สตรีนางหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในวังหลวงยาวนานหลายสิบปี อดทนรอคอยจนจักรพรรดิองค์ก่อนและบรรดาพระชายาผู้ให้ประสูติโอรสทั้งหลายสิ้นชีพไปก่อน และขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งไทเฮาอย่างคงมั่น การไปป่าวประกาศต่อหน้าฮ่องเต้ที่ถูกชุบเลี้ยงโดยไทเฮาว่าไทเฮาเป็นตัวปลอมมิใช่การรนหาที่ตายเฉกเช่นสามัญ แต่เป็นการรนหาที่ตายอย่างถึงที่สุดแล้ว!
อวี้จิ่นลูบถ้วยชาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “และที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเราไม่อาจสืบหาเบาะแสจากตระกูลฝั่งไทเฮาได้เลย”
หากเทียบการป่าวประกาศต่อหน้าฮ่องเต้ว่าไทเฮาเป็นตัวปลอม การป่าวประกาศเช่นนั้นต่อหน้าวงศ์ตระกูลของไทเฮาฟังดูเหลวไหลยิ่งกว่า
บิดาและมารดาของไทเฮาจากโลกนี้ไปนานแล้ว เป็นไปได้ว่าในตอนนั้นแม้แต่บิดาและมารดาอาจไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ฉะนั้นเมื่อเป็นคนนอกยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หรือต่อให้บิดามารดาทราบว่าบุตรสาวของตนเองถูกสลับตัว แต่เพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล พวกเขาอาจปิดปากเงียบก็เป็นได้
ไม่ว่าพระชายาไท่จื่อผู้เฉียบขาดจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่สำหรับวงศ์ตระกูลแล้ว นางเป็นตัวจริงอย่างไร้ข้อกังขา
จนถึงบัดนี้ ตระกูลฝั่งไทเฮายังได้รับการสนับสนุนค้ำชูจากไทเฮาเป็นอย่างดี ฉะนั้นพวกเขาจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ก็ต่อเมื่อพวกเขาเสียสติไปแล้วเท่านั้น
“คาดว่าคงหาช่องโหว่ของเรื่องนี้ได้จากอูเหมียวเท่านั้น” อวี้จิ่นกล่าว
สายตาของเจียงซื่อเบนไปทางทิศใต้พลางรำพึง “ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อหลายปีก่อนยายของอาซังเคยพาเด็กทารกเพศหญิงคนหนึ่งกลับมา ซึ่งทารกนั้นคือมารดาของอาซัง นับตั้งแต่นั้นมายายของอาซังก็อาศัยอยู่ที่อูเหมียวจนกระทั่งสิ้นชีวิต”
ยายของอาซังก็คือยายของนาง
“คนที่ทราบความจริงนอกจากยายของอาซังแล้ว เกรงว่าคงเหลือแค่หัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวเท่านั้น แต่ชาวอูเหมียวจะยอมรับว่าสลับตัวไทเฮาของต้าโจวอย่างนั้นหรือ หรือต่อให้คนเหล่านั้นยอมรับ และต่อให้เสด็จพ่อเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเพียงใดก็คงไม่มีทางปล่อยอูเหมียวไปง่ายๆ” เจียงซื่อวิเคราะห์ก่อนจะกลั้นใจเอ่ย “แต่ถึงกระนั้นก็คงต้องลองดู”
ถึงตอนนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา แต่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของแผ่นดินต้าโจว
เจียงซื่อหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ขนาดเล็กออกมาจากช่องลับ ซึ่งเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว
นางส่งป้ายอาญาสิทธิ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้อาหมานพร้อมกำชับเสียงต่ำ
อาหมานรับคำสั่งและจากไปทันที
ยังไม่ทันถึงครึ่งวัน ผอจื่อรูปลักษณ์ธรรมดาผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาทางประตูข้างของจวนเยี่ยนอ๋อง
“ถวายความเคารพสตรีศักดิ์สิทธิ์” เมื่อพบหน้าเจียงซื่อ ผอจื่อก็รีบทำความเคารพ
เจียงซื่อพิศมองไปที่หญิงชราพลางคลี่ยิ้มจาง “ผู้อาวุโสฮวา ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
ผู้อาวุโสฮวาค้อมหลังเล็กน้อยและยืดตัวพร้อมส่งยิ้ม “ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้พบท่านเร็วๆ นี้เช่นกัน”
