เนื่องจากเกิดสุริยคราส ทุกคนที่ศาลาว่าการล้วนหวาดผวากันหมด ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น
หลังจากว่าราชการเสร็จเสนาบดีกู้ไม่กลับไปเหยียบศาลาว่าการด้วยซ้ำ เขามุ่งหน้ากลับไปยังจวนกู้ทันที
ตอนนี้ที่จวนกู้ก็ไม่มั่นคง
การเกิดสุริยคราสไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อราชสำนัก มันกระทบไปถึงเหล่าประชาชนด้วย
สุริยคราสยังคงเป็นลางไม่ดี เป็นลางสังหรณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ภัยจากผู้คนที่ก่อขึ้นเอง ไปจนกระทั่งเกิดการผลัดแผ่นดินรัชสมัยใหม่
ยอมเป็นสุนัขที่อยู่ในยุคอันสงบสุขดีกว่าเกิดเป็นคนในยุคที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย
สำหรับชาวบ้านที่คุ้นเคยกับความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงปลอดภัยของเมือง การที่จะเกิดความหวาดกลัวในใจนั้นจึงไม่แปลก
พอเสนาบดีกู้กลับมาถึงเรือนก็ดื่มชาเย็นๆ ลงไปพรวดเดียวเกือบครึ่งของกาน้ำชา จากนั้นใบหน้าถึงได้ดูมีเลือดฝาด
“นายท่าน เหตุใดถึงกลับมาเวลานี้ล่ะ” กู้ฮูหยินเอ่ยถามหน้าซื่อ
เสนาบดีกู้เช็ดเหงื่อออก เหลือบมองภรรยาพร้อมกับถอนหายใจออกใจมา “เกือบเกิดหายนะแล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” กู้ฮูหยินสีหน้าเป็นกังวล
เสนาบดีกู้ส่ายหน้า “เรื่องในราชสำนัก เจ้าอย่าได้ถามให้มากความ”
ช่างเป็นโชคดีท่านกลางความโชคร้าย สุริยคราสมาได้ทันเวลาพอดี หากมาช้าไปแค่ชั่วพริบตาเดียวเขาอาจโพล่งคำพูดเกลี้ยกล่อมเหล่านั้นออกมาแล้ว
ไม่อย่างนั้นคงจบเห่แน่!
กู้ฮูหยินเห็นท่าจึงไม่ถามให้มากความ เอ่ยพูดเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว นายท่านทานข้าวเช้ามาแล้วหรือ”
สำหรับขุนนางที่เข้าว่าราชการ ภายในวังจะมีคนดูแลเรื่องอาหารการกิน แต่ต้องรอหลังว่าราชการเสร็จถึงจะกินได้ กู้ฮูหยินเห็นเสนาบดีกู้กลับมาเร็วขนาดนี้ แถมยังเจอเข้ากับสุริยคราสที่เป็นลางไม่ดี ความหวาดกลัวท่ามกลางความโกลาหลทำเอาทุกคนลืมทานข้าว นางก็เลยเอ่ยถามออกมา
“ยังไม่ได้กิน”
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าให้โรงครัวมาส่งกับข้าวให้”
“ข้าไม่ค่อยอยากอาหาร” เสนาบดีกู้ปฏิเสธ จากนั้นก็กลับคำพูดออกมา “ช่างเถอะ ให้โรงครัวจัดขาหมูหมักซีอิ๊ว เนื้อนึ่งพวกนั้นมาแล้วกัน”
กู้ฮูหยินได้ยินก็อึ้งไปเลย
นายท่านกลับคำเร็วไปหรือไม่ เพิ่งจะพูดออกมาว่าไม่อยากอาหาร ตอนนี้ให้จัดขาหมูหมักซีอิ๊วให้งั้นรึ
“นายท่าน อากาศมันร้อน กินของพวกนี้…”
เสนาบดีกู้จ้องกู้ฮูหยิน พูดออกมาจากใจจริง “เรื่องภายนอกอย่าได้ถามให้มากความ ยกมาให้ข้าก็พอ”
ขาหมูหมักซีอิ๊ว และเนื้อนึ่งของพวกนี้ล้วนเป็นอาหารดีๆ ทั้งนั้น เห็นว่าไท่จื่อก็กินของพวกนี้ถึงได้ท้องเสีย
กู้ฮูหยินเดินออกไปด้วยความมึนงงพลางรับสั่งบ่าวรับใช้ จากนั้นก็จมดิ่งอยู่ในความคิด จะต้องเกิดเรื่องใหญ่กับนายท่านแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดจาสะเปะสะปะเช่นนี้ นางบอกว่าอากาศร้อนไม่เหมาะที่จะทานขาหมูหมักซีอิ๊ว แล้วไปเกี่ยวกับเรื่องข้างนอกได้อย่างไรกัน
หลังจากว่าราชการเสร็จวันนี้ มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่พอสงบลงแล้วก็เริ่มปลงอนิจจังเรื่องความโชคดีของอวี้จิ่น เรื่องเล่าที่สวรรค์เป็นผู้เลือกไท่จื่อองค์ใหม่ก็เริ่มแพร่งพรายออกไป
