เมื่อเจียงซื่อจากจวนอี๋หนิงโหวไปแล้ว เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวก็เรียกหาผู้เป็นสามี
“ซื่อเอ๋อร์ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับยายของนางแล้ว”
เหล่าอี๋หนิงโหวชะงักงันและกล่าวเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ “ก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับผู้ใด อาเคอก็จากไปตั้งหลายปีแล้ว เจ้ากับซื่อเอ๋อร์จะรื้อฟื้นให้ได้อะไรขึ้นมา”
เนื่องจากบุตรสาวแท้ๆ เสียชีวิตหลังจากเกิดได้ไม่นาน เขาจึงชุบเลี้ยงอาเคอประหนึ่งลูกแท้ๆ ของตัวเอง ฉะนั้นแล้วในใจของเขา พี่น้องตระกูลเจียงจึงเป็นหลานทายาทสายตรงของตระกูล
ในมุมของเหล่าอี๋หนิงโหว การที่เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวเปิดเผยความลับนี้ไม่ต่างจากการหาเหาใส่หัว
เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวถอนหายใจ “ซื่อเอ๋อร์ต่างจากจั้นเอ๋อร์ ตอนนี้นางเป็นพระชายาในไทจื่อ อย่างน้อยหากรู้เรื่องไว้บ้าง นางจะได้เตรียมตัวรับมือ จะได้ไม่เป็นคนหูหนวกตาบอดที่ถูกใครรังแก”
แต่สาเหตุที่นางไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ต่อไปได้เป็นเพราะหลานสาวของนางกำลังตั้งข้อสงสัยแปลกประหลาดเกี่ยวกับไทเฮา หากไทเฮามิใช่ไทเฮาตัวจริงตั้งแต่แรกที่นางก้าวเท้าเข้าไปในวังหลวง หนำซ้ำยังวางแผนชั่วร้ายก็น่ากลัวยิ่งนัก นางไม่อาจละเลยความอยู่รอดของต้าโจวเพียงเพราะต้องการปิดบังความลับของตัวเอง
แม้นางจะเป็นหญิงที่ไม่ต่างอะไรจากไม้ใกล้ฝั่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นชาวต้าโจว
เหล่าอี๋หนิงโหวยังคิดไม่ตก “ในตอนนั้น มีแค่พวกเราที่รู้เรื่องนี้ หรืออย่างมากก็มีบ่าวรับใช้ใกล้ชิดอีกคนที่ทราบ แต่คนพวกนั้นก็ตายไปตั้งหลายปีแล้ว แล้วเจ้าจะกังวลเรื่องนี้ไปทำไมกัน”
“ความลับไม่มีในโลก ยิ่งซื่อเอ๋อร์อยู่ในตำแหน่งนั้น แม้การรู้มากอาจทำให้รำคาญใจแต่ก็ยังดีกว่าการไม่รู้อะไรเลย นายท่าน สาเหตุที่ท่านไม่พอใจเป็นเพราะกังวลว่าหากซื่อเอ๋อร์รู้ความจริงเข้า นางจะทำตัวห่างเหินใช่หรือไม่”
“ใครกังวล ซื่อเอ๋อร์มิใช่เด็กอย่างนั้นเสียหน่อย” เหล่าอี๋หนิงโหวกลบเกลื่อน
เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวหัวร่อ “ถ้าหากไม่ใช่ก็เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียที ถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านตาของซื่อเอ่อร์ตลอดไป”
เหล่าอี๋หนิงโหวเริ่มทนไม่ได้ เอ่ยพึมพำ “ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้!”