หลังจากที่เจียงซื่อกลับมาจากอูเหมียวครั้งนั้น ผู้อาวุโสฮวาได้รับคำสั่งจากหัวหน้าผู้อาวุโสให้เดินทางมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง โดยกำชับให้ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยม เพื่อสะดวกแก่การติดต่อกับเจียงซื่อ
สำหรับชาวอูเหมียวแล้ว เจียงซื่อสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย
เจียงซื่อตอบรับ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
แม้นางจะรู้ว่าในร่างของนางมีสายเลือดอันบางเบาของอูเหมียวไหลเวียนอยู่ แต่สำหรับนางแล้ว นางเป็นชาวต้าโจว
“สตรีศักดิ์สิทธิ์เรียกข้ามาพบ ไม่ทราบว่ามีธุระใดรึ”
เจียงซื่อส่งป้ายอาญาสิทธิ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้หญิงชรา ครั้นเห็นว่านางมีอาการตื่นกลัว เจียงซื่อจึงเข้าประเด็นทันที “ข้าอยากรู้ว่าไทเฮาเป็นชาวอูเหมียวใช่หรือไม่”
รูม่านตาของผู้อาวุโสฮวาหรี่แคบฉับพลัน ใบหน้าของนางสั่นสะท้านมิอาจควบคุม
เจียงซื่อเฝ้าพิจารณาอาการของหญิงชรา แอบลงความเห็นในใจว่าการคาดเดาของนางและอวี้จิ่นคงจะถูกต้อง
เอ๋ แต่จากที่อาจิ่นกล่าวมา คงมิได้เรียกว่าการคาดเดา แต่เป็นการอนุมานตามหลักฐานข้อมูลที่มีมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ไทเฮาคือชาวอูเหมียวอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสฮวา?”
ผู้อาวุโสฮวาหลุดจากภวังค์ นางกะพริบตา “คำกล่าวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำให้ข้าประหลาดใจเกินจะกล่าว ไทเฮาแห่งต้าโจวจะเป็นชาวอูเหมียวได้อย่างไร”
“ประหลาดใจงั้นรึ” เจียงซื่อหัวเราะ “หากผู้อาวุโสฮวายังบิดพลิ้วกับข้า ข้าจะเลิกเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์”
สีหน้าผู้อาวุโสฮวาเปลี่ยนไปทันใด “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะทำเช่นนั้นมิได้นะ…”
ตำแหน่งสตรีศักดิ์ใช่การเล่นขายของอย่างนั้นหรือ นึกจะเป็นก็เป็น ไม่อยากเป็นก็ไม่เป็น แบบนี้ไม่เห็นหัวอูเหมียวชัดๆ!
เจียงซื่อดึงหน้าพลางกล่าวอย่างไม่กลัวเกรง “หากคนที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสฮวาในขณะนี้คือสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวตัวจริง ผู้อาวุโสฮวาจะกล้าอมพะนำไม่พูดความจริงเช่นนี้หรือ”
ผู้อาวุโสฮวาจนด้วยคำถาม
เจียงซื่อส่งยิ้มเย็นเยียบ “อูเหมียวมิได้จริงใจต่อข้า แล้วเหตุใดข้าถึงต้องกล้ำกลืนฝืนเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วยเล่า”
ครั้นเห็นว่าคำถามนั้นทำให้เส้นเลือดที่ขมับผู้อาวุโสฮวาปูดโบน เจียงซื่อก็ผุดหัวเราะเย้ยหยัน “ที่นี่คือจวนเยี่ยนอ๋อง เมืองหลวงของต้าโจว หากข้าคิดจะเลิกเป็น ผู้อาวุโสฮวาจะฉุดกระชากลากถูข้ากลับไปที่อูเหมียวได้หรือ อย่าลืมสิว่า พี่ชายของข้าก็มิได้อยู่ที่อูเหมียวแล้ว”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จะผิดสัญญางั้นรึ” ใบหน้าผู้อาวุโสฮวาย่ำแย่เข้าขั้น
ท่าทีของเจียงซื่อยังคงนิ่งเรียบ “เงื่อนไขแรกในการรักษาสัญญาคือความจริงใจ ข้าจะถามผู้อาวุโสฮวาอีกครั้ง ไทเฮาคือชาวอูเหมียวที่สวมรอยมาใช่หรือไม่”
มุมปากหญิงชรากระตุกวูบ ห้วงความคิดสับสนอลม่าน
