ตอนที่ 767 เสียงที่กังวานหนักแน่น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 767 เสียงที่กังวานหนักแน่น

ไป๋ชิงผิงยืนมองเปลวเพลิงที่สะบัดอ่อนๆ ตามแรงลมบนเสาคบเพลิงสูงที่ตั้งอยู่ทางสี่ทิศของค่ายทหารอยู่บนแท่นประลองนิ่ง เขายืนฟังเสียงโบกสะบัดของธงเฮยฟานไป๋หมั่งด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ

น่าเสียดายที่เขาต่อสู้ไม่เป็นจึงไม่อาจติดตามไป๋ชิงเหยียนไปออกรบยังสนามรบได้ นี่คือสิ่งที่ไป๋ชิงผิงรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิต

บุรุษเลือดร้อนส่วนหนึ่งของตระกูลบรรพบุรุษอยากติดตามไป๋ชิงเหยียนไปยังสนามรบเหมือนกัน ทว่า ถูกผู้ใหญ่ในตระกูลใช้คำว่ากตัญญูห้ามไว้เสียก่อน

เมื่อได้ยินเสียงม้าดังมาจากนอกสนามฝึก ไป๋ชิงผิงจึงหันไปมองตรงทางเข้าสนามฝึก เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าขาวเข้ามาด้านใน ไป๋ชิงผิงจึงรีบลงมาจากแท่นประลอง เขาเกือบวิ่งตรงไปยังทางเข้าของสนามฝึกอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

ไป๋ชิงเหยียนและองครักษ์ไป๋อีกยี่สิบนายที่ตามติดอยู่ทางด้านหลังขี่ม้าตรงมายังหน้าแท่นประลอง จากนั้นจึงกระชากบังเหียนม้าให้หยุดลง

ไป๋ชิงผิงรีบก้าวเข้าไปช่วยรั้งเชือกม้าของไป๋ชิงเหยียนอย่างเป็นห่วงอาการของหญิงสาว จากนั้นยื่นมือไปช่วยประคองไป๋ชิงเหยียนลงมาจากม้า ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับส่ายหน้าแล้วกระตุกบังเหียนม้าไปด้านหน้าเล็กน้อย…

หญิงสาวกวาดสายตามองไปยังทหารซั่วหยางในชุดเกราะห้าพันนายที่บ้างถือโล่ใหญ่ บ้างถือหอก บ้างถือดาบยาวยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบราวกับกองทัพจริงๆ อยู่ในสนามฝึก เกราะเงินของพวกเขาถูกแสงไฟจากคบเพลิงสูงส่องกระทบจนเปล่งประกายเป็นสีเงินแวววาว

ไป๋ชิงเหยียนกระตุกบังเหียนม้าให้หันหน้าไปทางเหล่าทหาร ม้าพ่นไอร้อนออกมาทางจมูกจากนั้นหยุดนิ่งอยู่หน้าแท่นประลอง

ภายในสนามฝึกเงียบสงัด สายตาของทหารซั่วหยางทั้งห้าพันนายต่างจับจ้องไปยังสตรีสวมชุดเกราะที่นั่งอยู่บนหลังม้าสูง

“ก่อนหน้านี้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่เพื่อปราบโจรป่า ไม่ให้โจรป่าเหล่านั้นกล้าลงมาลักขโมยของของชาวบ้านอีก! ทว่า วันนี้พวกเราจะออกเดินทางไปรบที่ต้าเหลียง สิ่งที่พวกเราจะเผชิญไม่ใช่โจรป่าแต่เป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของแคว้นศัตรู เมื่อวานตอนที่ข่าวเรื่องที่ข้าจะนำกองทัพซั่วหยางเดินทางไปออกรบที่ต้าเหลียงแพร่กระจายออกไป ข้าได้ยินบางคนกล่าวว่ากองทัพซั่วหยางเป็นเพียงกองทัพมือสมัครเล่นของข้าเท่านั้น พวกเราอาจเอาชนะโจรป่าได้อย่างง่ายดาย ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่อย่างต้าเหลียง พวกเราต้องโดนโจมตีจนหนีหางจุกตูดไม่ทันแน่นอน!”

