กู้เจียวยังไม่ทันจะได้ลงรถ รถม้าก็ขับเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ริมทางแห่งหนึ่งเสียแล้ว

กู้เจียว “…”

เหตุไฉนจึงบอกว่าคฤหาสน์หลังใหญ่น่ะหรือ ก็เพราะเข้าไปแล้วรออยู่ตั้งนาน โคลงเคลงจนสมองกู้เจียวแทบจะกระดอนอยู่รอมร่อแล้ว ในที่สุดรถม้าจึงได้จอดลง

คนบนรถม้าเดินลงมา สั่งพวกคนรับใช้ “ยกของไปไว้ในคลังด้วย”

“ขอรับ พ่อบ้าน”

บ่าวรับใช้ขานรับ

กู้เจียวอดทนรอพวกบ่าวรับใช้ขนข้าวของบนรถม้าจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงคนขับรถคนเดียวที่ปลดม้าอยู่ที่เดิม

กู้เจียวข่มความเมื่อยขบทั้งตัวเอาไว้ แล้วร่วงลงมาจากท้องรถ

นางรู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว นิ้วมือกับหน้าท้องแทบจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว

ยามนี้นางต้องรีบออกจากที่นี่

สารถีปลดม้าเสร็จ ก็จูงม้าไปยังรางน้ำข้างๆ ก่อนจะเริ่มแปรงขนให้มัน

กู้เจียวอาศัยจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัวออกจากคอกม้า

นางอยากจะหาถนนที่ใกล้ที่สุดออกไป ทว่าเมื่อทอดมองไปนางพลันชะงักงันทันที

นี่มันที่ไหนกันนี่

มองทอดไปไม่เจอกำแพงเลย!

“ทางนั้น!”

ทันใดนั้น เสียงบุรุษเย็นเยียบก็ดังขึ้น กู้เจียวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยทว่าชวนน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่ง

องครักษ์หลงอิ่ง!

หรือพูดให้ถูกก็คือหน่วยกล้าตายแคว้นเยี่ยน

องครักษ์หลงอิ่งแคว้นเจาฝึกฝนและพัฒนามาจากหน่วยกล้าตายแคว้นเยี่ยน แต่ทั้งสองอย่างนี้ยังมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ องครักษ์หลงอิ่งแคว้นเจาห้ามพูดจา ห้ามสนทนาใดๆ เป็นเพียงเครื่องมือที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนใช้ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น

แต่หน่วยกล้าตายของแคว้นเยี่ยนกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด

หรือนางจะโดนเจอตัวเข้าแล้ว

ด้านหลังเป็นคอกม้า ด้านหน้ากับขวามือล้วนเป็นหน่วยกล้าตายที่เร่งรุดมา กู้เจียวจำต้องไปทางซ้ายเท่านั้น

กำแพง!

นางดวงตาเป็นประกายทันที แตะปลายเท้าทะยานตัวขึ้น มือข้างหนึ่งเท้ากำแพงกระโดดข้ามไป

ทว่า…

นางไม่ได้ออกจากจวนแต่อย่างใด แต่เข้ามาในเรือนเล็กๆ กลางเรือนหลังใหญ่แทน!

โชคชะตาหนอ!

เซียวเหิงเข้าร่างหรือไร

หรือว่านางใช้ชื่อเขา แม้แต่ดวงซวยของเขาเลยติดมาด้วย

“อย่าลืมของที่ข้าให้พวกเจ้าตระเตรียมล่ะ ยามนี้หากฮูหยินรู้ว่าพวกเจ้าแอบอู้ ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้หรอกนะ”

“พี่เหลียนเชี่ยวโปรดวางใจ พวกเราไม่แอบอู้แน่นอน!”

เห็นว่าสาวใช้เหล่านี้กำลังจะเดินอ้อมทางมาทางที่กู้เจียวอยู่ นางจึงหลับตาลง ผลักประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่งอย่างเสียไม่ได้

กลิ่นหอมอันอบอุ่นของเครื่องหอมและยาโชยเข้าจมูก กู้เจียวเป็นหมอ เรียกได้ว่าไวต่อกลิ่นเหล่านี้เป็นอย่างดี ที่นี่มีคนป่วย

“พวกเจ้าตามข้าเข้าไปดู!”