เจียงซื่อเอ่ยเตือนเสียงเย็น “ผู้อาวุโสฮวาอย่าคิดว่าจะใช้ข้ออ้างว่าไม่รู้ความลับของเผ่ามาหลอกข้า ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสก็อายุปูนนี้แล้ว และนอกจากอาหลาน ก็มีผู้อาวุโสฮวาเท่านั้นที่ทราบความจริงเกี่ยวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ และบัดนี้ตัวเจ้าถูกส่งมาอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อคอยติดต่อกับข้า ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่หัวหน้าผู้อาวุโสจะปิดบังความจริงจากเจ้า มิฉะนั้นตอนนี้ข้าก็คงเป็นคนนอกสำหรับอูเหมียว อาหลานซึ่งเป็นเพียงสาวรับใช้ตัวเล็กๆ จะแบกรับความรับผิดชอบใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร หากหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นอะไรขึ้นมา นางจะตายจากไปพร้อมหอบหิ้วความลับของอูเหมียวติดตัวไปด้วย และทิ้งให้คนในเผ่าอยู่กับความคลุมเครืออย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสฮวาทนต่อไปไม่ไหว “เหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงได้แช่งท่านหัวหน้าผู้อาวุโสเช่นนั้น”
เจียงซื่อชำเลืองมองผู้อาวุโสฮวาด้วยแววตาเย็นชา “มีพบก็ต้องมีจาก ดีร้ายเป็นธรรมดาของชีวิต จะบอกว่าข้าแช่งได้อย่างไร หากทุกสิ่งเป็นไปตามใจมนุษย์ปรารถนา อูเหมียวจะต้องพะวงเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำไมกัน จริงไหม”
ผู้อาวุโสฮวาพูดไม่ออกเป็นครั้งที่สอง
เจียงซื่อรินชาใส่ถ้วยส่งให้ รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนหน้าอีกครั้ง “ฉะนั้นแล้วผู้อาวุโสฮวาเล่าความจริงให้ข้าฟังเถิด ข้าจะได้ทุ่มเทเพื่ออูเหมียวได้อย่างสบายใจเสียที”
ผู้อาวุโสฮวาเงียบงันเนิ่นนาน ไอขาวขุ่นลอยฟุ้งจากชาร้อนบดบังใบหน้านิ่งเรียบให้พร่ามัว
เจียงซื่ออยากจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าของผู้อาวุโสฮวาให้ไม่เหลือเค้าของการปลอมแปลง
เพราะการแปลงกายมักจะแฝงมาพร้อมกับประสบการณ์ไม่น่าพิสมัย นางไม่ต้องการเห็นใบหน้าแปลกปลอมในเรือนของนาง
แต่แน่นอนว่าสัมปชัญญะเหนี่ยวรั้งมิให้นางทำเช่นนั้น
ในที่สุดผู้อาวุโฮก็ยอมอ้าปาก “เหตุใดท่านถึงสงสัยในตัวไทเฮาแห่งต้าโจว”
เจียงซื่อยกชาขึ้นมาจิบพลางเอ่ย “เพราะเรื่องราวชีวิตของข้ามันฟ้องน่ะสิ”
หากนางต้องการเค้นความจริงจากปากผู้อาวุโสฮวา นางจำเป็นต้องสารภาพออกมาตามตรง ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
“เรื่องราวชีวิต?” ผู้อาวุโสฮวาชะงักไป
เจียงซื่อวางถ้วยชาลงพร้อมกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าเพิ่งทราบว่าท่านยายของข้าเป็นชาวอูเหมียว และข้ากับอาซังก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
ผู้อาวุโสฮวาไม่เชื่อในสิ่งที่หูได้ยิน “เป็นไปไม่ได้ ท่านยายของอาซังกลับมาที่เผ่าพร้อมเด็กทารกหญิงคนเดียว และตั้งแต่นั้นมา นางก็ไม่เคยออกจากอูเหมียวอีกเลย แล้วอาซังจะมีลูกพี่ลูกน้องได้อย่างไร”
“เพราะนางทิ้งทารกหญิงอีกคนไว้ที่ต้าโจว ซึ่งก็คือซูซื่อ มารดาของข้า”
ริมฝีปากของผู้อาวุโสฮวาสั่นระริก เนิ่นนานกว่าถ้อยคำจะหลุดออกจากปาก “ท่าน ท่านคือสตรีศักดิ์สิทธิ์!”
สำหรับชาวอูเหมียวแล้ว ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์
พระชายาไท่จื่อแห่งต้าโจวที่อยู่ต่อหน้านางตอนนี้มีสายเลือดของอูเหมียว อีกทั้งนางยังใช้วิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้ หมายความว่า นางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ มิใช่อาซัง
หรือต่อให้สายโลหิตอูเหมียวที่ไหลเวียนอยู่ในตัวอาซังจะมากกว่าเจียงซื่อก็ตามที
เจียงซื่อรับรู้ได้ว่าสายตาที่ผู้อาวุโสฮวามองมาที่นางเปลี่ยนไปแล้ว
นี่คือสาเหตุที่นางสารภาพตามตรง เพราะถึงอย่างไรในสายตาผู้อาวุโสฮวา การเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงย่อมมีสถานะในใจต่างไปอย่างแน่นอน
“ทีนี้ผู้อาวุโสฮวาจะบอกได้หรือยัง”