“ก็ประมาณนี้แหละ”นัทธีพยักหน้า
วารุณีถอนหายใจ“แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยปาจรีย์มีลูก เป็นการพิสูจน์ว่าเธอเคยรักพงศกร และพิสูจน์ว่าความรู้สึกที่เธอทุ่มเทไป ก็มีลูกตอบกลับมา”
“แต่แบบนี้ กลัวว่าทางพงศกรเธอจะอธิบายไม่ถูก”นัทธีมองเธอ
วารุณีเข้าใจความหมายเขา“คุณหมายความว่า พอพงศกรรู้ว่าปาจรีย์ตั้งท้อง กลัวว่าจะให้ปาจรีย์เอาเด็กออก?”
“พงศกรไม่รักปาจรีย์ แล้วจะให้เธอท้องลูกได้ไง ดังนั้นเป็นไปได้สูงที่พงศกรจะทำแบบนี้”นัทธีพยักหน้า
วารุณีกัดริมฝีปาก“ที่จริงแล้วปาจรีย์ก็รู้ส่วนนี้ แต่ฉันว่า ในเมื่อเธอตัดสินใจดีแล้วว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ งั้นเธอจะต้องรู้ว่าจะหลีกเลี่ยงพงศกรอย่างไรไม่ให้รู้ว่าเธอท้อง”
“เหรอ?งั้นก็ไม่ต้องสนแล้ว”นัทธีเอาสายตามองกลับไปที่โทรศัพท์
วารุณีพยักหน้า ไม่มีอะไรจะพูดอีก
ไม่ต้องสนใจจริงๆ เพราะว่าก็ไม่มีทางให้สน
เรื่องนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวของปาจรีย์ เธอไปแทรกแซงมากไม่ได้ ทั้งหมดต้องพึ่งปาจรีย์เอง
แน่นอนว่า ตอนที่ปาจรีย์เจอความยากลำบาก เธอช่วยได้เสมอ
แป๊บเดียว ก็ถึงโรงแรม
เนื่องจากบนถนนรถติดอยู่ระยะหนึ่ง ตอนที่กลับมาโรงแรม ก็เที่ยงคืนแล้ว
ตอนอยู่บนรถ เด็กทั้งสองคนหลับไปแล้ว
พอลงจากรถ วารุณีกับนัทธีก็อุ้มลูกคนละคนกลับไปที่ห้องเพรสซิเดนสูท
วันถัดมา วารุณีกับนัทธีก็กลับจังหวัดจันทร์
พวกเขามาที่นี่ ที่จริงก็เพราะว่าปาจรีย์ฆ่าตัวตาย
ตอนนี้เพราะว่าปาจรีย์ตั้งท้อง ก็ไม่ฆ่าตัวตายแล้ว พวกเขาจึงกลับไปอย่างวางใจได้
แต่ก่อนกลับไป วารุณีก็ยังไปบอกลาปาจรีย์ที่โรงพยาบาลด้วย
และปาจรีย์ก็บอกเธอ รอตัวเองออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะกลับไปทำงานต่อที่จังหวัดจันทร์
ทำให้วารุณีรู้สึกยินดีเล็กน้อย
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา สี่คนพ่อแม่ลูกลงจากรถ เห็นคฤหาสน์ตรงหน้า เด็กทั้งสองคนก็วิ่งไปมาอย่างดีใจ
“ดีจังเลยค่ะพี่ ในที่สุดพวกเราก็กลับมาแล้ว”ไอริณจูงมือของอารัณแล้วพูด
อารัณพยักหน้า“ใช่”
“ไป พี่ พวกเรากลับห้องกัน จิ๊กซอร์เมื่อวันก่อนยังต่อไม่เสร็จเลย”ไอริณพูดไป ก็จูงมือของอารัณวิ่งไปที่คฤหาสน์ด้วย
วารุณีมองเท้าเล็กๆของลูกทั้งสองคนที่วิ่งไปอย่างรวดเร็วอยู่ข้างหลัง จึงรีบตะโกนไปว่า:“วิ่งช้าๆหน่อย เดี๋ยวล้มเอาลูก”
“วางใจเถอะหม่ามี๊ ไม่มีทาง”มีเสียงตอบรับจากอารัณไกลๆ
