War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2120
ตอนที่ 2,120 : ชายคลุมดำ ผู้ช่วยเหลือ?
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย
ควาดกดดันดังกล่าวเสมือนหินหนักตั้งทับอยู่กลางอก พาลให้ใจเขาจมลงไม่น้อย
“จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมาไม้นี้…หมายความว่าเว้นแต่ข้าจะยอมละทิ้งตราผนึกมาร ไม่งั้นก่อนที่พลังฝีมือข้าจะสูงพอปกป้องตราผนึกมารในมือ ข้าก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเสียงเบา ขณะเดียวกันสีหน้าเขาก็เริ่มมืดคล้ำดำลง ราวจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก
เรียกว่าหลังจากนี้ต่อไป ต้วนหลิงเทียนแม้จะปรากฏตัววต่อหน้าผู้ใด ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต้วนหลิงเทียนออกไปได้โดยง่าย ไม่งั้นได้โดนกลุ้มรุมจากยอดฝีมือระดับสูงๆของนครแห่งบาปแน่
ตราผนึกมาร ในฐานะยอดศาสตราเซียนแล้ว มันมีอำนาจล่อลวงใจมากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวราชสีห์ขนทองไม่เพียงแต่บอกคนอื่นว่าเขามีตราผนึกมาร มันยังบอกว่าเขาสมควรมีกระบี่ไร้ลักษณ์อีกเล่มด้วย!
กระบี่ไร้ลักษณ์ก็เหมือนกันกับตราผนึกมาร…มันคือยอดศาสตราเซียน!
“ยอดศาสตราเซียน ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็มีอยู่แค่ 10 ชิ้น…ตอนนี้จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมันบอกผู้อื่นว่าในมือข้ามีถึง 2 แบบนี้ไม่ว่าใครก็อิจฉาและอยากฆ่าข้าชิงของทั้งนั้น”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่แววตาของต้วนหลิงเทียนได้แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ท่าทางราวกับพร้อมจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
“จ้าวราชสีห์ขนทอง…คราวนี้ข้าได้รับการ ‘ดูแล’ จากเจ้าอย่างดีจริงๆ…ข้าต้วนหลิงเทียนมีพลังทัดเทียมเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนเมื่อไหร่ จะรีบส่งเจ้าไปหาลูกชายในนรกทันที!”
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกจ้าวราชสีห์ขนทองจัดการแบบนี้ นับว่าเขาถูกบีบให้ต้องหลบๆซ่อนๆจนกว่าจะมีพลังฝีมือสูงพอแล้วจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกลียดราชสีห์ขนทองที่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาผู้นี้นัก
“พรสวรรค์รากวิญญาณ…ข้าต้องการพรสวรรค์รากวิญญาณที่ยอดเยี่ยมกว่านี้!”
เนื่องจากตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นรากวิญญาณสีครามไปแล้ว เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในการบ่มเพาะพลังอย่างชัดเจน เช่นนั้นเขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะยกรับพรสวรรค์รากวิญญาณอีกครั้ง เพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะให้ถึงขีดสุด
“ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีม่วง กระทั่งกลายเป็นสีม่วงเข้ม…ด้วยมีชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติหนุนเสริม คิดทะลวงให้ถึงเซวียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ไม่นานเกินรอ”
“ทันทีที่พลังฝึกปรือข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน นั่นหมายความว่าข้าไม่ต้องหดหัวซ่อนหางอะไรอีกต่อไป…ถึงตอนนั้นต่อให้ข้ามียอดศาสตราเซียนในมือ 2 ชิ้นจริงๆแล้วใครจะทำไม!”
“ยังจะมีหน้าไหนกล้าแหยมข้าอีก!”