“ทว่า พวกเจ้าคือทหารของข้า! คือทหารที่ตระกูลไป๋ฝึกฝนออกมา! ตระกูลไป๋ไม่เคยมีทหารที่ขี้ขลาดอ่อนแอ ทหารของตระกูลไป๋ไม่มีทางเป็นคนอ่อนแอและขี้ขลาด! พวกเราสามารถเอาชนะโจรป่าได้อย่างง่ายดาย พวกเราก็สามารถเอาชนะกองทัพของต้าเหลียงได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน!” ไป๋ชิงเหยียนชี้นิ้วไปทางธงเฮยฟานไป๋หมั่งที่เพิ่งถูกนำไปปักไว้ทั้งสี่ทิศของสนามฝึก “กองทัพไป๋ไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบมาก่อน ครั้งเดียวที่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าล้วนเกิดจากแผนการชั่วร้ายของคนในแคว้นเดียวกันเอง! แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่า ใจที่รักและปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นของตระกูลไป๋และกองทัพไป๋ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

“มีคนถามว่าในเมื่อกองทัพไป๋รักและปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น เหตุใดต้องเดินทางบุกไปโจมตีแคว้นอื่นด้วย วันนี้ข้าจะบอกเหตุผลกับพวกเจ้าทุกคน! เราทำไปเพื่อต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ทำไปเพื่อให้ใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป ทำไปเพื่อไม่ให้ใต้หล้าแห่งนี้มีครอบครัวที่ต้องแยกจากกัน ภรรยาแยกจากสามี บุตรแยกจากบิดามารดาอีก ที่นาทุกแห่งในใต้หล้าแห่งนี้จะไม่ถูกปล่อยให้รกร้างและแห้งแล้งอีกต่อไป จะไม่มีเหตุการณ์ที่ศพเกลื่อนกลาดเต็มพื้นดินจนไม่มีแม้แต่ที่จะฝังอีกต่อไป สิ่งที่กองทัพไป๋ต้องการปกป้องคือความสงบสุขของใต้หล้า ปกป้องชาวบ้านทั่วทั้งใต้หล้า หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ ทุกท่านกล้าสละชีพไปพร้อมกับข้าหรือไม่!”

น้ำเสียงทรงพลังของไป๋ชิงเหยียนดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ

เมื่อไช่จื่อหยวนฟังคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนจบ เลือดในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมาทันที แม้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอ ทว่า เขากลับอยากจับดาบออกไปสู้รบพร้อมกับไป๋ชิงเหยียนในสนามรบ

“หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ!”

“หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ!”

“หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ!”

เสียงตะโกนของเหล่าทหารดังกึกก้องไปถึงสวรรค์ทั้งเก้าชั้น สั่นสะท้านไปทั่วทั้งแผ่นดิน

แสงแดดยามเช้าค่อยๆ โผล่พ้นจากก้อนเมฆ แสงสีทองส่องสว่างจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก พื้นดินค่อยๆ สว่างขึ้นเป็นวงกว้าง แสงแดดสาดส่องไปยังกำแพงเมืองที่เก่าแก่ ทว่า ทนทาน

ไป๋ชิงเหยียนนำทัพทหารซั่วหยางห้าพันนายมุ่งหน้าออกไปจากเมืองซั่วหยางอย่างเอิกเกริก

ชาวบ้านต่างมาล้อมดูอยู่สองข้างทางของถนนอย่างหนาแน่น แม้แต่โรงสุราต่างๆ ก็มีคนยืนจับจองกันเต็มไปหมด ทุกคนมาเพื่อที่จะได้เห็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่พาร่างกายที่อ่อนแอของตัวเองไปออกรบเพื่อบ้านเมือง…

แม้แต่สตรีของหอนางโลมต่างก็พากันชะโงกหน้าออกมาจากหอนางโลมเพื่อมองดูบารมีขององค์หญิงเจิ้นกั๋วผู้นี้

อดีตนายอำเภอโจว เจ้าเมืองโจวคนใหม่ของซั่วหยางสั่งให้คนของจวนว่าการช่วยกันห้ามไม่ให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่สองข้างทางเข้าไปกลางถนน ทว่า ตนเองกลับไปยืนอยู่หน้าสุดของแถว แสร้งแสดงท่าทีน้อมส่งไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อมทั้งน้ำตา เขามองดูไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน จากนั้นตะโกนเสียงสะอื้นดังลั่น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ พวกเราชาวเมืองซั่วหยางรอองค์หญิงกลับมาพาพวกเราไปปราบโจรป่าอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อไม่เห็นไป๋ชิงเหยียนกล่าวตอบ เจ้าเมืองโจวจึงถลกชายกระโปรงของตัวเองวิ่งตามไปสองสามก้าว จากนั้นโค้งกายคำนับอย่างนอบน้อม “น้อมส่งองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ขอให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้ชัยชนะกลับมา สร้างบารมีให้แก่แคว้นของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”