วารุณีส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด“เด็กคนนี้นี่”
“เอาล่ะ”นัทธีเดินไปข้างๆเธอ หัวเราะเบาๆ“อารัณมีจิตใจเป็นผู้ใหญ่ เขาปกป้องไอริณได้ดี”
“ฉันรู้ ไม่งั้นฉันก็ตามไปแล้ว ให้พวกเขาช้าลงหน่อย”วารุณีหัวเราะ
นัทธีจูงมือของเธอ“ไปเถอะ พวกเราก็กลับไปกัน ป้าส้มทำอาหารกลางวันแล้ว”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
สองสามีภรรยาก้าวเท้าเข้าไปที่ประตูคฤหาสน์
และมารุตที่ขับรถพาพวกเขามา ก็ขับรถออกไปด้วยรอยยิ้มขมขื่นคนเดียว
เวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียว ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว
วารุณีกำลังแก้ภาพออกแบบในห้องทำงานที่ดีไซเนอร์ข้างล่างส่งขึ้นมา แล้วทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามา
เธอคิดว่าเป็นผู้ช่วย จึงไม่ได้เงยหน้า มือก็ยังไม่หยุดแก้:“มีอะไรหรือเปล่า?”
“รายงานประธานวารุณี ปาจรีย์มารายงานตัวล่วงหน้า!”ที่ตอบวารุณี ไม่ใช่ผู้ช่วยอะไร แต่เป็นเสียงของปาจรีย์
ได้ยินเสียงนี้ มือวารุณีก็ชะงักไป จากนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองไปที่คนตรงข้าม
มองเห็นคนตรงข้ามยิ้มอย่างร่าเริง วารุณีก็ดีใจจนทิ้งปากกาในมือทันทีแล้วยืนขึ้นมา ลากเก้าอี้ออกแล้ววิ่งไปที่คนตรงข้าม จากนั้นกอดคนตรงข้ามไว้ในอ้อมแขน“ปาจรีย์ เธอกลับมาแล้วเหรอ?”
“ใช่วารุณี ฉันกลับมาแล้ว”ปาจรีย์ก็กอดวารุณี
วารุณีพาเธอกระโดดไปมาอย่างทนไม่ไหว
แต่แป๊บเดียววารุณีก็ตระหนักอะไรได้ รีบหยุดลง มองปาจรีย์แล้วพูด:“ฉันเกือบลืมไป เธอท้องอยู่ อย่าขยับมั่วสิ”
“ไม่เป็นไร กระโดดเบาๆไม่มีปัญหา”ปาจรีย์หัวเราะ
วารุณีส่ายหน้า“ไม่ได้ คนท้องอ่อนแอมาก แบบนี้ก็ดี มา ให้ฉันดูหน่อย”
เธอจูงมือของปาจรีย์ พาปาจรีย์หมุนวนสองรอบ สำรวจปาจรีย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายที จึงละสายตากลับ“ผอมลงเยอะมาก สีหน้าก็ยังซีดขาว ดูเหมือนจะฟื้นตัวได้ช้ามาก”
ปาจรีย์หัวเราะ“เร็วมากพอแล้ว อย่างน้อยก็เดินเองได้ ออกมาทำงานได้”
“พูดก็ถูก ใช่สิ ข้อมือเป็นไงบ้าง?”สายตาวารุณีมองไปที่ข้อมือของปาจรีย์
ข้อมือของเธอ ยังพันผ้าก๊อซหนาๆ และยังมีกลิ่นยาจางๆ ออกมาจากผ้าก๊อซ
ปาจรีย์ปล่อยมือของวารุณี ลูบผ้าก๊อซแล้วยิ้มบางๆ“แผลที่ข้อมือเริ่มตกสะเก็ดแล้ว อย่ากังวลเลยวารุณี เวลาผ่านไป ก็แกะผ้าก๊อซได้แล้ว”
“งั้นก็ดี”วารุณีพยักหน้า จากนั้นก็ดึงเธอไปนั่งที่โซฟา“ใช่สิปาจรีย์ เธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่?”
“เมื่อวาน”ปาจรีย์นั่งลงไปแล้วตอบ
วารุณีไปเทน้ำให้เธอ“ออกจากโรงพยาบาลทำไมไม่บอกฉันล่ะ?กลับมาจังหวัดจันทร์คนเดียวเงียบๆ?ไม่อยู่พักฟื้นกับคุณอาคุณน้าระยะหนึ่งหน่อยเหรอ?”
“อยากเซอร์ไพรส์เธอไง”ปาจรีย์รับแก้วน้ำมาแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“และอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ฉันก็เอาแต่จ้องฉัน กลัวฉันจะทำเรื่องโง่ๆ ฉันอึดอัดมาก ดังนั้นเลยมาที่นี่ล่วงหน้า”
“คุณอาคุณน้าเป็นห่วงเธอ”วารุณีนั่งลงพูด
ปาจรีย์ถอนหายใจ“ฉันรู้ แต่ฉันก็กดดันมาก”
“นั่นก็จริง แต่คุณอาคุณน้าเป็นห่วงกังวลเธอขนาดนี้ ปล่อยเธอมาที่นี่ง่ายๆด้วยเหรอ?”วารุณีมองเธออย่างแปลกใจ
ปาจรีย์พูดยิ้มๆ:“เพราะว่าเธอไง”
“ฉัน?”วารุณีชี้ไปที่ตัวเองอย่างงุนงง“นี่มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“เพราะว่าฉันพูดกับพ่อแม่ว่า ฉันมาที่นี่ มีเธอกับประธานนัทธีดูอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงวางใจ เพราะพวกเขาเชื่อเธอว่า จะดูแลฉันอย่างดี ไม่ทำให้ฉันมีโอกาสทำเรื่องโง่ๆ”ปาจรีย์พูด
วารุณีกลอกตาใส่เธอ“ถึงจะพูดแบบนี้ แต่พวกเราก็ดูเธอตลอดเวลาไม่ได้ ดังนั้นเธออย่าทำเรื่องโง่ๆ ต้องมีสติ”
“วางใจเถอะวารุณี ฉันไม่ทำเรื่องโง่ๆอีกแล้วจริงๆ เพราะเด็กคนนี้ ฉันยังต้องดูเขาเติบโต”ปาจรีย์ก้มหน้าลงลูบท้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความเป็นแม่
วารุณีเห็นเธอหัวเราะ ก็หัวเราะตาม“เธอพูดแบบนี้ ฉันก็วางใจ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?ไม่สบายตรงไหนไหม?”
“มีสิ ความรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน”ปาจรีย์พยักหน้าไปมา
วารุณีตอบ:“นี่เป็นปฏิกิริยาปกติ”
“ฉันรู้ ก็แค่ไม่เข้าใจ วารุณี เธอคลอดลูกแล้ว เธอบอกฉันมา คนท้องต้องระวังอะไร”ปาจรีย์คว้าแขนของวารุณีแล้วถาม
วารุณีวางแก้วน้ำ“ได้สิ งั้นฉันจะบอกเธอ”
ทั้งสองคนอยู่ในห้องทำงานอยู่นานมาก วารุณีได้เล่าให้ปาจรีย์ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องใส่ใจในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรกๆอยู่เสมอ
ปาจรีย์ฟังอย่างตั้งใจมาก และยังจดบันทึก พอจดไม่ทัน ก็ยังอัดเสียงไว้ ทำให้วารุณีมองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เป็นโทรศัพท์ของปาจรีย์
เธอทำมือห้าม สื่อว่าให้วารุณีรอก่อนแป๊บหนึ่ง ตากนั้นเอาโทรศัพท์มาดู เห็นชื่อที่โทรมา รอยยิ้มที่ใบหน้าเธอก็ค่อยๆหุบลง สีหน้าดูซับซ้อนขึ้นมา