หางคิ้วของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินกระตุกโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อกัดริมฝีปากเบาๆ รู้สึกกังวลขึ้นมา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หากท่านยายไม่ยอมพูดถึงเรื่องในอดีต เช่นนั้นนางก็คงต้องหาทางเอาเองแล้ว
บรรยากาศอึมครึมไปชั่วขณะ ในที่สุดอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้ากับไทเฮาไม่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหรอก”
เจียงซื่อตะลึง จ้องอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินตาไม่กะพริบ
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินยิ้มอย่างขมขื่น “อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องเลวร้ายหรือห่างเกินกันทำนองนั้น”
เจียงซื่อถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “แต่ข้าได้ยินมาว่าเดิมท่านยายกับไทเฮาเป็นเพื่อนสนิทกัน ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก แล้วต่อมาทำไมถึงไปมาหาสู่กันน้อยลง”
หรือเพียงเพราะว่าไทเฮาเข้าวังไปจึงไม่สะดวก
“ใกล้ชิดสนิทสนม…” อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเอ่ยพูดพึมพำ สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ท่านยาย?” เจียงซื่อกลัวว่าอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินที่กว่าจะเปิดใจพูดออกมาได้นั้นไม่ง่ายเลยจะปิดปากเงียบลงอีก จึงตะโกนเรียกออกมาอย่างไม่รู้ตัว
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินดึงสติกลับมา เมื่อเห็นหลานสาวสีหน้าเป็นกังวลจึงหัวเราะเยาะตัวเอง “ปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะความสนิทสนม แต่ว่าเรื่องนี้หากพูดออกไปก็ดูเหลวไหลเล็กน้อย…”
เจียงซื่อนวดขาให้อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินดูน่าเอ็นดู พลางเอ่ยพูดน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านยาย ท่านพูดออกมาเถอะ ยังไงก็ไม่มีคนนอกได้ยินอยู่แล้ว”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินพยักหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววความแปลกใจยิ่งกว่าเดิม และเอ่ยพูดสิ่งที่น่าตกใจออกมา “ข้ารู้สึกเหมือนว่านางเปลี่ยนเป็นคนละคน!”
เจียงซื่อมือสั่น กัดริมฝีปากอย่างแรงไม่กล้าส่งเสียงออกมา
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินแววตาเลื่อนลอย จมดิ่งลงไปในความทรงจำ “ข้ากับไทเฮาเป็นเพื่อนสนิทกัน ความสัมพันธ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนข้าออกเรือน ตอนนั้นไทเฮามักจะมาเป็นแขกที่จวนโหว แต่ไม่รู้ตั้งแต่วันไหนที่ข้ารู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย หน้าตาก็เหมือนเดิม กิริยาท่าทางและนิสัยส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ล้วนไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ข้ามีความรู้สึกบางอย่าง มักจะรู้สึกว่านางไม่ใช่นาง…”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินสีหน้าแย่ลงเล็กน้อย จ้องมองเจียงซื่อ “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจความรู้สึกนั้นหรือไม่”
เจียงซื่อดวงตาเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ทว่าไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
ที่จริงอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินไม่ต้องการคำตอบหรอก นางถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่อ “ทุกครั้งที่มองนาง ข้ารู้สึกว่านี่มันก็ร่างกายของเพื่อนคนสนิทชัดๆ แต่จิตวิญญาณข้างในกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ข้าคิดแม้กระทั่งว่านางอาจจะถูกผีสิงเหมือนกับเรื่องเล่าในตำราโบราณเหล่านั้น…”
พอพูดถึงตรงนี้ อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นยิ่งกว่าเดิม “เรื่องแปลกประหลาดเหล่านั้นยังไงก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้นแหละ ข้ารู้สึกว่าตัวเองน่าจะถูกผีร้ายเข้าสิงเอง ถึงได้มีความคิดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็หมดปัญญาที่จะกำจัดความคิดที่ผุดขึ้นมาเช่นนี้ พอเจอหน้านางอีกข้าได้แต่รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ จึงห่างเหินกันไปโดยปริยาย”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนนั้นไทเฮาไม่รู้ว่าท่านคิดเช่นนี้งั้นหรือ” เจียงซื่อข่มความตื่นตระหนกตกใจไว้ เอ่ยถามเสียงเรียบ
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินส่ายหน้า “ข้าไม่พูดอยู่แล้ว ความคิดนี้มันเหลวไหลเกินไป จะพูดออกมาได้อย่างไร”
เจียงซื่อพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ถ้าหากมีเพื่อนที่สนิทกันวิ่งมาถามนางว่าถูกภูติผีวิญญาณร้ายเข้าสิงหรือไม่ นางก็คงจะคิดว่าคนๆ นี้เป็นบ้าแน่นอน
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินลูบผมเจียงซื่ออย่างอ่อนโยน ถอนหายใจเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ใช่เจ้ามาเค้นถาม ยายคงจะเก็บเรื่องนี้ลงโลงไปกับตัวเองแล้ว”