และบนโต๊ะอาหารของอีกหลายๆ จวนก็กับข้าวเช่นเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย ขาหมูหมักซีอิ๊ว เนื้อนึ่ง เท้าหมูตุ๋น…
จูตัวฮวน หลิงไถหลางขั้นห้าเข้ามาในสำนักหอดูดาวหลวงได้สิบกว่าปี อยู่เงียบๆ ไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด แทบจะไม่มีเรื่องอะไรให้ยกออกมาเล่าเลย วันนี้เขาตายไปแล้ว แม้หน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจหาเบาะแสออกมาได้โดยทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต่ที่เพิ่งแจ้งพระราชโองการลงโทษออกไปเมื่อครู่จิตใจยังคงไม่ดีขึ้น จึงเตะเก้าอี้เล็กพลิกไปมาหลายครั้ง ตรัสถามพานไห่ขึ้น “ไท่จื่อดีขึ้นรึยัง”
พานไห่รีบตอบกลับ “ทูลฝ่าบาท ที่จวนเยี่ยนอ๋องแจ้งข่าวมาแล้วว่าอาการของไท่จื่อดีขึ้นมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตาเป็นประกายเล็กน้อย
ป่วยตอนเกิดสุริยคราส จากนั้นก็อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าเด็กนี่ช่างมีวาสนาเสียจริง
“ไปเชิญไท่จื่อเข้าวัง”
ไม่นาน อวี้จิ่นก็มายืนอยู่ตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ “คารวะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองสำรวจอวี้จิ่น ตรัสพูดอย่างอบอุ่น “ผอมลงไปหน่อย”
อวี้จิ่นมุมปากกระตุก
ท้องเสียเป็นสิบครั้งในหนึ่งวัน จะไม่ผอมได้ยังไง จนถึงตอนนี้เขายังเจ็บก้นอยู่เลย
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหากสวรรค์ต้องการมอบภาระหน้าที่อันหนักอึ้งให้ใคร อันดับแรกก็ต้องทดสอบคนผู้นั้นดูก่อนว่าสามารถทนทุกข์ทรมาน เอาชนะและแบกรับหน้าที่อันสำคัญไว้ได้ ไท่จื่อไม่ได้เป็นกันง่ายๆ จริงๆ แต่ดีที่เขาเตรียมใจกับความลำบากมาแล้ว ถือว่าแบ่งเบาความทุกข์แทนเสด็จพ่อและพี่น้องแล้วกัน
“ลูกมันอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อกังวลใจ”
“แน่นอนว่าต้องกังวล แต่ว่าผอมลงก็ดี” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสพูดออกมาด้วยความผ่อนคลาย
บางทีอาจเพราะพบเรื่องโชคร้ายมามากเกินไป พอเห็นดาวนำโชคสาดส่องมาที่เจ้าเจ็ดก็รู้สึกมีความสุขแปลกๆ
น่าจะเลือกไท่จื่อไม่ผิดแน่
“ฤกษ์งามยามดีจัดพิธีสถาปนานั้นรอสำนักหอดูดาวหลวงเลือกวันใหม่อีกครั้ง อย่าได้ร้อนใจไป”
อวี้จิ่นรีบตอบ “ลูกไม่รีบ แล้วแต่เสด็จพ่อจะจัดการเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่อวี้จิ่นเดินออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตรัสถามพานไห่ “เจ้าว่าที่ไท่จื่อเลี่ยงความโชคร้ายครั้งนี้ได้ จะเกี่ยวกับแม่ทัพเซี่ยวเทียนหรือไม่”
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาสองวันแล้ว หากเทียบกับการที่บังเอิญป่วย มีความเป็นไปได้ว่าเอ้อร์หนิวอาจจะเตือนเจ้าเจ็ด
เอ้อร์หนิวเป็นเทพสุนัขที่คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวเชียวนะ
แต่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ช่าง เอ้อร์หนิวเป็นของเจ้าเจ็ด ยังไงก็เป็นเพราะเจ้าเจ็ดมีวาสนาอยู่ดี
ไม่รอให้พานไห่ตอบ จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเตร่ไปตรงหน้าจี๋เสียงที่ขดตัวอยู่ในมุมห้อง มองขึ้นลงสำรวจแมวตัวสีขาว แล้วถอนหายจออกมายาวเหยียด