นางรำชาวซีเหลียงนามว่าน่าคังตื่นขึ้นเพราะเสียงโหวกเหวกด้านนอก หญิงสาวซึ่งอยู่ในชุดนอนตัวบางเดินไปเปิดหน้าต่างออก จากนั้นใช้พัดกลมปิดหน้ามองลงไปด้านล่างพลางขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ ทว่า เมื่อสายตาของนางมองเห็นร่างของสตรีในชุดเกราะสีเงินที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์ นางค่อยๆ ลดพัดกลมที่ปิดอยู่บนใบหน้าลง นางละสายตาไปจากร่างนั้นไม่ได้แม้แต่น้อย…

บารมีสูงส่งและทรงพลังจากร่างของสตรีผู้นั้นไม่เหมือนกับบรรดาคนตระกูลสูงศักดิ์ที่มาเยือนหอนางโลม มันคือความสูงส่งที่ไม่เกรงกลัวความตายและอยู่เหนือสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนโลกใบนี้

น่าคังเดินตามร่างของไป๋ชิงเหยียนไปเรื่อยๆ หญิงสาวผลักหน้าต่างบานต่อไปออก จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดนตรีที่ดังกังวานหนักแน่นขึ้นในสมอง นางเดินตามร่างของไป๋ชิงเหยียนไปอย่างไม่รู้ตัว แววตาเปล่งประกายร้อนแรง มือที่กำอยู่ที่ขอบหน้าต่างขาวซีด

น่าคังนึกถึงคำโบราณที่ท่านแม่ของนางเคยสอนนาง แม้ลมจะพัดแรงบนท้องฟ้าเพียงใด ทว่า เมื่อหันกลับไปจะเห็นภูเขาที่เงียบสงบเสมอ อำนาจบารมีเช่นนี้เหมาะสมที่จะใช้บรรยายวีรสตรีอย่างองค์หญิงเจิ้นกั๋วจริงๆ

น่าคังเปิดหน้าต่างไม้แกะสลักทุกบานออก จนเมื่อไม่มีหน้าต่างให้เปิดต่อแล้ว หญิงสาวเห็นเพียงเงาดำของขบวนกองทัพ ไม่เห็นร่างที่ดุดันและเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมีร่างนั้นอีก นางจึงเอามือกุมหน้าอกที่เต้นรัวของตัวเอง เดินกลับไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบผีผาออกมา

เฉวียนอวี๋เร่งขี่ม้าเร็วกลับไปเมืองหลวงโดยไม่หยุดพัก เมื่อไปถึงจึงขอเข้าพบองค์รัชทายาททันทีโดยไม่พักดื่มน้ำแม้แต่อึกเดียว

องค์รัชทายาทเพิ่งตื่นขึ้นมาในอ้อมอกอันอบอุ่นของหงเหมย เขากำลังปล่อยให้หญิงสาวแต่งกายให้ เตรียมไปตรวจทานงานที่เขาทำเสร็จแล้วเมื่อคืนอีกรอบแล้วค่อยไปว่าราชการตอนเช้า ต่อมาจึงได้ยินว่าเฉวียนอวี๋มาถึงแล้วและมีเรื่องสำคัญต้องการทูลให้เขาทราบด่วน

องค์รัชทายาทที่กำลังโอบเอวเล็กของหงเหมยอยู่จริงจังขึ้นมาทันที เขานึกว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นอันใดไปจึงรีบผลักร่างของหงเหมยออก จากนั้นคว้าเสื้อคลุมมาสวมไว้ลวกๆ แล้วเดินจากไปพลางติดกระดุมไปพลางทันที

หงเหมยส่งเสียงงอนองค์รัชทายาทออกมาเล็กน้อย จากนั้นล้มตัวลงนอนพักผ่อนบนเตียงอีกครั้ง

เฉวียนอวี๋ยืนเอามือถูกันไปมาอยู่หน้าเรือนของหงเหมยอย่างใช้ความคิดว่าอีกสักครู่จะทูลองค์รัชทายาทเช่นไรดีว่าไป๋ชิงเหยียนฝืนร่างกายที่อ่อนแอของตัวเองพาทหารซั่วหยางที่ฝึกฝนสำหรับปราบโจรป่าเดินทางไปออกรบที่ต้าเหลียงแล้ว

หากเขารายงานไม่ดี องค์รัชทายาทอาจคิดว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ฟังคำสั่งของพระองค์ นำทัพไปโดยพลการ องค์รัชทายาทอาจเข้าใจผิดคิดว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีอำนาจทางทหารที่สำคัญอยู่ในมือ