……
เจียงซื่อรีบกลับมายังจวนเยี่ยนอ๋อง และสั่งให้คนไปเชิญอวี้จิ่นจากเรือนหน้า
เมื่อสถานะของอวี้จิ่นเปลี่ยนไปแล้ว งานต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นมากหลาย โดยปกติแล้วเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการหารืออยู่ในห้องตำรา
“องค์รัชทายาท พระชายาให้มาเชิญพระองค์เสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ” หยวนเป่าคนรับใช้หนุ่มมิได้สนใจว่าการหารือจะเป็นไปอย่างเข้มข้นเพียงใด เขาเพียงแต่ขานรายงานอยู่ที่หน้าประตู
เขาขัดจังหวะการสนทนาของไท่จื่อหรือไม่ไม่สำคัญ แต่การปล่อยให้พระชายาไท่จื่อต้องคอยนานอาจนำเขาไปสู่ความตาย
ไม่แน่ในอนาคต ประสบการณ์สูงค่าของเขาอาจนำไปขายแลกเป็นเงินก็ได้
อวี้จิ่นดุ่มเดินออกไปจากห้องตำรา ปล่อยให้คนที่เหลือนั่งมองหน้าจั่งสื่อเฒ่าอยู่อย่างนั้น
จั่งสื่อลูบจมูกพลางกล่าวอย่างจนใจ “มาต่อเรื่องของเรากันเถิด”
จะมองหน้าเขาทำไม หากมองหน้าเขาแล้วปัญหาคลี่คลาย เขาคงนั่งมองหน้าตัวเองในกระจกทั้งวันไปแล้ว
ในช่วงเวลาเช่นนี้ จั่งสื่อเฒ่าอดสงสัยในเส้นทางของชีวิตมิได้ เหตุใดท่านอ๋องที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ถึงได้เป็นไท่จื่อกันนะ
อวี้จิ่นเดินมาถึงอวี้เหอย่วนในเวลาเพียงไม่นาน เขานั่งลงข้างเจียงซื่อ ยกชาขึ้นมาจิบ ขยี้หางตาเล็กน้อยพลางถาม “นั่งฟังจวนจะหลับอยู่ตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็หลุดพ้นเสียที ว่าแต่เจ้าไปที่จวนอี๋หนิงโหวได้ความคืบหน้าบ้างหรือไม่”
“ได้มาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือ ท่านยายบอกว่าท่านยายตัวจริงของข้าคือชาวอูเหมียว…”
ครั้นเจียงซื่อเล่าจบ อวี้จิ่นก็ถอนหายใจยาว “ที่แท้เจ้ากับสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มิน่าหน้าตาถึงได้ละม้ายคล้ายกันเพียงนี้”
เจียงซื่อยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ถึงแม้มารดาของข้าและอาซังจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่การที่พวกข้าทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกันก็น่าแปลกอยู่ดี”
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบุตรสาวของพี่น้องฝาแฝดจะต้องหน้าเหมือนกัน
อวี้จิ่นครุ่นคิดพลางเอ่ย “ข้าเดาว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวกับสายโลหิตพิเศษของพวกเจ้า”
“เจ้าหมายถึง…”
“อาซังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว ก่อนที่นางจะเกิด นางมิได้มีวิชาสกัดหนอนพิษกู่ติดตัว แต่ศาสตร์วิชานี้กลับอยู่ที่เจ้า ข้ากำลังคิดว่า บางทีเจ้าอาจจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์กำหนด แต่การที่อาซังเกิดมาหน้าตาเหมือนเจ้าอาจเป็นเพราะนางมีสายเลือดอันบางเบาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ในร่าง นี่อาจเป็นบททดสอบที่สวรรค์มอบให้เผ่าอูเหมียว ถึงได้มีเด็กสาวที่เกิดมาหน้าตาเหมือนกันสองคน หนำซ้ำยังมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด…”
เจียงซื่อนิ่งฟังการวิเคราะห์ของอวี้จิ่นก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา “หัวหน้าผู้อาวุโสก็เคยสงสัยเช่นนั้น”
หากนางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ และอาซังไม่ใช่ แล้วเมื่อชาติที่แล้วระหว่างนางกับอาซัง ใครกำลังใช้ชีวิตในตัวตนของใครกันแน่ เรื่องนี้ยากที่จะหาคำตอบ…
“ส่วนเรื่องไทเฮา หากเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวมิได้รับรู้พลาดไป นางน่าจะถูกใครบางคนสลับตัวก่อนที่นางจะเข้าไปอยู่ในวัง และเป็นไปได้มากจากเก้าในสิบว่าคนที่สลับร่างกับนางคือชาวอูเหมียว! อาซื่อ เจ้าน่าจะรู้จักศาสตร์วิชาของอูเหมียวเป็นอย่างดี เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้ารับ “หากคนสองคนมีอายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกัน วิชาแปลงกายของอูเหมียวก็จะสัมฤทธิผลอย่างสมบูรณ์แบบ”
อวี้จิ่นลูบถ้วยชาพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “อาซื่อ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านยายตัวจริงของเจ้าอาจเป็นคนบงการเรื่องการสลับตัวนี้ก็เป็นได้”
แผงขนตาเจียงซื่อสั่นไหว ไร้ถ้อยคำโต้ตอบ
อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อมากุมไว้พร้อมเอ่ยอย่างพินิจพิเคราะห์ “เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหว สตรีต่างเผ่า และไทเฮา ทั้งสามเคยไปมาหาสู่กันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากไทเฮาเข้ามาอยู่ในวังหลวง เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวกลับรู้สึกว่าสหายคนสนิทดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากเป็นเช่นนั้น สตรีต่างเผ่ามีบทบาทใดในเหตุการณ์ครั้งนั้น อาซื่อ หากเจ้าเป็นสตรีต่างเผ่า เจ้าจะเข้ามาอยู่ในจวนอี๋หนิงโหวด้วยวัตถุประสงค์ใด”
เจียงซื่อเงียบงันเนิ่นนานกว่าจะตอบ “หากข้าเป็นสตรีอูเหมียวที่มีแผนสลับตัวแต่แรก ข้าคงตีสนิทท่านยาย และเฝ้าสังเกตทุกการกระทำและคำพูดระหว่างท่านยายและพระชายาไท่จื่อ ด้วยวิธีการเหล่านี้ คนที่จะมาสวมรอยแทนไทเฮาก็จะไร้ข้อบกพร่อง ท้ายที่สุดนางก็จะกลายเป็นพระชายาไท่จื่อ… ฮองเฮา… และไทเฮาแห่งต้าโจวได้อย่างราบรื่น…”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกพรั่นกลัวก็ไหลทะลักเข้าเต็มอกของเจียงซื่อ
ไทเฮาเข้ามาอยู่ในวังหลวงหลายสิบปีแล้ว หากอูเหมียวคุมหมากกระดานนี้ตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องนี้ก็น่ากลัวยิ่งนัก
เจียงซื่อบีบมืออวี้จิ่นแน่น “อาจิ่น เจ้าคิดว่าอูเหมียวกำลังวางแผนอะไร คงมิใช่เพราะหวังจะทำลายอาณาจักรต้าโจวใช่หรือไม่”
“หากเป็นเช่นนั้น ไทเฮาควรพุ่งเป้าไปที่เสด็จพ่อ ไม่ใช่ฝูชิง”
“อาจิ่นเจ้าลืมไปแล้วหรือ ไทเฮามิได้ลงมือแค่กับฝูชิงเท่านั้น ยังมีอดีตไท่จื่อด้วยอีกคน”
อวี้จิ่นส่ายหัว “อูเหมียวหวังจะทำลายต้าโจวหรือไม่ ยากจะบอก แม้ชาวอูเหมียวจะมีศาสตร์วิชาพิสดาร แต่ประชากรก็มีเพียงหยิบมือ การจะรวมหลายสิบเผ่าในหนานเจียงให้เป็นหนึ่งจำต้องใช้แรงมากโข ฉะนั้นการโค่นต้าโจวจะให้ประโยชน์อันใด การที่ใครคนหนึ่งจะละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตนอาจทำได้ แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับคนทั้งเผ่าแล้วจำต้องรักษาผลประโยชน์นั้นไว้ บางทีเป้าหมายของพวกเขาอาจเกี่ยวข้องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์มากกว่า เพราะหลายปีมานี้เผ่าอูเหมียวกำลังเผชิญวิกฤติอันเนื่องมาจากตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ว่างเว้น”
เจียงซื่อพยักหน้าเห็นพ้อง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อาจต้องวางข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของเผ่าอูเหมียวไว้ก่อน เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการกระชากหน้ากากไทเฮาเพื่อมิให้นางก่อเรื่องได้อีก”
ไทเฮายืมมือคนอื่นสังหารอดีตไท่จื่อ หนำซ้ำยังลงมือกับฝูชิงนับครั้งไม่ถ้วน มาถึงวันนี้อาจิ่นได้เป็นไท่จื่อแล้ว ในเมื่อมีลางบอกเหตุชัดเจนเพียงนี้ แปลว่าเป้าหมายต่อไปที่ไทเฮาจะลงมือก็คือพวกเขานั่นเอง
การนั่งนิ่งรอภัยมาเยือนหรือคอยหาโอกาสพลิกแพลงสถานการณ์ในภายหลังล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ สิ่งที่นางเลือกคือการพุ่งเข้าหาเป้าหมายและกำจัดให้สิ้นซาก
“แล้วหลักฐานล่ะ” อวี้จิ่นพ่นลม “ที่บอกว่าไทเฮาถูกสลับตัวเป็นสิ่งที่พวกเราสันนิษฐานขึ้นจากคำบอกเล่าของเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหว สิ่งสำคัญกว่านั้นคือไทเฮาถูกสลับตัวตั้งแต่ก่อนที่นางจะเข้ามาที่วัง ฉะนั้นแล้วสำหรับเสด็จพ่อ นางยังคงเป็นไทเฮาคนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”