เหตุใดวันนั้นแมวอ้วนที่เขาเลี้ยงไว้ถึงไม่มีความผิดปกติอะไรเลย
จี๋เสียงคาบปลาแห้งตัวเล็กเงยหน้ามองด้วยความงุนงง
คนและแมวจ้องตากันอยู่สักพัก จากนั้นจี๋เสียงก็พยายามกลืนปลาแห้งลง หันหลังเดินออกไป เหลือให้ดูเพียงแค่แผ่นหลังอันหยิ่งยโส
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบจมูกด้วยความแค้นใจ
ช่างเถอะ ถึงเอ้อร์หนิวจะดียังไงเขาก็ไม่ใช่คนเลี้ยง มีเพียงแค่เจ้าจี๋เสียงตัวนี้เป็นของเขา
แต่หลังจากเอ้อร์หนิวย้ายเข้ามาในตงกงแล้ว หากอยากจะไปเจอคงสะดวกมากขึ้น บางทีอาจจะสร้างบ้านสุนัขอีกหลังหนึ่งไว้ข้างๆ บ้านของจี๋เสียง ให้จี๋เสียงได้สัมผัส ดูดซับความเก่งกาจบ้าง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกรอคอยเวลาที่เอ้อร์หนิวจะย้ายเข้ามาในตงกงโดยไม่รู้ตัว
เจียงซื่อไปที่จวนอี๋หนิงโหวหลังจากที่อวี้จิ่นแถลงให้สาธารณชนรับรู้ว่าอาการดีขึ้นแล้ว เมื่อรับมือกับนายท่านซูและคนอื่นๆ เสร็จ ก็เข้าไปพูดคุยในห้องกับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน
“ไท่จื่ออาการดีขึ้นแล้วหรือ”
“เพราะคำอวยพรของท่านยาย อาจิ่นเลยอาการดีขึ้นมาก”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินยิ้มพูดขึ้น “ไท่จื่อเปี่ยมล้นด้วยบารมี จะเป็นเพราะคำอวยพรจากยายเฒ่าอย่างข้าได้ยังไง”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ที่อาจิ่นเป็นไท่จื่อได้ก็เพราะมีวาสนาจริงๆ แต่ถึงจะมีวาสนาเพียงใดก็ขัดขวางคนที่คอยวางแผนลอบทำร้ายอยู่ข้างหลังไม่ได้หรอก”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่ายังไง”
เจียงซื่อตัดสินใจพูดออกไปตามตรง จ้องมองเข้าไปในดวงตาอี๋หนิงโหวฮูหยินพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านยาย ท่านคงไม่นึกจริงๆ ใช่ไหมว่าที่ข้ามาสืบข่าวเรื่องในอดีตเป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินแววตาดูอึ้ง
เจียงซื่อเน้นเสียงหนักขึ้น “เดิมไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้ให้ผู้อาวุโสกังวล แต่อาจิ่นกลายเป็นไท่จื่อแล้ว ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความตายได้ ข้าจึงต้องพูดตามจริง ที่สำนักหอดูดาวนำวันสุริยคราสมาตั้งเป็นฤกษ์งามยามดีในการจัดพิธีสถาปนาไท่จื่อนั้น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีคนอยากผลักอาจิ่นให้ล้มลงจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้ต่างหาก”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินตะลึง
เจียงซื่อหลุบตาลงฝืนยิ้ม “ข้ากับอาจิ่นเป็นคู่สามีภรรยาหนึ่งเดียวกัน หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาจิ่น ข้าคงทำใจวางตัวออกห่าง ไม่สนใจ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ สมมติว่ามีแค่พวกเราสองคนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเรายังมีอาฮวน ท่านและมีญาติพี่น้อง ทุกคนอาจล้วนต้องประสบกับความพังพินาศย่อยยับ…ท่านยาย ขอท่านได้โปรดช่วยหลานสาวคนนี้ด้วยเถิด”
สีหน้าของอี้หนิงโหวเหล่าฮูหยินเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง “เจ้าถามมาสิ”
เจียงซื่อแอบรู้สึกดีใจ รีบดึงคำถามที่คิดไตร่ตรองอยู่นานออกมา “ข้าอยากรู้เหตุผลที่ท่านย่ากับไทเฮาเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน”