ตอนที่ 1547 เริ่มแผนการ (1) ตอนที่ 1548 เริ่มแผนการ (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1547 เริ่มแผนการ (1) / ตอนที่ 1548 เริ่มแผนการ (2)
ตอนที่ 1547 เริ่มแผนการ (1)

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่กู่ซินเยียนก็ไม่คาดคิด

ด้วยเหตุที่ว่า ไม่สำคัญว่าจวินอู๋เสียจะเลือกตำหนักใด สำนักธาราเมฆจะไม่เปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยเหตุผลนั้น ยิ่งกว่านั้น เผ่าจ้าววิญญาณของจวินอู๋เสียคือการค้นพบครั้งใหญ่สำหรับสามโลกชั้นกลางทั้งหมด

ประวัติความเป็นมาของสำนักธาราเมฆนั้นลึกซึ้งและมีชื่อเสียงอย่างมาก พวกเขาดูไม่เหมือนสำนักที่ตื้นเขินซึ่งปฏิบัติต่อศิษย์แตกต่างกันไปตามตัวตนของพวกเขา

แต่ถึงอย่างนั้น จวินอู๋เสียก็ยังไม่ได้รับการฝึกใดๆ แม้แต่กู่ซินเยียนเองก็เห็นกับตาว่าจวินอู๋เสียต้องมาทิ้งขยะที่หอจันทร์แรม

กู่ซินเยียนยังถามพวกรุ่นพี่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ให้อธิบายเป็นคำพูดแล้ว หอจันทร์แรมก็คือห้องเก็บสุราของสำนักธาราเมฆ ปกติมีคนดูแลสถานที่อยู่เพียงคนเดียว ไม่มีศิษย์คนไหนเคยได้รับการฝึกที่นั่น หอจันทร์แรมเป็นสถานที่แปลกประหลาดโดดเด่นเมื่อเทียบกับห้องสมุดธรรมดาๆ และหอเก็บสมบัติที่อยู่ใกล้เคียง

การจัดให้ศิษย์ใหม่ไปที่ห้องเก็บสุรา คอยเก็บกวาดทำความสะอาด ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่ากู่ซินเยียนจะพยายามทำความเข้าใจอย่างไร นางก็ไม่สามารถหาข้อสรุปที่สมเหตุสมผลได้ ทำให้นางรู้สึกเหมือนว่าจวินอู๋ถูกสำนักธาราเมฆทอดทิ้ง

กู่ซินเยียนเริ่มสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักธาราเมฆถึงทำเช่นนั้นกับจวินอู๋

“เราจะสังเกตไปอีกระยะหนึ่ง” กู่ซินเยียนพูดอย่างระมัดระวัง นางสังเกตเห็นว่าแม้ว่าข่าวลือซุบซิบมากมาย แต่จวินอู๋เสียก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นี่ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่นางจะเคลื่อนไหว นางต้องรอจนกว่าจวินอู๋เสียจะเดือดร้อนเสียก่อน แล้วค่อยยื่นมือออกมาช่วยเหลือเพื่อแสดงความมีน้ำใจต่อเขา

เมื่อเห็นว่ากู่ซินเยียนยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะเอาชนะใจจวินอู๋ หลินเฮ่าอวี่ก็แอบเบะปากอย่างดูถูก เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

“ซินเยียน เจ้าคิดจะรอจนกว่าเจ้าจวินอู๋นั่นได้รับความอยุติธรรมแล้วค่อยยื่นมือเข้าช่วยเขาอย่างนั้นหรือ”

“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรเล่า” กู่ซินเยียนพูด เมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับจวินอู๋เป็นระยะเวลาหนึ่ง จวินอู๋มักทำให้นางรู้สึกว่าพวกเขาเหินห่างกันอยู่เสมอ ไม่ว่านางจะพยายามมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังอยู่ในสถานะที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้กู่ซินเยียนรู้สึกหงุดหงิดผิดหวัง นางพยายามทำลายทางตันนั้น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

“ให้ข้าช่วยหรือไม่” หลินเฮ่าอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