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้เห็นฉากเรื่องราวตอนเขาบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน
แน่นอนว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง และดั่งจะถูกน้ำเย็นราดรดลงหัวก็ไม่ปาน ตื่นจากฝันโดยสมบูรณ์
“ตอนนี้ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป พร้อมชุดคลุมลมดำตัวใหญ่ ต่อให้ภาพเหมือนข้าจะถูกแจกไปทั่ว แต่ข้างนอกก็ไม่น่ามีใครจดจำข้าได้อีกต่อไป”
คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ด่านพลังพึ่งบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลาง…ช่วงนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับด่านพลัง ทำให้รากฐานมั่นคง…ไปหาพวกอีกาทมิฬเพื่อรบกวนให้พวกมันช่วยปรับพลังหน่อยแล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำกับตัวเองอีกสักพัก ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปทันที
ยังดีที่คนของอีกาทมิฬไม่ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วพวกมันคงได้หวาดกลัวจนหน้าเสีย และไม่กล้าก่อการใดๆในนครแห่งบาปช่วงนี้แน่
ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ยังจะนับประสาอะไรกับสมาชิกทั่วไปของอีกาทมิฬ ต่อให้ชนชั้นผู้นำมาเองเขาก็ลำบากเพียงหนึ่งกระบี่ในการสังหารมันเท่านั้น
ผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬก็ไม่ต่างอะไรจากผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีมากนัก พลังฝึกปรือล้วนอยู่ในเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนดุจเดียวกัน
และตอนนี้กระทั่งรองผู้นำอีกาทมิฬอย่าง เจียวจ้านก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน
ว่าอดีตคนที่สวมรอยเป็น ปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ หลังจากฆ่าน้องชายมันเจียวถูไปแล้ว ยังเตรียมลงมือเก็บกวาดคนของพวกมันพันธมิตรอีกาทมิฬ!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตระเวนไปทั่วนครแห่งบาป
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นคนของพันธมิตรอีกาทมิฬก่อการชั่วร้ายรอเก็บตกซ้ำเติมผู้อื่น ประพฤติตัวดั่งเฒ่าประมง อาศัยโอกาสที่ผู้อื่นบาดเจ็บไร้พลัง เขาจะลงมืออย่างดุร้ายฆ่าคนของอีกาทมิฬที่ก่อการทันที!
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนของอีกาทมิฬเท่านั้นที่คิดหากินด้วยวิธีการนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่าคนไปมากมาย! เรียกว่าไม่ว่าหน้าไหนก่อการอุบาทว์ดังกล่าว เขาล้วนเข่นฆ่าสังหารแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตามสัดส่วนจำนวนคนที่ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนนั้น คนของพันธมิตรอีกาทมิฬนับว่ายืนหนึ่ง!
และเมื่อข่าวเรื่องราวดังกล่าวถูกส่งกลับมายังพันธมิตรอีกาทมิฬ พวกมันทุกคนล้วนหน้าเสียทันที
“ชายในชุดคลุมลมดำนั่น…ตราบใดที่เห็นคนของอีกาทมิฬเราฉวยโอกาสอาศัยตอนที่ผู้อื่นบาดเจ็บเพื่อฆ่าชิงทรัพย์ มันจะลงมือฆ่าคนของพวกเราก่อนงั้นเหรอ…ยังลงมือสังหารในกระบวนเดียว?”
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกรายงานมาที่ฐาน ทุกคนก็ตื่นตระหนกตกใจกันไม่น้อย
เรียกว่าพริบตานี้คนของอีกาทมิฬทั้งหลายสัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง ต่างคิดว่าจะเลิกหากินเช่นนี้เป็นการชั่วคราว ต่อไปไม่อาจลงมือทำร้ายปล้นชิงผู้อื่นตอนบาดเจ็บได้อีกต่อไป
ไม่งั้นเกิดพวกมันเจอชายในชุดคลุมลมดำนั่นเข้า ได้ชะตาขาดแน่ๆ!
“มันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนถึงได้มุ่งเป้ามาที่คนพันธมิตรอีกาทมิฬเรา…มันคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬของพวกเราให้ถึงที่สุดหรือ?”