“หยุดนะ! พวกเจ้าจะทำอะไร”

“ฮูหยิน เมื่อครู่เหมือนจะมีคนนอกบุกรุกเข้ามาในจวน พวกเรากำลังตรวจหาอยู่”

“เหตุใดจึงมาตรวจถึงที่นี่เล่า ที่นี่เป็นที่ที่พวกเจ้าเข้าออกได้ตามอำเภอใจรึ”

“ฮูหยินโปรดอภัยด้วย”

“ข้าจะเข้าไปดู พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก”

“ขอรับ”

เสียงสนทนาเงียบลงไม่นาน กู้เจียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของสตรีเดินมาทางห้องที่นางอยู่อย่างชัดเจน

กู้เจียวตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่

มันซวยซ้ำซวยซ้อนถึงเพียงนี้เชียวรึ!

ตู้เต็มเอียดไปหมด ใต้เตียงก็แคบเกินไป ผ้าปูโต๊ะก็สั้นเหลือเกิน คานห้อง…

นางไม่มีวิชาตัวเบา ขึ้นคานห้องไม่ได้!

กู้เจียวมายังข้างเตียง เลิกม่านขึ้น มองไปยังชายวัยกลางคนที่หลับใหลบนเตียง เอ่ย “ขอโทษด้วยนะ!”

นางปีนขึ้นไปบนเตียง ครุ่นคิด ก่อนจะเลิกผ้าห่มมุดเข้าไป

เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนเจอตัว นางจำต้องพยายามเข้าใกล้เขา แนบชิดกับเขา

ชายคนนี้รูปร่างผอมแห้ง แผ่กลิ่นยาและไอเย็นจางๆ ออกมา

สตรีนางนั้นเข้ามาในห้อง

“เหลียนเชี่ยว!”

น้ำเสียงนางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

สาวใช้ที่โดนเรียกว่าเหลียนเชี่ยวรีบเดินมาหาหน้าตาตื่น “ฮูหยิน!”

“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่เฝ้าอยู่ในห้อง” สตรีนางนั้นถาม

เหลียนเชี่ยวรีบเอ่ย “บ่าวไปยกยามาเจ้าค่ะ เพิ่งจะไปนี่เอง”

กู้เจียวตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่ กลั้นลมหายใจของตัวเอง

สตรีนางนั้นเลิกม่านขึ้นอย่างเบามือ

กู้เจียวสัมผัสได้ถึงสายตาของสตรีนางนั้นที่มองมาทางนี้

สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุใดจึงห่มผ้าหนาถึงเพียงนี้”

กู้เจียวคิดในใจ ไม่กระมัง เจ้าคงไม่เลิกผ้าห่มเขาออกหรอกนะ

“ท่านหมอเป็นคนกำชับไว้เจ้าค่ะ” เหลียนเชี่ยวบอก

สตรีนางนั้นเดินมาข้างเตียง เอื้อมมือเข้ามาในผ้าห่ม ลูบมือชายคนนั้น

กู้เจียวก็ใช้ปลายนิ้วแตะมืออีกข้างของเขาโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็นเช่นกัน

เย็นเฉียบมาก ห่มได้ไม่หนา

สตรีนางนั้นถอนหายใจ วางมือชายคนนั้นซุกกลับเข้าผ้าห่ม

“ไม่มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่เรือนกระมัง” สตรีนางนั้นถาม

“ไม่มีเจ้าค่ะ ฮูหยิน” เหลียนเชี่ยวบอก

จากนั้นสตรีนางนั้นก็ถามอาหารการกินของชายคนนั้นสองสามคำ คำตอบของเหลียนเชี่ยวคงจะเหมือนเคย เฉกเช่นเดียวกับเมื่อวาน ไม่แสดงสีหน้าใดๆ

แล้วสตรีนางนั้นก็ออกไป

“ฮู่ ใจหายใจคว่ำหมด” เหลียนเชี่ยวพรูลมหายใจโล่งอก

สตรีนางนั้นสั่งเหลียนเชี่ยวให้เฝ้าชายวัยกลางคนไว้ให้ดีๆ แต่แม่นางที่ชื่อเหลียนเชี่ยวเฝ้าอยู่ไม่ถึงครึ่งเค่อก็แอบหนีไปอีกแล้ว

กู้เจียวเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง พรูลมหายใจหลายเฮือกใหญ่ นางลงจากเตียง ห่มผ้าให้ชายคนนั้น แล้วหันหลังออกไปเลย

ท่ามกลางความมืดมิด จู่ๆ ปลายนิ้วของชายคนนั้นก็ขยับไหว