บทที่ 664 ปัญหาขององค์เง็กเซียน (3)
หลี่ฉางโซ่วต้องการกำจัดภัยพิบัตินี้ให้เร็วที่สุด ทว่าลู่หยาก็อาจตกเป็นเป้าหมายของเต๋าสวรรค์แล้ว และปล่อยให้เขาสร้างปัญหาจากภัยพิบัติ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวดที่เขาจะกำจัดลู่หยาได้
“คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ขอไปเฝ้าฝ่าบาทก่อนดีกว่า”
ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน …
ก่อนหน้านี้ ร่างจำแลงที่สองขององค์เง็กเซียน จ้าวเต๋อจู้ ได้เปิดเผยร่องรอยของเขาในระหว่างการต่อสู้ที่ภูเขาเหยาเซิงแล้ว และเห็นได้ชัดว่า เขาไม่อาจถูกใช้งานได้อีกต่อไป
จากฮวารี่เทียนถึงจ้าวเต๋อจู้ หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่า องค์เง็กเซียนจะใช้ชื่ออะไรอีก
ต่อให้จะเป็นฉินเทียนจู้[1] ก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ
หลังจากเลือกตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่มีพลังเซียนมากมายมหาศาลแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆออกจากตำหนักเทพวารีและบินตรงไปที่หอสมบัติหลิงเซียว
ในระหว่างทาง เหล่าผู้เป็นเซียนทั้งหมดที่เขาได้พบ ล้วนทำความเคารพให้เขาด้วยการคารวะเต๋า ทหารของศาลสวรรค์ต่างประสานมือและโค้งคารวะให้
หลี่ฉางโซ่วจะยิ้มและพยักหน้ารับตอบกลับไปโดยไม่เข้าใกล้พวกเขาหรือแสดงตัวตนใดๆ
หลี่ฉางโซ่วขี่เมฆและร่อนลงหยุดที่หน้าหอสมบัติหลิงเซียว และรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
เขายังคงต้องทำมัน
บนบัลลังก์บนแท่นสูง ชายหนุ่มในชุดขาวซึ่งเดิมที ดูมีท่าทีหดหู่ ครั้นเมื่อเขามองเห็นหลี่ฉางโซ่ว ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาทันที และวาง “เครื่องมือ” ในมือลง
“ฝ่าบาท เทพน้อยมาช้า โปรดเมตตา ประทานอภัยให้เทพน้อยด้วยเถิด”
“ไม่เป็นไร ฉางเกิง ช้ารู้ว่า เจ้ามีเรื่องมากมายต้องจัดการ ” องค์เง็กเซียนกล่าว
จากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปยังประเด็นว่า “เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ข้าเพิ่งได้ดูปรากฏการณ์ดวงดาว[2]ในยามราตรี ข้ารู้สึกถึงบางอย่าง และจู่ๆ ข้าก็เห็นโอกาสที่จะทำให้เต๋าใหญ่ของข้าสมบูรณ์แบบขึ้นมาทันที
ขุนนางฉางเกิง เจ้าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ และมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ข้าขอคำชี้แนะสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เทพน้อยผู้นี้ย่อมไม่กล้าเทียบกับพระองค์
ระดับฐานพลังของฝ่าบาทนั้นลึกล้ำจนสามารถทำร้ายจั๊กจั่นสีทองได้ในพริบตาเดียว
เทพน้อยทำได้เพียงวางแผน และทำร้ายจั๊กจั่นสีทองให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น เทพน้อยยังอยากขอให้ฝ่าบาทโปรดชี้แนะเรื่องการฝึกบำเพ็ญของเทพน้อย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” องค์เง็กเซียนในชุดขาวหัวเราะพลางโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เรื่องมันเป็นเช่นนี้…
ขุนนางฉางเกิง เจ้าก็รู้เช่นกันว่า แม้ข้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ และดูแลสามอาณาจักร แต่ข้าก็เพิ่งเข้าสู่ศาลสวรรค์หลังจากที่ออกมาจากวังเมฆม่วง ดังนั้นความเข้าใจโลกของข้าจึงยังไม่ลึกซึ้งนัก
ก่อนหน้านี้ ข้าเคยเดินอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยร่างจำแลงจำนวนมากมายนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าสุดท้ายข้าก็เพียงแค่ขี่อาชาชมบุปผา[3]และเพลิดเพลินไปกับการชมเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น
เมื่อเร็วๆ นี้ ข้าก็รู้สึกว่า หากข้าสามารถใช้แผ่นจานสังสารวัฏแห่งแดนยมโลกเพื่อปิดกั้นความคิดและความทรงจำของข้าชั่วคราว
และข้าก็จะได้ไปสัมผัสและฝึกฝนในโลกมนุษย์เพื่อทำความเข้าใจรู้แจ้งในโลกและใกล้ชิดกับสรรพชีวิต ซึ่งมันอาจจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง”
เอ๋?
พระองค์กำลังพยายามจะลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อสัมผัสกับชีวิตมนุษย์หรือไม่? เขาจะพามารดาของหยางเจี้ยน[4]ขึ้นสวรรค์หรือไม่?
มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและยังครุ่นคิดต่อไปเรื่อยๆ
ในขณะนั้นเขาทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องนั้น
เขาพิจารณาปัญหาจากมุมมองของเทพผู้มีอำนาจธรรมดาแห่งศาลสวรรค์และลองดูว่า เขาจะสามารถแทรกแซงแผนการของเต๋าสวรรค์เพื่อผลักดันโครงเรื่องได้หรือไม่?