หากให้คนรุ่นหลังรู้ความคิดในตอนเด็กของนางว่ามันขัดกับหลักสัจธรรมในตำราเช่นนี้ นางจะไม่อับอายขายหน้ารึ
เจียงซื่อเงยหน้ามองอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน เอ่ยถามออกไปตรงๆ “ท่านยาย ท่านไม่เคยคิดหรือว่า บางทีท่านอาจจะรู้สึกถูกแล้ว”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินสั่นสะท้านไปทั้งตัว เอ่ยพูดด้วยความรู้สึกคลุมเครือ “ซื่อเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมีความคิดเช่นนี้”
“เกรงว่าท่านยายจะยังไม่รู้ ที่องค์หญิงฝูชิงถูกลอบทำร้ายอยู่หลายครั้งภายในวัง ทุกครั้งล้วนเกี่ยวของกับตำหนักฉือหนิง แม้กระทั่งการที่องค์หญิงสิบสี่ถึงแก่ความตาย หากบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮา แต่ไทเฮาเพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง แทบจะไม่มีเรื่องใดไม่สมปรารถนาเลย คิดไม่ออกเลยว่าด้วยเหตุผลใดถึงได้มาหาเรื่องกับอีแค่องค์หญิงคนเดียว ข้าคิดยังไงก็คิดไม่ออก แต่ได้ยินท่านยายพูดเช่นนี้ก็มีความคิดใหม่…”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินได้ยินเจียงซื่อพูดถึงเรื่องในวังก็รู้สึกอกสั่นขวัญหาย ขวัญหนีดีฝ่อโดยไม่รู้ตัว รีบถามกลับ “ความคิดอะไร”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปาก เอ่ยพูดน้ำเสียงหนักแน่น “หากไทเฮาไม่ใช่ตัวจริงตั้งแต่แรกล่ะ เช่นนั้นผู้ที่จงใจเข้าไปในวังแทนไทเฮาตัวจริงจะต้องมีแผนการร้ายแน่ แถมยังไม่ใช่แผนการเล็กๆ ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่คิดไม่ตกก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ “ไทเฮาไม่ใช่ไทเฮา แล้วนางเป็นใครกัน”
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสถามออกไป “ท่านยายไม่เจอเบาะแสร่องรอยอะไรสักนิดเลยหรือ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินครุ่นคิดอยู่นาน ส่ายหัวออกมา “แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างต่างออกไป และผ่านไปไม่นานนางก็เข้าไปในวังแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กัน อย่างมากก็วันขึ้นปีใหม่ที่มีรับสั่งให้ข้าเข้าวังไป ได้เจอกันตอนน้อมทักครั้งเดียว จะพบเจอเบาะแสอะไรได้”
พอเห็นว่าไม่มีอะไรจะถามเรื่องไทเฮาแล้ว เจียงซื่อก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นมีสตรีต่างถิ่นพักอาศัยอยู่ที่จวนโหว”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เกร็งไปทั้งตัวทันที
เจียงซื่อชะงักเล็กน้อย พลันถามออกไป “ระหว่างสตรีต่างถิ่นท่านนั้นกับไทเฮามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิศษหรือไม่ แล้วต่อมาไปไหนแล้วล่ะ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินจ้องมองเจียงซื่อ ในที่สุดก็นิ่งลง
เจียงซื่อไม่กล้าเร่ง ก้มหน้ารอ
แสงไฟภายในห้องไม่ได้สว่างมากนัก น้ำเสียงของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินดูว่างเปล่าเล็กน้อย
เจียงซื่อได้ยินนางพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่จริง สตรีต่างถิ่นท่านนั้นต่างหากที่เป็นยายของเจ้า”
เจียงซื่อเบิกตาโพลงทันที มองอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินด้วยความตกตะลึง
ด้วยความที่ใบหน้าของนางกับอาซังเหมือนกันราวกับแกะ นางก็เคยเดาๆ ไว้ แต่เมื่อได้ยินท่านยายพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาจากปากเอง ในใจก็รู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พอพูดสิ่งที่ยากที่สุดออกมาแล้ว คำพูดที่จะพูดต่อจากนี้ของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็ผ่อนคลายขึ้นมาก “ตอนนั้นข้าพบเจออันตรายระหว่างเที่ยวชมธรรมชาติ โชคดีถูกหญิงสาวต่างถิ่นช่วยเอาไว้ เห็นนางร่อนเร่พเนจรไปทั่วทุกสารทิศผู้เดียวจึงพากลับมาพักที่จวนโหว…จากนั้นนางได้รู้จักกับบัณฑิตคนหนึ่งที่รีบไปสอบในวัง หลังจากบัณฑิตท่านนั้นสอบได้ที่โหล่ก็ไม่เห็นเงาหัวอีกเลย และผ่านไปไม่นานนางก็พบว่าตัวเองตั้งท้อง และได้คลอดแฝดหญิงออกมา”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินมองเจียงซื่อพร้อมกับถอนหายใจ “ซึ่งหนึ่งในแฝดหญิงคู่นั้นก็คือแม่ของเจ้า อาเคอ”
“อีกคนล่ะ”
“ไม่เจอตัวแล้ว”
“ไม่เจอตัว?”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินยิ้มด้วยความขมขื่น “ใช่ วันที่สองหลังจากที่นางคลอดออกมาก็ไม่เห็นแล้ว ถึงแฝดพี่จะหายไป แต่แฝดน้องถูกทิ้งไว้ที่จวนโหว ตอนนั้นข้าก็กำลังจะคลอดพอดี ทว่าหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนโชคร้ายลูกสาวดันตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ข้าก็เลยเอาลูกสาวที่นางทิ้งไว้มาเลี้ยงเป็นลูกของตัวเอง”
ลูกสาวไม่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินในเรือนอยู่แล้ว หากเลี้ยงดูให้ดีเพื่อแต่งงานออกเรือนได้สินสอดทองหมั้นก็มีประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลไม่น้อย อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินจะทำเช่นนี้ก็ไม่แปลก
“ท่านยาย ท่านรู้หรือไม่ว่านางมาจากเผ่าไหน”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเงียบไปพักหนึ่ง “นางน่าจะมาจากเผ่าอูเหมียว”