เหล่าคนของอีกาทมิฬได้แต่ร่ำร้อง
“ผู้ที่ตกตายด้วยมือมันไม่เพียงแค่คนอีกาทมิฬเราเท่านั้น…ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คิดอาศัยประโยชน์จากการสู้รบของผู้อื่น ล้วนถูกมันเก็บหมดสิ้น!”
สมาชิกอีกาทมิฬบางคนแย้ง
ในวาจาของมันยังพยายามแจกแจงพฤติกรรมของชายในชุดลุมลมดำนั่น ว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะกับพวกมัน
“ที่แท้มันคิดกระทำสิ่งใดกันแน่ อย่าได้บอกเชียวว่ามันคิดเป็นผู้กล้าช่วยเหลือคนอื่น?”
“ไม่ว่าจะผู้กล้าหรือตัวบัดซบอันใด คนอีกาทมิฬเราล้วนตายตกด้วยน้ำมือมันหลายคนนัก…หากเจอตัวมัน ข้าจักให้มันถามหาคำอธิบายให้พวกเราอีกาทมิฬ!”
“อธิบาย? เจ้าล้อเล่นหรือ เจ้าไม่ได้ยินที่มันกล่าวประกาศไว้หรือไร ว่าอย่าให้มันเห็นคนใส่ชุดอีกาทมิฬเดินบนถนน หาไม่แล้วมันจะลงมือฆ่าให้ตาย!”
“ข้าว่าเจ้าชุดคลุมลมดำนั่นมันกำลังจงใจหาเรื่องอีกาทมิฬของพวกเรา! หากไม่ฆ่ามันให้ตาย ข้ากลัวว่าอีกาทมิฬของพวกเราคงยากยืนหยัดอยู่ในนครแห่งบาปได้แล้ว!”
… …
วาจาทำนองเดียวกันนี้ดงขึ้นไปทั่วฐานที่มันกอกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ
ปงงง!!
เสียงสนั่นหนึ่งพลันดังขึ้นจากลานในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตฐานที่มั่นอีกาทมิฬ เป็นเสียงเจียวจ้านบันดาลโทสะฟาดทุบโต๊ะหินอ่อนทิ้ง!
เรียกว่าไม่เพียงโต๊ะหินสวยงามจะกลายเป็นธุลีดิน กระทั่งพื้นดินเบื้องหน้าของมันยามนี้ยังเป็นหลุมลึกลงไปปานหลุมอุกกาบาต
“ช่างกล้านัก! มันถือดีอันใดมาฆ่าคนอีกาทมิฬของข้า!!”
ใบหน้าเจียวจ้านเต็มไปด้วยความดุร้ายไร้สิ้นสุด ยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ลูกตาประหนึ่งจะยิงลำแสงความร้อนออกมา
ท่าทางของเจียวจ้านยามนี้ประหนึ่งอสรพิษดุร้ายใคร่ฉกกัดเหยื่อ!
“ผู้นำกับรองผู้นำอีก 2 คนก็ไม่อยู่…เช่นนั้นข้าเจียวจ้านจะจัดการเจ้าเอง ไอ้ชายชุดดำบัดซบ!”
สิ้นคำร่างเจียวจ้านก็อันตรธานหายไปปานสายลม
ชายในชุดคลุมลมดำที่ถูกคนของอีกาทมิฬกล่าวถึงกันหนาหูไม่ใช่ชื่ออะไร เพียงแต่เป็นชายในชุดคลุมลมดำที่พวกมันไม่ทราบว่าเป็นใครเท่านั้น จึงเรียกตามลักษณะการแต่งกาย
และชายในชุดคลุมลมดำผู้นี้ย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่ปิดบังตัวตนเอาไว้เป็นธรรมชาติ
“ช้า…ยังช้าเกินไป…ถึงแม้จะฆ่าและดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณผู้คนไปไม่น้อย แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันล้วนไม่นับเป็นอะไรสำหรับรากวิญญาณสีคราม แทบไม่ต่างจากเติมน้ำหยดเดียวลงถัง…”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังร่อนเร่ไปทั่วนครแห่งบาปอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“เฮ่! พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ตอนนี้ในนครแห่งบาปเรามีผู้กล้าที่มาในชุดคลุมลมดำคอยช่วยเหลือผู้คนราวกับผดุงคุณธรรมแทนฟ้าด้วย?”
ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งพลันดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน
“ใช่เจ้ากำลังกล่าวถึงชายในชุดคลุมลมดำที่ฆ่าคนของอีกาทมิฬหรือไม่?”
“มิผิด เป็นมันเอง!”
“เจ้าว่ามันเป็นผู้กล้าผดุงคุณธรรมแทนฟ้าหรือ แต่ข้าคิดว่ามันก็แค่ดำกินดำ!”
“เจ้ากล่าวแบบนั้นก็อาจถูก แต่ข้าก็ไม่อาจรังเกียจคนผู้นี้ได้ลง…เพราะอย่างไรหากมิได้ประพฤติตัวต่ำช้าเหมือนคนของอีกาทมิฬ ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะลงมือกับผู้อื่นส่งเดช”
…
ต้วนหลิงเทียนได้ยินวาจาทำนองนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไรอีก
ผู้คนในนครแห่งบาปบ้างก็วิจารย์การกระทำของเขาบ้างก็ชมชอบการกระทำของเขา
บางคนคิดว่าเขาผดุงคุณธรรมแทนฟ้า
บางคนคิดว่าเขาก็แค่คนชั่วคนหนึ่ง เสมือนดำกินดำ โจรปล้นโจร
อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อื่นจะมองและพูดว่าเขาเป็นอะไรยังไง เขาก็ยังคงตระเวนไปทั่วนครแห่งบาปรอให้ผู้ฝึกตนที่คิดก่อกรรมทำชั่วปรากฏตัว
มา 1 ฆ่า 1!
มา 2 ฆ่า 2!
แน่นอนว่าเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะกี่คนเขาจะฆ่าให้เหี้ยน!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ทันใดนั้นเองเสียงดังก้องฟ้าเป็นชุดพลันดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนไปทันที
พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองก็พบว่า
มีคน 2 คนกำลังประมือกันอย่างดุเดือด พลังฝีมือพวกมันล้วนไล่เลี่ยทัดเทียมยากจะรู้ผลแพ้ชนะต่ำสูงได้ในเวลาอันสั้น
อีกทั้งการประลองของทั้งคู่ ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนในนครแห่งบาปไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในกลีบเมฆ ก็มีเพียงคนสังเกตเห็นเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หาไม่แล้วคงส่งผลกระทบต่อทั้งหมดที่กำลังดูคนตีกันอยู่แน่นอน…เพราะตอนนี้ไม่มีใครในนครแห่งบาปไม่รู้จักเขา
เรียกว่าชายในชุดคลุมลมดำ ร่างหนาพร้อมใส่โม่งดำนั้นเป็นอัตลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว
เรียกว่าในนครแห่งบาปตอนนี้ ขอเพียงใส่ชุดคลุมลมดำปิดบังหน้าตา แม้จะมีรูปร่างขนาดตัวต่างจากต้วนหลิงเทียนทุกคนก็หวั่นเกรงขึ้นเป็นส่วน
“ช่วงนี้นับว่ามีคนเลือกจะสู้ตัดสินกันจนกว่าจะตายกันไปข้างไม่น้อย…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาขณะชมดูการประลองไกลตา
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เพราะเขาลงมือกับคนที่รอเก็บตก ทำให้มีผู้คนมากมายรอดพ้นความตาย กระทั่งผู้ที่แพ้พ่ายก็ไม่ถูกผู้ใดฉวยโอกาสซ้ำจนตายให้เห็นเหมือนกาลก่อน
เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนเลือกที่จะสู้ตัดสินกับคู่อริอย่างวางใจ ไม่กลัวถูกใครตลบหลัง
เพราะต้วนหลิงเทียนที่พวกมันไม่มีใครรู้จักมักคุ้น ได้เป็นดั่ง เทพผู้พิทักษ์ ของพวกมันไปซะแล้ว!