กู่ซินเยียนเลิกคิ้ว “อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าจวินอู๋รู้เข้าและคิดว่าตำหนักมารโลหิตเราเป็นศัตรูกับเขา เขาคงไม่อยากเป็นมิตรกับเราแน่นอน”

หลินเฮ่าอวี่ยังคงยิ้มขณะตอบว่า “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ข้าไม่ได้โง่นะ บางครั้งการผลักคนให้จนตรอก ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มือตัวเองสกปรก ที่ต้องทำก็แค่ออกแรงผลักและกระทุ้งเล็กน้อย แล้วคนอื่นๆ ก็จะทำให้เราเอง”

กู่ซินเยียนมองรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าของหลินเฮ่าอวี่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด แต่ทุกตำหนักได้สั่งทุกคนก่อนมาที่นี่แล้วว่าไม่ให้หาเรื่องจวินอู๋ เจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้”

หลินเฮ่าอวี่ตอบว่า “คำสั่งก็ส่วนคำสั่ง แต่เจ้าก็เห็นแล้วนี่ คนที่ไม่พอใจจวินอู๋ในสำนักธาราเมฆมีอยู่มากมาย พวกเขาล้วนเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน มันจะมีคนที่ทำอะไรไม่คิดอยู่เสมอ”

กู่ซินเยียนยังคงไม่เห็นด้วยเล็กน้อย แต่คำพูดของหลินเฮ่าอวี่ก็จี้ใจนาง ตอนนี้การฝึกของแต่ละสาขาได้เริ่มขึ้นแล้ว นางไม่มีเวลาทำตามแผนของตัวเองมากนัก การเข้ามาในสำนักธาราเมฆ นอกจากจะฝึกคนเก่งๆ ให้กับตำหนักมารโลหิตแล้ว นางยังต้องพัฒนาพลังของตัวเองด้วย

“อย่าให้จวินอู๋รู้เล่า” กู่ซินเยียนยอมจำนนในที่สุด

ตอนที่ 1548 เริ่มแผนการ (2)

เมื่อกู่ซินเยียนยอมตกลง หลินเฮ่าอวี่ก็แอบหัวเราะในใจ เขารับคำอย่างดี จากนั้นหันหลังกลับไปจัดการตามแผน

ในเวลานั้น จวินอู๋เสียไม่รู้ว่าหลินเฮ่าอวี่เล็งนางเอาไว้แล้ว นางยังคงทำงานรับใช้ภายใต้การทรมานของซูหย่าต่อไป

หลังจากทำความสะอาดชั้นสองแล้ว ซูหย่าก็พาจวินอู๋เสียไปที่ห้องใต้ดินของหอจันทร์แรม ที่นั่นเต็มไปด้วยกลิ่นสุราที่เพิ่งหมักเมื่อไม่นานนี้ ห้องใต้ดินอากาศไม่ถ่ายเท จวินอู๋เสียเพิ่งเดินเข้าไปข้างในก็แทบจะเมาจากการหายใจเอากลิ่นสุราทั้งหมดในนั้นเข้าไป

แต่ซูหย่าไม่สนใจ นางทิ้งจวินอู๋เสียไว้ในห้องใต้ดินและให้นางดูแลที่นั่น

จวินอู๋เสียถูกทิ้งให้อยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน ทุกวันที่นางกลับจากหอจันทร์แรม ทั้งตัวก็มีแต่กลิ่นสุรา ขนาดอยู่ห่างๆ ผู้เยาว์คนอื่นก็ยังได้กลิ่นสุราบนตัวจวินอู๋เสีย

แม้ว่าจะยังเด็ก แต่สำหรับผู้เยาว์ที่ติดอยู่ในสำนักธาราเมฆและไม่มีอะไรให้เลยนอกจากอาหารพื้นๆ กับชาเก่าๆ สุราและอาหารรสเลิศเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม พวกเขารู้สึกหดหู่ใจกับสิ่งที่ตนได้รับอยู่แล้ว พอพวกเขาต้อง ‘ดม’ กลิ่นจวินอู๋เสียที่กลายเป็นไหสุราเดินได้กลับมาทุกวัน พวกผู้เยาว์ที่ไม่ชอบจวินอู๋เสียอยู่แล้วก็ยิ่งเกลียดนางมากขึ้น

พวกเขาโดนอาจารย์ฝึกโหดจนแทบตายทุกวัน ต้องกินอาหารรสชาติจืดชืดเหมือนน้ำเปล่า แต่จวินอู๋เสียกลับมีอาหารรสเลิศพร้อมสุราอย่างดีกินอยู่อย่างสบายทุกวันอย่างนั้นหรือ

ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะลืมไปแล้วว่าเพิ่งหัวเราะเยาะจวินอู๋เสียที่ชีวิตตกต่ำถูกสำนักธาราเมฆทอดทิ้ง และกลับมาอิจฉาโชคดีของจวินอู๋เสียแทน

ตอนแรก ความอิจฉาก็แค่ถ่ายทอดผ่านคำพูดจากปากของพวกเขา แต่ความเงียบและความโดดเดี่ยวของจวินอู๋เสียทำให้พวกผู้เยาว์เริ่มลงมือโจ่งแจ้งมากขึ้น

วันหนึ่ง ขณะที่จวินอู๋เสียเพิ่งกลับมาที่หอพักและกำลังจะกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน ที่หน้าประตูของนางมีกองขยะจำนวนมากขวางเต็มหน้าประตู ขยะที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นขวางทางนางเอาไว้จนหมดสิ้น ขนาดรูกุญแจก็ยังมีอะไรไม่รู้ยัดไว้ด้วย

จวินอู๋เสียยืนมองกองขยะที่อยู่หน้าประตู ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย

ผู้เยาว์หลายคนออกมาจากห้องที่อยู่ใกล้กัน และเห็นจวินอู๋เสียยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเฉยเมย พวกเขาก็พากันยิ้มด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุด

“เฮ้อ ภารโรงตัวน้อยของเรารักงานมากขนาดเอางานกลับมาที่หอพักเลยหรือ”

“ในเมื่อชอบเก็บขยะมากขนาดนั้น ก็ไม่น่ากลับมาที่ห้องเลย นอนกับกองขยะไปสิ ไม่ต้องยุ่งยากดีด้วย อย่างไรเสีย ขยะก็เหมาะกับเขามากจริงๆ ใช่หรือไม่”

“อี๋ กลิ่นเหลือทนจริงๆ เหม็นเป็นบ้า”

เหล่าผู้เยาว์มองจวินอู๋ด้วยสายตาชั่วร้าย ยิ่งจวินอู๋สับสนหงุดหงิดมากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งรู้สึกดีมากเท่านั้น

“คนบางคนชอบอยู่ท่ามกลางกองขยะ แต่พวกเราที่นี่ไม่ชอบหรอกนะ ไม่เป็นไร ปล่อยให้คนบางคนนอนกับกองขยะไป พวกเราไปพักผ่อนในห้องสะอาดๆ ของเราดีกว่า”

พูดจบ พวกผู้เยาว์ก็หันกลับและจากไป ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบัง

จวินอู๋เสียมองด้านหลังของผู้เยาว์พวกนั้นด้วยดวงตาที่ทอประกายเย็นชา

หลินเฮ่าอวี่กอดอกมองสีหน้าเย็นชาของจวินอู๋เสียอยู่ตรงหัวมุม มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน เมื่อเขาเห็นผู้เยาว์พวกนั้นเดินตรงมาทางเขา เขาก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันทีและเดินออกมาจากมุมด้วยท่าทางขึงขัง กล่าวถ้อยคำที่ฟังดูเป็นคนดีว่า “พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ! รังแกคนที่ไม่มีทางสู้แบบนี้ จวินอู๋ยังเด็ก พวกเจ้ารังแกเขาแบบนี้ได้อย่างไร!”

“หลินเฮ่าอวี่ เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย จวินอู๋ไม่ใช่คนของตำหนักมารโลหิตเสียหน่อย เจ้าจะสนใจทำไม” ผู้เยาว์คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