บทที่ 622 หนุ่มรูปงามยามวิกาล

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 622 หนุ่มรูปงามยามวิกาล

วิ่งวุ่นมาค่อนวัน กู้เจียวออกมาจากคฤหาสน์ได้ฟ้าก็มืดแล้ว

ตามหลักการแล้ว แม้ว่าฟ้าจะมืดก็ไม่อะไรหรอก เมืองเซิ่งตูคึกคักเพียงนี้ ดึกดื่นเที่ยงคืนยังค้าขายกันอยู่เลย แต่ช่างบังเอิญนัก นึกไม่ถึงว่านางจะเจอการห้ามเข้าออกเมืองยามวิกาลเสียนี่

ผู้คนบนถนนหนทางเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ร้านรวงสองฟากฝั่งทยอยกันปิดเรื่อยๆ

กู้เจียวมึนงงในทันใด

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

นางออกบ้านลืมพลิกปฏิทินดูรึ

นางสืบถามมาแล้ว ประตูเมืองชั้นในของเซิ่งตูจะปิดตอนยามซวี[1]สองเค่อโน่น ตอนนี้เพิ่งจะพ้นยามซวีไปเอง นางยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วยาม

ดูท่าวันนี้จะสืบถามข้อมูลของโรงหมอไม่ทันเสียแล้ว

ต้องรีบออกจากเมือง และจะเดินเท้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทันเช่นกัน

เพียงไม่นานกู้เจียวก็เล็งรถม้าที่จอดอยู่ในตรอกคันหนึ่ง

ไม่ได้ทำเรื่องปล้นสะดมชาวบ้านแบบนี้มานานแล้ว วันนี้ทั้งวันทำมาจนหมดเลยทีเดียว

คนขับรถไม่อยู่

ไม่รู้ว่าไปทำอะไรหรือไม่ แต่ในรถม้ามีคนอยู่ โคมไฟสะท้อนเป็นเงาร่างของบุรุษคนหนึ่ง

กู้เจียวกำลังจะหยิบหน้ากากออกมาใส่ พอควานดูกลับพบว่าหน้ากากหายไป

ดูท่าจะทำตกไว้ที่ไหนเสียแล้ว

ช่างเถิด ไม่มีหน้ากาก็ไม่มี กู้เจียวโกยปูนบนกำแพงมาละเลงหน้า แล้วกำกริชในมือแน่นพุ่งขึ้นรถม้า จ่อกริชลงบนลำคออีกฝ่าย

“อย่าขยับ”

นางใช้เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มที่ยังไม่แตกหนุ่มขู่ขวัญ

นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวพิสุทธิ์ตลอดร่าง ตัวนอกเป็นผ้าผืนบางสีดำอมคราม เอวรัดเข็มขัดหยก ใบหน้าด้านข้างสง่าประณีตดูมีวิชาความรู้ ขนตางอนยาว

แม้จะเคยเห็นหนุ่มรูปงามแบบเซียวเหิงมาแล้ว ก็จำต้องยอมรับว่านี่เป็นชายรูปงามอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว

อายุอานามท่าทางจะพอๆ กันกับเซียวเหิง กลิ่นอายดูสูงส่ง ใจเย็นสุขุม มีดพาดคอเขาอยู่ก็ยังไร้ความตื่นตระหนกให้เห็นแม้แต่น้อย

กู้เจียวเอ่ย “เจ้าส่งข้าออกจากเมืองชั้นใน ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ประตูเมืองฝั่งใต้”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

ในขณะนั้นเอง คนขับรถก็กลับมา “ท่านชาย ข้าถามมาแล้วขอรับ เถ้าแก่บอกว่ายังทำไม่เสร็จ ให้อีกสองวันเราค่อยมาเอา ยามนี้เราจะกลับกันเลยหรือไม่ขอรับ”