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เงยหน้าขึ้นมองและกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นเสาหลักของศาลสวรรค์และเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งสามอาณาจักร แล้วพระองค์จะรับความเสี่ยงได้อย่างง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร?
หากศาลสวรรค์แข็งแกร่งและทรงพลังก็ย่อมเป็นการดี ในเวลานี้ ศาลสวรรค์เพิ่งมาถูกทางแล้ว
แต่หากพระองค์หรือศาลสวรรค์พบกับหายนะเมื่อพระองค์ไปเกิดใหม่และปิดกั้นความทรงจำของพระองค์ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์หรือศาลสวรรค์?
ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาใหม่อีกครั้งด้วยเถิด”
“นี่…”
องค์เง็กเซียนในชุดขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นแตะเบาๆ
ทันใดนั้น หอสมบัติหลิงเซียวก็ถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสีทองทันที
จากนั้นองค์เง็กเซียนก็กวักมือเรียก และหลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจทันที
หลี่ฉางโซ่วจึงก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าวในขณะที่องค์เง็กเซียนบนแท่นบัลลังก์สูงก็หันหันหลังและออกมาจากด้านหลังโต๊ะหยก แล้วรีบเดินลงจากแท่นสูงอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงแขนของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้และนั่งลงบนบันไดเก่า
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ฉางเกิง ข้าก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าขอความคิดจากเจ้า
ดูสิว่า มีวิธีใดบ้างที่ข้าจะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกวางแผนลอบทำร้ายและทำให้ข้าได้เดินเล่นไปมารอบๆ ได้บ้าง?”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ฝ่าบาท หากเทพน้อยช่วยพระองค์ เทพน้อยก็จะถูกเหล่าจื้อตำหนิเอาได้ในภายหน้า…”
“เจ้าจะถูกเหล่าจื้อตำหนิในเรื่องนี้ได้อย่างไร? ฉางเกิง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด เราสองคนไม่พูดเรื่องนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดรู้ อายุขัยของมนุษย์คือหลายสิบปี และมันจะผ่านไปในพริบตาเท่านั้น”
“พระองค์ยังอยากจะเล่นเช่นนี้ต่อไปหรือ? เอ่อ เทพน้อยพูดผิดไปแล้ว”
“เฮ้ ไม่เป็นไร”
องค์เง็กเซียนถอนหายใจช้าๆ และกล่าวว่า “ฉางเกิง เรื่องนี้สำคัญต่อข้ามากจริงๆ
เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเดิมๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลานาน ไม่ว่านางจะงดงามปานใด นางก็จะค่อยๆ กลายเป็นดั่งคลื่นใหญ่ไม่ตระหนก[5]
ข้ากลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของข้าและน้องหญิงของข้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าอยากจะลงไปดูสตรีในโลกมนุษย์ เมื่อข้ากลับมา ข้าก็จะรักนางมากขึ้นอย่างแน่นอน…”
บัดนั้น หน้าผากของหลี่ฉางโซ่วก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามทันที
ตรรกะขององค์เง็กเซียน มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ไฉนจึงรู้สึกเหมือน…
มันดูเหมือนว่า องค์เง็กเซียน พยายามจะกล่าวว่า “เฮ้ ข้าแต่งงานมานานเกินไปแล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าอยากสัมผัสสิ่งแปลกๆ และเพิ่มความสดชื่นที่แปลกใหม่ในชีวิตแต่งงานของข้า
ใต้เท้าเต๋าสวรรค์ ท่านต้องเชื่อข้า ทัณฑ์แห่งความรักชั่วคราวและความงดงามธรรมดาของสตรีที่นี่ เลวร้ายยิ่งกว่าที่บ้านของข้ามาก
ช่างเถิด ข้าควรจะคิดเรื่องความปลอดภัยเพื่อให้แน่ใจว่า พระองค์จะไม่มีปัญหาในเรื่องความปลอดภัย
จากนั้นเขาก็ก่นด่าสาปแช่งด้วยคำหยาบคายของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงผู้แบกความรับผิดชอบอันหนักหน่วงและยิ่งใหญ่เอาไว้บนบ่าดุจเสาสวรรค์ที่ค้ำจุนสวรรค์
[2] เป็นปรากฏการณ์ดวงดาวตามโหราศาสตร์
[3] มีความเข้าใจเพียงผิวเผิน ชมดูเพียงคร่าวๆ
[4] พระนามของเทพเอ้อร์หลางหรือเทพสามตา ว่ากันว่า พระมารดาของเทพเอ้อร์หลาง คือ เทพธิดาจางซื่อ (ตามตำนานว่า ทรงเป็นพระขนิษฐาขององค์เง็กเซียน) ซึ่งมาหลงรักกับมนุษย์และให้กำเนิดหยางเจี้ยน ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎสวรรค์ เมื่อความทราบถึงซีหวังหมู่ เทพธิดาจางซื่อก็ทรงถูกกักขังอยู่ใต้เขาเถาซาน เป็นเหตุให้หยางเจี้ยนต้องหาทางช่วยมารดาออกมา และกลายเป็นตำนาน ผ่าเขาช่วยมารดาในภายหลัง
[5] เปรียบเทียบสถานการณ์เงียบสงบ มั่นคง ไม่มีความเปลี่ยนแปลงหรือจุดหักเหใดๆ ในที่นี้ มีนัยในทำนองถึงราบเรียบจนกลายเป็นไม่มีอะไรสำคัญ ไม่ทำให้เกิดความตื่นเต้นใดๆ