ตอนที่ 1549 เริ่มแผนการ (3) / ตอนที่ 1550 เริ่มแผนการ (4)
ตอนที่ 1549 เริ่มแผนการ (3)
“ไม่ใช่คนของตำหนักมารโลหิตเราแล้วอย่างไร ข้าแค่ทนดูพวกเจ้ารังแกคนเช่นนี้ไม่ได้! จวินอู๋ไปล่วงเกินอะไรพวกเจ้า พวกเจ้าก็แค่อิจฉาที่จวินอู๋ได้คำเชิญจากทั้งสิบสองตำหนัก คิดว่าตัวเองเป็นใคร พวกเจ้าแค่โชคดีพอจะได้รับเลือกจากตำหนักแห่งเดียวและวิ่งไปเกาะขาพวกเขาเหมือนสุนัข แค่นั้นพวกเจ้าก็ดีใจกันแล้วหรือ พวกเจ้ามีใครได้รับคำเชิญจากตำหนักทั้งสิบสองแห่งบ้าง พวกเจ้ามีตัวเลือกอื่นกันหรือไม่เล่า ถ้าสู้คนอื่นไม่ได้ ก็ไม่ควรเที่ยวรังแกคนแบบนี้ หรือนั่นคือความสามารถทั้งหมดของพวกเจ้าเล่า” หลินเฮ่าอวี่ด่าผู้เยาว์พวกนั้นเสียงดังฟังชัด ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องบนชั้นนั้นพากันออกมา พวกคนที่อยากรู้อยากเห็นต่างโผล่หัวออกมาจากประตูและดูการแสดงต่อไป
ผู้เยาว์พวกนั้นโกรธจนหน้าเขียวหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเฮ่าอวี่ แม้ว่าสิ่งที่หลินเฮ่าอวี่พูดจะระคายหูอย่างมาก แต่มันก็จี้ใจดำพวกเขาอย่างจัง เหตุผลที่พวกเขาทำตัวน่ารังเกียจกับจวินอู๋ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาอิจฉาเจ้าหมอนี่จริงๆ
แต่ถึงแม้คำพูดนั้นจะเป็นความจริง มันก็ไม่ได้ช่วยหยุดความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อจวินอู๋เสียเลย กลับทำให้พวกเขารู้สึกอัปยศอดสูที่ถูกเปิดโปงจนกลายเป็นความโกรธ!
“หลินเฮ่าอวี่! ระวังปากเจ้าไว้หน่อยจะดีกว่า! ใครจะอิจฉาเจ้าเศษขยะนี่กัน! มันได้รับคำเชิญจากทั้งสิบสองตำหนักแล้วอย่างไร สุดท้ายก็จบลงที่ตำหนักหยกวิญญาณบัดซบนั่นไม่ใช่หรือ แล้วก็ต้องกลายมาเป็นภารโรงไร้ประโยชน์ในสำนักธาราเมฆนี่ สำนักธาราเมฆยังไม่สนมันสักนิด แล้วเจ้าจะกระโจนออกมาทำตัวเป็นวีรบุรุษไปทำไม!” ผู้เยาว์พวกนั้นโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ พวกเขาเถียงโดยไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสำนักธาราเมฆไม่สนใจเขา ทางสำนักอาจจะเตรียมการพิเศษอะไรบางอย่างให้จวินอู๋ก็ได้ พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเจ้ารู้ถึงการตัดสินใจของสำนัก พวกเจ้ากำลังเทียบตัวเองกับจวินอู๋หรือ พลังกระจอกๆ อย่างเจ้าไม่ดีพอจะเอามาอวดใครที่นี่หรอก! จวินอู๋เป็นคนจากเผ่าจ้าววิญญาณเพียงคนเดียวของสามโลกชั้นกลาง พวกเจ้าเป็นใครถึงได้เอาตัวเองไปเทียบกับเขา!” หลินเฮ่าอวี่เย้ยหยันด้วยลิ้นพิษของเขา
ทั้งสองฝ่ายยืนเถียงกันอยู่กลางทางเดิน หลินเฮ่าอวี่ปกป้องจวินอู๋เสียทุกคำ แต่คำพูดของเขาล้วนระคายหูอย่างมาก แม้แต่พวกผู้เยาว์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็เริ่มไม่พอใจจวินอู๋เสียหลังจากได้ยินคำพูดยโสโอหังจนเกินรับของหลินเฮ่าอวี่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ชอบจวินอู๋เสียอยู่ก่อนแล้วเลย
“เจ้าพูดอะไร เป็นคนเผ่าจ้าววิญญาณแล้วมันพิเศษมากนักหรือ เป็นเผ่าหายากแล้วทำให้สูงส่งนักหรือไง เขาเลือกตำหนักหยกวิญญาณเอง แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ในสำนักธาราเมฆ เขาก็เลยไปเกาะขาทองคำของตำหนักมารโลหิตอย่างนั้นสิ ถุย!”
การโต้เถียงเกี่ยวกับจวินอู๋ได้มาถึงจุดที่เลวร้ายกว่าที่เคยเป็นแล้ว
คำโต้เถียงของหลินเฮ่าอวี่ไม่เพียงไม่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรให้จวินอู๋เสีย แต่กลับทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากขึ้น
เมื่อการโต้เถียงสิ้นสุดลง หลินเฮ่าอวี่กับผู้เยาว์พวกนั้นแยกย้ายกันไป พวกผู้เยาว์ที่ดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก็พากันหันหน้าไปมองจวินอู๋เสีย
ท่ามกลางเสียงทะเลาะดังลั่น จวินอู๋เสียกลับทำเหมือนคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการโต้เถียงของพวกเขาเลย นางแค่ทำความสะอาดกองขยะที่หน้าห้องของนางอย่างเงียบๆ โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
แต่สายตาที่จ้องมองจวินอู๋เสียเริ่มไม่เป็นมิตรมากขึ้น เป็นสายตามุ่งร้ายอย่างที่ไม่สามารถชัดเจนไปมากกว่านี้ได้แล้ว
จวินอู๋เสียไม่สนสายตาที่จ้องมองมาแม้แต่น้อย นางเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ ปิดกั้นเสียงด่าทอสาปแช่งจากผู้คนข้างนอกนั่น
ในขณะเดียวกัน หลังจากเลี้ยวตรงมุมไปแล้ว ใบหน้าของหลินเฮ่าอวี่ที่แสร้งทำเป็นโกรธก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที
ตอนที่ 1550 เริ่มแผนการ (4)
คนหนุ่มสาวเป็นพวกที่ถูกยุยงปลุกปั่นจากความคิดเห็นของมหาชนได้ง่ายที่สุด พวกเขาฮึกเหิมคึกคะนองและเลือดร้อน ความสามารถในการแยกแยะถูกผิดก็มักจะได้รับอิทธิพลจากความเห็นภายนอก หลังจากการทะเลาะกันของหลินเฮ่าอวี่กับผู้เยาว์กลุ่มนั้น ชื่อเสียงของจวินอู๋เสียในหมู่ศิษย์ใหม่ของสำนักธาราเมฆก็ยิ่งเลวร้ายอย่างถึงที่สุด
ทุกคนแอบรังเกียจนางที่พอใจในตัวเองจนออกนอกหน้า คิดว่าการได้รับคำเชิญจากสิบสองตำหนักทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก หลังจากเลือกตำหนักหยกวิญญาณชัดเจนแล้วก็ยังเกาะแข้งเกาะขาตำหนักมารโลหิตอย่างหน้าไม่อาย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการถูกสำนักเมิน กลายเป็นขยะที่ถูกส่งไปทำงานจิปาถะที่ห้องเก็บสุรา
ท่ามกลางเสียงด่าทอทั้งหลาย มีเพียงผู้เยาว์จากตำหนักมารโลหิตเท่านั้นที่คอยเถียงปกป้องจวินอู๋เสีย ตอนที่ทุกคนด่าจวินอู๋เสีย พวกผู้เยาว์ของตำหนักมารโลหิตก็จะเข้าข้างจวินอู๋เสียและโต้เถียงกับคนอื่นอย่างดุเดือด
แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้น ไม่เพียงไม่ช่วยลดคำด่าทอจวินอู๋เสีย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
หลังจากกู่ซินเยียนรู้ถึงสถานการณ์ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
สิ่งที่หลินเฮ่าอวี่ทำครั้งนี้ทำให้นางพอใจมาก ไม่เพียงทำให้ผู้เยาว์จากตำหนักอื่นๆ เป็นฝั่งตรงข้ามกับจวินอู๋เสีย ยังทำให้ตำหนักมารโลหิตเป็นเพียงพันธมิตรเดียวของเขา แค่แกล้งทำเป็นหวังดีก็ทำให้ได้ผลลัพธ์ดีกว่าที่นางคาดไว้
ทัศนคติของกู่ซินเยียนที่มีต่อหลินเฮ่าอวี่จึงดีขึ้น
พวกเฉียวฉู่ได้ยินคำก่นด่าทั้งหมด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองด้วยสายตาเย็นชา สวรรค์รู้ดีว่ากี่ครั้งแล้วที่พวกเขาเกือบจะทนไม่ไหว อยากจะกระโดดออกไปอัดไอ้พวกปากมอมโง่เง่านั่นแรงๆ สักที
จวินอู๋เสียเป็นขยะอย่างนั้นหรือ
น้องเสียของพวกเขาคือผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสี่นะ! มีภูติวิญญาณประเภทพฤกษาสองตนกับวิญญาณแมวดำที่แปลงร่างได้ด้วยนะ!
ถ้านางเป็นขยะ คนพวกนี้ก็แย่ยิ่งกว่าขยะอีกน่ะสิ!
อย่างไรก็ตาม เพื่อการโค่นล้มสิบสองตำหนัก พวกเขาจึงทำได้แค่นิ่งเงียบ บ่นพึมพำอยู่ในใจ และจดจำบัญชีแค้นทุกอย่างเอาไว้ ถึงวันที่ภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นเมื่อไร พวกเขาจะให้เจ้ากุ้งฝอยโง่เง่าพวกนี้ได้ลิ้มรสชาติผลไม้ชั่วร้ายจากเมล็ดที่พวกมันได้หว่านเอาไว้ในวันนี้!
สิบสองตำหนักยิ่งใหญ่นักหรืออย่างไร
ถ้าเจ้าโง่พวกนี้รู้ว่าจวินอู๋เสียที่พวกมันดูถูกนักหนา มาที่นี่เพื่อทำลายล้างตำหนักที่สูงส่งในใจพวกมัน อยากรู้นักว่าพวกมันจะคิดอย่างไร
สำหรับคำด่าทอทั้งหมดนั้น จวินอู๋เสียเองก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นางไปรายงานตัวที่หอจันทร์แรมตามเวลาที่กำหนดทุกวัน และดำเนินชีวิตที่ขมขื่นภายใต้น้ำมือของซูหย่าต่อไป
วันหนึ่ง จวินอู๋เสียเพิ่งเข้าไปในห้องใต้ดิน เทียนเจ๋อก็มาที่หอจันทร์แรม ซูหย่ากำลังนอนดื่มสุราอยู่บนโซฟานุ่มๆ ของนาง เมื่อเห็นเทียนเจ๋อเข้ามา นางก็ขี้เกียจเกินจะเงยหน้าขึ้น และไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่…” เทียนเจ๋อมาพร้อมใบหน้ายิ้ม เขามองซูหย่าที่เมินเขาอย่างสิ้นเชิง
“อย่ามาเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ข้าไม่มีศิษย์น้องโง่อย่างเจ้า!” ซูหย่าชำเลืองมองเทียนเจ๋อด้วยสีหน้ารังเกียจ
ถ้าใครมาเห็นเหตุการณ์ตอนนี้เข้า คาดว่าคงได้อ้าปากค้างแน่
สถานะของเทียนเจ๋อในสำนักธาราเมฆนั้นสูงมาก อาจารย์ทั่วไปในสำนักต้องก้มหัวเคารพเขาตอนที่เจอกัน ศิษย์ทั้งหลายต่างให้ความเคารพเขาอย่างถึงที่สุด แต่ใครจะคิด เทียนเจ๋อที่มีสถานะสูงส่งในสำนักธาราเมฆ เมื่อเจอกับซูหย่าที่เป็นคนเฝ้าห้องเก็บสุรา ก็กลายเป็นลูกไล่ทันที อย่าพูดถึงเรื่องทำหน้าตึงใส่เลย เดินยิ้มมายังเกรงว่าไม่พอด้วยซ้ำ!