กู้เจียวนั่งอยู่ข้างกายชายคนนั้น แนบกริชชิดลำคอเขา เจตนาข่มขู่ชัดเจนมาก

ชายหนุ่มเอ่ย “ข้าจะออกประตูเมืองชั้นในฝั่งใต้”

ขนาดมีผ้าม่านกางกั้นไว้ กู้เจียวก็ยังสัมผัสได้ถึงอาการนิ่งอึ้งอย่างแรงของคนขับรถ “เพิ่งจะกลับมามิใช่หรือขอรับ เหตุใดจะออกไปอีกแล้วเล่า คืนนี้จู่ๆ ก็จำกัดเวลาเข้าออก พวกเราออกไปจะเข้ามาไม่ได้แล้วนะขอรับ”

ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

คนขับรถคงจะชินกับการสยบด้วยความเงียบของชายหนุ่มแล้ว เขาพึมพำสองสามประโยค ก่อนเอ่ย “ขอรับ ขอรับ ข้าไม่กล้าเถียงท่านหรอก”

คนขับรถนั่งบนเบาะนอกรถ ขับรถม้าไปยังประตูเมืองชั้นในฝั่งใต้

แต่โบราณว่าไว้ถูกต้องยิ่งนัก เวลาคนมันจะซวยดื่มน้ำก็ยังติดฟันได้

ยังไม่ถึงยามซวีสองเค่อเลยแท้ๆ ประตูเมืองก็ปิดก่อนเวลาเพราะผลกระทบจากการจำกัดเวลาเข้าออกยามวิกาลเสียแล้ว

“ออกไปไม่ได้แล้วขอรับ ท่านชาย” คนขับรถเอ่ย

ชายหนุ่มยังคงไม่ได้เอ่ยคำใด กู้เจียวรู้ว่าเขากำลังรอคำตอบจากนางอยู่

กู้เจียวมือหนึ่งถือกริชจ่อเขาไว้ อีกมือเลิกม่านขึ้นเป็นช่องเล็กๆ มองตามทางว่ามีโรงเตี๊ยมใดสามารถค้างคืนได้บ้าง

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าพักโรงเตี๊ยมส่งเดชดีกว่า ไม่มีตราอาญาสิทธิ์จะโดนจับ”

“ตราอาญาสิทธิ์คืออะไร” กู้เจียวถาม

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลักฐานของชาวเมืองชั้นนอกเข้าเมืองชั้นใน”

กู้เจียวกำลังคิดจะถามว่าเจ้ารู้ได้อย่างว่าข้าเป็นชาวเมืองชั้นนอก คำพูดติดอยู่ริมฝีปากก็รู้สึกว่าประโยคนี้มันเกินจำเป็น หากนางเป็นชาวเมืองชั้นใน จำกัดเวลาเข้าออกยามวิกาลแล้วก็ควรจะกลับบ้าน ไม่ใช่มาปล้นรถม้ารีบออกจากเมืองเช่นนี้

กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง ถาม “เช่นนั้นเจ้ามีตราอาญาสิทธิ์หรือไม่”

ชายหนุ่มเอ่ย “ชาวเมืองชั้นในมีตรามัจฉา ไม่ต้องใช้ตราอาญาสิทธิ์”

กู้เจียวรู้จักตรามัจฉาของแคว้นเยี่ยน เป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตนของตัวเอง

กู้เจียวมองเขา “ตรามัจฉาของเจ้าล่ะ”

ชายหนุ่มไม่ขยับ

กู้เจียวเหลือบมองบั้นเอวเขา มือข้างหนึ่งปลดถุงเงินเขามา ก่อนล้วงเอาตรามัจฉาสำริดชิ้นหนึ่งออกมาจากในนั้น

“คุณชาย” สารถีเอ่ยถามอยู่ด้านนอก “ท่านคุยกับใครหรือขอรับ บนรถมีคนหรือ”

กริชกู้เจียวขยับไหว ใช้แววตาบอกเขา

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “ละแวกนี้มีโรงเตี๊ยมไหนบ้างที่ยังไม่ปิด”

คนขับรถรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียง แต่คุณชายของเขาไม่ยอมบอกเขาก็ไม่อาจถามก้าวก่ายได้ เขาเอ่ย “ย้อนกลับไปสองลี้เหมือนจะมีอยู่โรงเตี๊ยมหนึ่งขอรับ”

“ไปที่นั่น” ชายหนุ่มบอก

“ขอรับ” สารถีขับรถม้าไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้น

ชายหนุ่มเอ่ยต่อ “จอดรถม้าตรงนี้ เจ้าไปหาละแวกนี้ต่อ ว่ายังมีโรงเตี๊ยมอีกหรือไม่”

“ขอรับ”

สารถีไปตามคำสั่ง

รู้จักใช้วิธีนี้แยกคนขับรถออกไปเสียด้วย กู้เจียวย่อมไม่มีทางคิดว่าเขาคิดแทนนางอยู่แล้ว น่าจะกลัวว่านางจะฟาดคนขับรถสลบเสียมากกว่า

เป็นคนฉลาดคนหนึ่งเลยทีเดียว

นึกบางอย่างขึ้นมาได้ กู้เจียวจึงถามอีก “เจ้าจะแจ้งทางการหรือไม่”

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เจ้าคิดว่าทางการจะตรวจสอบโรงเตี๊ยมทั่วทั้งเมืองชั้นในได้ภายในคืนเดียวรึ”

“ก็จริง” กู้เจียวพยักหน้า

ดูท่าเขาจะเดาได้ว่านางไม่มีทางเข้าพักโรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่เขาหาให้นาง

ช่างเป็นคนฉลาดจริงๆ

ซ้ำหน้าตาก็ยังหล่อเหลา

กู้เจียวทนไม่ไหว พินิจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ทันระวังเหลือบไปเห็นปลายนิ้วงามดุจหยกที่โผล่จากแขนเสื้อกว้างเล็กน้อย

กู้เจียวไม่นับว่าพวกแพ้มืออย่างร้ายแรง แต่มือนี้ก็ช่างสวยจนอยากจะคว้ามา เอิ่มเอ่อ…

กู้เจียวอดนึกถึงมือข้างนั้นที่เห็นที่โรงพักม้าขึ้นมาไม่ได้

คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอกกระมัง

ไม่สิ บนตรามัจฉาตระกูลเขียนว่ามู่ แต่ท่านชายที่โรงพักม้านั่นตระกูลซู

กู้เจียวลงจากรถม้า

นางไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มจะแจ้งทางการหรือไม่ แต่นางก็ไม่ได้ไปโรงเตี๊ยมอยู่ดี

นางไปหอนางโลมแทน

อีกฝ่ายคงเดาไม่ออกว่านางจะไปค้างแรมที่หอนางโลมกระมัง

กู้เจียวพักอยู่ในเมืองชั้นในหนึ่งคืน พอฟ้าสางประตูเมืองเปิด นางก็ใช้วิธีเดิมอย่างการหลบซ่อนอยู่ใต้ท้องรถม้าออกจากเมืองชั้นในไป

อาจารย์แม่หนานนอนไม่หลับทั้งคืน รออยู่ในเรือนตลอดจนรุ่งสาง ในที่สุดก็เห็นกู้เจียวกลับมา นางสีหน้าพลันผ่อนคลายลง พร้อมกับจับแขนกู้เจียวไว้ “ข้าตกใจแทบตาย นึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้ว…เมื่อคืนนี้เจ้าไปไหนมารึ”

กู้เจียวไม่อยากให้อาจารย์แม่หนานเป็นห่วง จึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ “เมื่อคืนเจอจำกัดเวลาเข้าออกยามวิกาลเข้า ข้าถูกรั้งอยู่ในเมืองชั้นใน ต่อมาจึงขโมยตรามัจฉาจากคนผู้หนึ่งมาพักอยู่ในเมืองชั้นในคืนหนึ่ง”

“เมืองชั้นในจำกัดเวลาเข้าออกยามวิกาลอย่างนั้นรึ” อาจารย์แม่หนานตกใจยิ่ง “เซิ่งตูมีการจำกัดเวลาเข้าออกน้อยยิ่งนัก เมืองชั้นในต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นแน่ๆ ”

กู้เจียวคิดในใจว่า หรือจะเป็นเพราะข้าแอบเข้าไปในคฤหาสน์คนผู้นั้นแล้วโดนพบเข้า จึงแตกตื่นกันทั่วทั้งเมืองชั้นใน

เช่นนั้นก็คงจะเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน ถึงทำเอาทั่วทั้งเมืองชั้นในมีการจำกัดเวลาเข้าออกเช่นนี้

ช่างเถิด อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นนาง

อาจารย์แม่หนานเอ่ย “ข้าไม่ได้บอกเสี่ยวซุ่น ข้าให้เสี่ยวซุ่นเข้านอนไปก่อนแล้ว เขาเพิ่งตื่นก็ถามข้าว่าเจ้าไปไหน ข้าบอกว่าเจ้าไปซื้อกับข้าว แต่เหยี่ยนเอ๋อร์รู้”

กู้เหยี่ยนเป็นเด็กที่หลอกยากที่สุดในบ้าน นอกจากร่างกายเขาไม่ดีแล้ว สมองเขากลับปราดเปรื่องเสียยิ่งกว่าใคร

เรื่องที่กู้เจียวไม่ได้กลับมาทั้งคืนจึงปิดบังเขาไม่ได้

กู้เจียวไปที่ห้องกู้เหยี่ยน นั่งลงข้างเตียง มองขอบตาแดงชื้นของเขา ก่อนหยักยกริมฝีปากเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร”

กู้เหยี่ยนค่อยๆ เอาหมอนวางไว้บนขานาง

กู้เจียวอยู่เป็นเพื่อนกู้เหยี่ยนครู่หนึ่ง ก็ไปกินมื้อเช้าที่ห้องโถง แล้วไปสำนักบัณฑิตเทียนฉงกับกู้เสี่ยวซุ่น

สำนักบัณฑิตเทียนฉงมีทั้งหมดสิบสองห้อง กู้เจียวถูกแยกอยู่ห้องหมิงซิน กู้เสี่ยวซุ่นถูกแยกอยู่ห้องหมิงเย่ว์

พวกเขาไปรับตำราหนังสือที่ห้องธุรการที่สำนักบัณฑิตจัดไว้ ก่อนจะไปยังห้องเรียนของตัวเอง

ชุดของสำนักบัณฑิตตัดเย็บตามขนาดตัวของทั้งคู่ อีกสองสามวันจึงจะได้รับ

กู้เจียวเข้าห้องเรียนมา

ห้องเรียนแคว้นเยี่ยนไม่ค่อยเหมือนกับแคว้นเจา พวกเขาใช้เป็นโต๊ะเตี้ยและม้านั่งเตี้ย โต๊ะหนึ่งตัวต่อนักเรียนสองคน

แต่ละแถวมีโต๊ะสี่ตัว ทั้งหมดแปดแถว

โต๊ะส่วนใหญ่มีคนนั่งหมดแล้ว

แต่ละคนบ้างก้มหน้าอ่านหนังสือ บ้างจับกลุ่มคุยกัน ไม่มีใครสังเกตเห็นนักเรียนใหม่เพิ่มเข้ามาในห้องเรียนเลย

จงติ่งก็อยู่ห้องหมิงซินเช่นกัน

เขานั่งอยู่ติดผนังด้านในแถวที่สาม ข้างๆ เขาไม่มีคน เขารีบกวักมือให้กู้เจียวอย่างดีอกดีใจ

กู้เจียวละกลัวเสียงดังของเขาจริงๆ จึงแสร้งมองไม่เห็น หอบตำราไปนั่งโต๊ะว่างๆ ติดประตูหลังแถวสุดท้ายอย่างเงียบๆ

จงติ่งผิดหวังไม่น้อย “ไม่เห็นข้าหรือ ท่านพี่เซียว!”

เขาลุกขึ้นยืน ตะโกนไปหากู้เจียว!

ยามนี้ดีนัก คนทั้งห้องหมิงซินพลันหันมามองกู้เจียวกันหมดแล้ว

กู้เจียวอยู่ในชุดสีครามตลอดร่าง มัดผมมวยแบบเรียบง่ายด้วยยางรัดผมสีน้ำเงิน ท่าทางสะอาดสะอ้าน แววตาเย็นชา แต่ใบหน้าเยาว์วัยนั้นดันมีปานแดงสะดุดตาเสียนี่

ห้องหมิงซินพลันเงียบงัน

จงติ่งกะพริบตาปริบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก ใช้มือปิดปาก สนทนากับกู้เจียวจากระยะไกลต่อ “ท่านพี่เซียว…เสียงข้าดังเกินไปหรือไม่”

กู้เจียวอยากเอาไม้ฟาดเขาให้สลบจริงๆ

เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า!

แต่การเชือดเฉือนด้วยสายตาจดจ้องทั้งห้องนี้ไม่ได้อยู่นาน จู่ๆ นอกห้องหมิงซินก็มีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตะโกนเสียงดัง “ท่านชายชิงเฉินมาเรียนแล้ว!”

ห้องหมิงซินที่เงียบเป็นเป่าสากพลันดังกระหึ่มขึ้น

“ว่าอย่างไรนะ ท่านชายชิงเฉินรึ”

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาด”

“ท่านชายชิงเฉินเหตุใดจู่ๆ จึงมาสำนักบัณฑิตเล่า”

“นั่นสิ ไหนว่าเขาไม่เคยมาเรียนเลยมิใช่รึ”

“ไป ไป ไป! ไปดูกัน!”

แต่ไม่รอทุกคนพุ่งออกไป เสียงระฆังของสำนักบัณฑิตก็ดังขึ้นเสียก่อน

ทุกคนจึงจำต้องกลับเข้าที่นั่งของตัวเองอย่างเสียไม่ได้

กู้เจียวไม่สนใจจะมองท่านชายชิงเฉินคนนั้น นางรู้สึกแค่ว่าชื่อนี้คุ้นหูทีเดียว

ขณะที่นางกำลังใคร่ครวญอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสายตาทุกคนพากันหันกลับมาที่นางอีกครั้ง

ไม่สิ พวกเจ้าดูท่านชายชิงเฉินของพวกเจ้า แล้วมาดูข้าอีกทำไม

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มในชุดสำนักบัณฑิตสีฟ้าครามก็เดินตรงมายังแถวสุดท้าย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็นั่งลงข้างกู้เจียวเลย

กู้เจียว “…” มานั่งข้าข้างทำไม ข้างหน้าว่างตั้งมากตั้งมายไม่เห็นรึ

กู้เจียวไม่สนใจเขา ถึงขนาดไม่มองเขาตรงๆ ด้วยซ้ำ ทำเพียงหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งขึ้นมาแสร้งทำเป็นพลิกเปิดอ่าน

เพียงไม่นาน อาจารย์ผู้สอนก็เข้าห้องหมิงซินมา

นักเรียนทุกคนลุกขึ้น ประสานมือคำนับให้อาจารย์ “คารวะอาจารย์เจียง!”

ภายใต้เสียงคารวะอาจารย์ของทั้งห้อง กู้เจียวได้ยินท่านชายชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ป้ายมัจฉาของข้าใช้ดีหรือไม่”

“แค่ก!”

กู้เจียวสำลักทันที!

[1] ยามซวี 19.00-21.00 น.