บทที่ 663 ปัญหาขององค์เง็กเซียน (2)
ขณะนั้น จิ๋วอวี่ซือยืนพิงน้ำเต้าขนาดใหญ่ที่จิ่วจิ่วขยายใหญ่ออกมา นางถือไหสุราเอาไว้ในมือ ใบหน้าของนางแดงก่ำ
นางประเมินตัวเองสูงเกินไปและท้าทายเซียนจิ่วที่อยู่ข้างๆ นางในตอนนี้ แต่ก่อนที่เซียนจิ่วจะทันได้เริ่ม นางก็เมามายเกินกว่าจะดื่มได้แล้ว
ในอีกด้านหนึ่งนั้น จิ่วจิ่วก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น นางพิงตรงส่วนเว้าบางของน้ำเต้าขนาดใหญ่และจินตนาการว่าตัวเองเป็นปลาเค็ม[1]ที่กำลังตากแห้ง
ขณะที่นางเพลิดเพลินกับการร้องรำทำเพลง นางก็ถือไหสุราเซียนที่มีรสชาติต่างกันสองไห
นางจิบสุราจากไหในมือซ้ายและจิบสุราจากอีกไหในมือขวาของนาง…
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้น และฉวยประโยชน์จากความจริงที่ว่า ในเวลานี้ เขาว่าง ไม่มีอะไรทำจริงๆ
เขาจึงเพียงทิ้งเสี้ยวจิตสนใจเอาไว้ที่นี่เท่านั้น และคืนกลับมาที่ร่างหลักก่อนเวลา และตรวจดูคลังเก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่เขาวางไว้ทุกทั่วทุกที่เป็นประจำ
ในทะเลบูรพา เขามองไปที่วังผลึกแก้ว ในขณะนั้น กำลังมีการร้องรำทำเพลง
หลี่ฉางโซ่วไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเพื่อออกไปตรวจสอบ เขาก็สามารถจินตนาการได้ถึงฉากที่น่าเบื่อของราชามังกรเฒ่าที่ยืนพิงบัลลังก์ปะการังและมีถูกสาวทะเลผู้อ่อนโยนสองสามคนคอยบีบนวด
จากนั้น เขาก็เบนจิตสนใจไปที่ทะเลประจิม และใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เฝ้าสังเกตการณ์โครงการก่อสร้างใหม่ของวังมังกรแห่งทะเลประจิม
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว วังมังกรก็ทำได้เพียงใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีเพื่อฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกอายมากเช่นกัน ในตอนนั้น เพื่อจะสังหารเหล่าพวกกบฏให้ได้ดีขึ้น เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้จินตานขอบเขตเซียนจิน เป็นแกนหลักของค่ายกลระเบิดวิญญาณปีศาจดิน…
และผลที่เห็นได้ชัดคือ วังมังกรถูกทำลายทันที
ทว่าเหล่ามังกรที่ภักดีและซื่อสัตย์กว่าร้อยตัวแห่งวังมังกรทะเลประจิม ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่า เป็นเรื่องดีร้ายเทียบเคียง[2]
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ก้นทะเล ก็หันศีรษะไปมองที่ดินแดนเทวะประจิม
หลี่ฉางโซ่วได้มองเห็นลูกมวลที่มีจักจั่นสีทองปีกหักพุ่งผ่านน้ำทะเล
เขาเห็นนักพรตเต๋าหนุ่มที่หดหู่ ซึ่งกำลังขี่อยู่บนหลังสุนัขขนสีเขียวขนาดใหญ่
เขาเห็นร่างของจอมปราชญ์ที่สูงหลายพันจั้ง ก่อตัวขึ้นมาจากเมฆหมอกเช่นเดียวกับ…
เมฆหมอกซึ่งเหมือนเมฆหลากสีที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
นั่นคือ จอมปราชญ์เจียหยิน[3]
หากจอมปราชญ์เจียหยินไม่ปรากฏตัวออกมา สำนักบำเพ็ญประจิมก็จะไม่สามารถค้นหาสิ่งใดได้
เขาเป็นคนโหดเหี้ยมที่ได้กลายเป็นจอมปราชญ์
หากหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างสามสำนักในสำนักบำเพ็ญเต๋าไม่ได้ ย่อมจะต้องมีการต่อสู้กันระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยอย่างแน่นอน
หากจอมปราชญ์หนี่วาไม่ปรากฏตัวออกมา… แค่กๆ ภายใต้สมมติฐานที่ว่า จอมปราชญ์หนี่วาไม่ได้เข้าไปร่วมในความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างสำนักใหญ่ ความจริงแล้ว สำนักบำเพ็ญประจิมก็มีศักยภาพพอที่จะสั่นคลอนรากฐานของสำนักบำเพ็ญเต๋าได้
จอมปราชญ์ดูแลเหล่าสำนักใหญ่ สวรรค์และปฐพีดูแลผู้คนจำนวนมาก
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วปีนขึ้นไปบนภูเขาได้ครึ่งทาง และเขาได้เห็นภาพภูมิประเทศบางส่วน แต่เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็ยังเห็นเพียงหมู่เมฆเท่านั้น
ภูผาสูง ธารายาวไกล หนทางข้างหน้านั้นดูอันตราย เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางและยาวไกลเหลือเกิน
ความคิดของเขาแอบเลี้ยวลดเตลิดเปิดเปิงไปอีกครั้งอย่างเงียบๆ
จากนั้นเขาก็ไปที่ทะเลทักษิณเพื่อสังเกตดูดวงตาแห่งท้องทะเล และฟังเพลงสวดของวังมังกรทะเลทักษิณ
เขาตรวจสอบดินแดนภายใต้การควบคุมของสำนักเทพทะเลอย่างรวดเร็ว
เมื่อตกค่ำ วิหารเทพทะเลส่วนใหญ่ก็ได้เริ่มปิดลงแล้ว
ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่โดยรอบวิหารเทพทะเลนั้น ก็ยังมีตลาดคึกคักและเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย และมันจะครึกครื้นมากเป็นพิเศษเมื่อเริ่มแรกจุดโคมไฟขึ้น
หลี่ฉางโซ่วไม่เหมือนกับบรรดาเซียนหลายคน
เขาไม่อิจฉาชีวิตของมนุษย์ เพราะเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว
มนุษย์ส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนแอ ชีวิตของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับการดูดินฟ้าอากาศ และโชคชะตา หลังจากผ่านไปหลายสิบปี พวกเขาต้องทนทุกข์กับความยากลำบากมาสารพัดทุกรูปแบบ
แม้ว่าเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาที่อ่อนแอกว่า ชีวิตของพวกเขาจึงดูเหมือนจะได้รับการเติมเต็มเป็นพิเศษ แต่ในเมื่อเขาเดินออกมาจากมันแล้ว เขาก็จะไม่หยุด และหันกลับไปย้อนมองอีก
หลี่ฉางโซ่วไม่ลืมตรวจสอบดวงตาแห่งท้องทะเลอุดร จากนั้น เขาก็เบนจิตสนใจไปยังสถานที่ใกล้ชายฝั่งของดินแดนเทวะอุดร
สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเห็นว่า ในที่ห่างไปไม่ไกลจากชายฝั่งนั้น มีพวกเผ่าเวทกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ในป่า
พวกเขาเต้นรำและร้องตะโกนไปรอบๆ กองไฟเพื่อเฉลิมฉลองการกำเนิดของชาวเผ่าเวทใหม่สองสามคน
เมื่อดูจากท่าทางของพวกเขาเช่นนี้ จะต้องมีชาวเผ่าเวทชายที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาจำนวนมากต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกทุบหัวอย่างรุนแรงในค่ำคืนนี้…
มันเป็นประเพณีพื้นบ้านที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์
ทว่าในเวลาหนึ่งหมื่นปีที่พวกเผ่าเวทพลาดไปก่อนหน้านี้ ในภายหน้า ย่อมจะมีจำนวนประชากรลดลงอย่างแน่นอน
หมื่นปี…
ช่วงเวลาที่เขาไม่กล้าบรรลุไปถึงได้ในชีวิตชาติก่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนมันเป็นเพียงเวลายามกลางวันและกลางคืนในโลกบรรพกาลนี้
หลี่ฉางโซ่วมองจากระยะไกลไปที่พวกเผ่าเวทอยู่สักพัก ครั้นเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงในหูของเขาเปลี่ยนไป เขาก็ดึงจิตสนใจของเขาและกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย
นอกจากนี้เขาก็ยังตรวจสอบสถานการณ์คร่าวๆ ภายในระยะหลายหมื่นลี้รอบๆ สำนักตู้เซียน
แล้วจากนั้นการตรวจสอบตามปกติที่จะเกิดขึ้นทุกๆ สามวันก็จบลงเช่นนั้น
มันยังคงเป็นวันที่คลื่นสงัดและลมสงบ และทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสงบและสบายใจ
ทว่าในขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังจะชื่นชมการร่ายรำของจิ้งจอกสาว จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากตำหนักเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ดังขึ้นในใจของเขา
แม่ทัพสวรรค์มารายงานว่า องค์เง็กเซียนเรียกหาเขาและเชิญเขาไปที่หอสมบัติหลิงเซียว
……
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงคำนวณเหตุการณ์ดูว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งก่อนและหลังอย่างระมัดระวัง
ในเวลานี้ ศาลสวรรค์น่าจะคัดเลือกทหารอย่างเป็นระเบียบต่อเนื่อง และไม่น่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น
ฝ่าบาทจะมุ่งเป้าไปที่นักพรตเต๋าลู่หยาเพราะพระองค์ไม่มีอะไรจะทำหรือไม่?
ลู่หยาได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดวิญญาณครั้งล่าสุดแล้ว และเขาก็ไม่รู้ว่าลู่หยาซ่อนตัวอยู่ที่ใดในเวลานี้ ด้วยมรดกที่เหลืออยู่ของเผ่าปีศาจ มันย่อมไม่ง่ายเลยที่จะหาร่องรอยขององค์ชายเผ่าปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเต็มที่
เว้นเสียแต่ว่า องค์เง็กเซียนจะใช้พลังแห่งเต๋าสวรรค์ทำการคาดคะเนด้วยตัวเอง
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงคนไร้ความสามารถ คนไร้สาระ ล่องลอยไปเรื่อยๆ หรือคนไร้ประโยชน์
[2] เรียกอีกอย่างว่า ดีชั่วหักล้าง หรือผิดชอบหักล้าง เปรียบดั่งการที่คนๆ หนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความดีความชอบ ครั้นเมื่อกระทำผิดหรือก่อให้เกิดความเสียหาย ก็ให้ถือว่า ให้ความดีความชอบ กับความผิดหรือความเสียหายนั้น หักล้างกันไป
[3] เป็นอีกปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า หรือพระอมิตาภพุทธเจ้า หรือ ออหมี่ท้อ แปลว่า ผู้มีแสงสว่าง อันประมาณมิได้ เป็นที่มาของคำว่า อมิตาพุทธ และว่ากันว่า หากภาวนาและระลึกถึงพระนามของพระองค์เมื่อใกล้สิ้นใจ ก็จะไปสู่แดนสุขาวดีได้