ภาค-5 ตอนที่ 39 แม้นปราชัยก็น่ายินดี (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตื่นขึ้นมาพลันรู้สึกว่าสติแจ่มใส พอลืมตาขึ้นก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ในมือถือตำราเล่มหนึ่งกำลังอ่านอย่างเพลิดเพลิน ในใจข้ารู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนัก ทำให้เด็กน้อยที่ในอดีตเห็นหนังสือเป็นต้องหลับคนหนึ่งลุกขึ้นมาหาหนังสืออ่านเองได้ในวันนี้ ข้าช่างเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมนักเชียว

แม้ข้าขยับเพียงแผ่วเบา แต่เสี่ยวซุ่นจื่อกลับรับรู้ว่าข้าตื่นแล้ว เขาวางตำราลง จากนั้นถือชาร้อนถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา ข้าดื่มชาร้อนถ้วยนี้เสร็จก็กระปรี้ปกระเปร่าขึ้นมาก จากนั้นท้องก็เริ่มหิว เสี่ยวซุ่นจื่อบอกอย่างนิ่งสงบ “ห้องครัวกำลังอุ่นอาหารอยู่ ข้าจะให้พวกเขายกมา”

ข้าลุกขึ้นสวมอาภรณ์ชั้นนอก จากนั้นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ก็ดี”

เสี่ยวซุ่นจื่ออกไปสั่งคำหนึ่ง ไม่นานซูชิงก็ยกถาดไม้ถาดหนึ่งเดินเข้ามา บนถาดวางอาหารจานน้อยรสอ่อนมาหลายอย่าง ข้าเหลือบมองซูชิงแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงตำหนิขึ้นว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ เหตุไฉนให้แม่ทัพซูมาทำงานเช่นนี้ ไยมิใช่เสียมารยาทเกินไปแล้ว”

ซูชิงกลับเอ่ยอย่างใจกว้าง “ผู้น้อยตื่นมาก็พบว่าแม่ทัพฮูเหยียนมิยอมพักผ่อน หลังจากถามได้ความจึงทราบว่าเขาดึงดันจะเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยตนเอง ผู้น้อยคิดว่าช่วงนี้มิทราบอาจต้องสู้ศึกอันเลวร้ายอีกเมื่อใดจึงมิต้องการให้เขาตรากตรำเช่นนั้น ดังนั้นจึงขันอาสาเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนแทนเขา ใต้เท้าถือเสียว่าผู้น้อยเป็นแม่ทัพฮูเหยียนก็พอ มิต้องถือสาเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้”

ข้ารู้สึกโล่งอก ซูชิงอยู่ในกองทัพมาหลายปี นางคงไม่ถือว่าตนเป็นสตรีมานานแล้ว ข้าหยิบตะเกียบขึ้นมากำลังจะกินอาหาร ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงองครักษ์เอ็ดเบาๆ ข้าหยุดตะเกียบอย่างช่วยมิได้ ซูชิงได้ยินเสียงจึงเดินออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาแจ้งว่า “ใต้เท้า คนที่มาคือคุณชายจ้าวจ้าวเหลียงผู้นั้น บางทีเขาอาจทราบว่าใต้เท้าตื่นแล้วจึงต้องการมาขอพบแม้เป็นยามค่ำคืน”

ข้ารู้สึกประหลาดใจจึงตอบว่า “ให้เขาเข้ามาเถิด” ถึงอย่างไรจ้าวเหลียงผู้นี้ก็ก่อเรื่องใหญ่โตอันใดมิได้ ข้าจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ ผู้ใดให้ข้างกายข้ามีเสี่ยวซุ่นจื่อยอดฝีมือคนนี้อยู่เล่า หากคนอย่างต้วนหลิงเซียวที่เคยลอบสังหารซูชิง หรือชิวอวี้เฟยปรากฏตัวขึ้น ข้าถึงจะรู้สึกว่าอันตราย

ไม่นาน จ้าวเหลียงก็เดินเข้ามา เขาเดินเข้ามาในประตูห้องได้ก็คุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะหลายครั้งหลายหนทันที ข้าประหลาดใจนัก คิดจะเข้าไปประคอง แต่เสี่ยวซุ่นจื่อตวัดสายตาเย็นชามองมา ข้าจึงหดมือกลับอย่างสำเหนียกตนในทันใด แล้วถามว่า “สหายน้อยจ้าวเหตุใดจึงทำเช่นนี้ ลุกขึ้นมาพูดจาเถิด”

จ้าวเหลียงมิลุกขึ้นเพียงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ผู้น้อยบังอาจขอร้อง ขอท่านโหวโปรดช่วยชีวิตท่านลุงของข้าด้วย”

เพียงชั่วความคิดข้าก็เข้าใจเจตนาของเขา จี้เสวียนมีโรคร้ายรุมเร้านานปี แม้ข้ายังมิได้ตรวจชีพจรของเขาก็ทราบว่าโรคร้ายคงรุนแรงยิ่งนัก ข่าวที่ข้าเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาก็พอมีผู้คนทราบอยู่บ้าง จ้าวเหลียงผู้นี้จึงมาขอให้รักษาคน แม้ข้าจะรักษาให้ผู้อื่นน้อยครั้งนักเพราะเพียงดูแลรักษาร่างกายของตนเองก็วุ่นวายมากพอแล้ว แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง ข้าจึงตกปากรับคำอย่างใจกว้าง “เจียงเจ๋ออยู่ที่นี่ได้รับการดูแลจากสหายน้อย เรื่องนี้ย่อมมิมีปัญหา รอถึงวันพรุ่งเจียงเจ๋อจะไปตรวจดูท่านผู้เฒ่าด้วยตนเอง แต่เป็นหรือตายล้วนมีชะตากำหนด คนจะตายแม้แต่หมอก็มิอาจยื้อ เจียงเจ๋อทำได้เพียงทำสุดความสามารถ หากเกิดเรื่องที่ยากจะพูดขึ้นมาจริง ขอสหายน้อยโปรดอภัยด้วย”

จ้าวเหลียงเอ่ยอย่างยินดี “ผู้น้อยโขกศีรษะขอบคุณพระคุณของท่านโหว ขอเพียงท่านโหวยอมลงมือรักษา มิว่าผลเป็นเช่นไร ผู้น้อยมีแต่จะซาบซึ้งน้ำตานอง จะกล่าวโทษท่านโหวได้เช่นไร”

ข้ามองอาหารบนโต๊ะแล้วคลี่ยิ้ม “วันนี้ดึกแล้ว สหายน้อยคงจะรอคอยมานาน เกรงว่าท้องก็คงจะหิวโหยอยู่ ข้ารับประทานอาหารคนเดียวรู้สึกเบื่อหน่าย สหายน้อยมิสู้ร่วมทานอาหารกับข้าเถิด”

จ้าวเหลียงไฉนจะกล้าร่วมโต๊ะกับข้า แต่ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เพียงครู่หนึ่งชามกับตะเกียบอีกชุดหนึ่งก็ถูกยกมา จ้าวเหลียงได้แต่กินพอเป็นพิธีเล็กน้อย ส่วนข้ากินอาหารไปพลางก็สนทนากับเขาไปพลาง ไม่ผิดจากที่ข้าคาด จ้าวเหลียงผู้นี้ร่ำเรียนพงศาวดารมาเป็นอย่างดี รู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์กระจ่างดุจอยู่บนฝ่ามือ ไม่มีความคิดคับแคบเพราะอาศัยอยู่ในชนบทแม้แต่น้อย

ข้าสนทนากับเขาอย่างเบิกบานใจ แม้แต่ตอนเสี่ยวซุ่นจื่อยกอาหารที่เหลือออกไปแล้วเปลี่ยนชาหอมมาให้ ข้าก็ยังมิได้ใส่ใจ เพียงรับมาจิบคำหนึ่งอย่างคุ้นชินและเป็นธรรมชาติเท่านั้น หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “สหายน้อย เจ้าเป็นคนมีความสามารถเช่นนี้ แต่กลับลดตัวมาอาศัยในชนบทห่างไกล หากต้ายงของข้าเข้ามายึดครองชิ่นโจวได้แล้ว มิรู้ว่าสหายน้อยยินดีจะมาทำงานให้ต้ายงหรือไม่”

จ้าวเหลียงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาหลายหน ในที่สุดก็ถามว่า “ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งมิกระจ่าง ขอท่านโหวโปรดสั่งสอนด้วย”

ข้าจิบชาหอม อืม ใบชาจากป่าเขา ช่างรสชาติสดชื่นยิ่งนัก ปากก็ตอบรับ “เหวินซานมีเรื่องใดต้องการถาม”

จ้าวเหลียงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นว่า “ยามนี้กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ที่อานเจ๋อ เหตุใดท่านโหวจึงมิกลัดกลุ้มแม้แต่น้อย กลับยังทำเหมือนกำชัยชนะเอาไว้ในมือ หรือว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ของกองทัพต้ายงอยู่ในแผนการของท่านโหวอยู่แล้ว”

ข้ามือสั่น น้ำชาเกือบจะกระฉอกออกมา ข้ามองพิจารณาจ้าวเหลียงใหม่อีกหน เดิมทีคิดว่าเขาเป็นเพียงคนเก่งคนหนึ่ง ตอนนี้ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นยอดอัจฉริยะต่างหาก จากคำพูดเพียงไม่กี่คำของข้าก็มองออกมากมายถึงเพียงนี้ ข้าวางถ้วยชาลงแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับทางการทหาร เหวินซานต้องการทราบจริงหรือไม่”

จ้าวเหลียงหวั่นไหววูบหนึ่ง แต่เขาเข้าใจสถานะการณ์ของตนเองดีอย่างยิ่ง ในเมื่อเจียงเจ๋อออกปากชักชวนแล้ว เกรงว่าตนคงไม่มีโอกาสหนีไปไหนได้อีก หากมิถามให้กระจ่าง แล้วกองทัพต้ายงพ่ายแพ้ยับเยินกลับไปจริง ถ้าเช่นนั้นการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นเพียงภาพลวงตา หากเป็นเช่นนั้น ตนไยมิใช่แบกรับชื่อเสียงเลวร้ายว่าทรยศแว่นแคว้นเสียเปล่า ดังนั้นจ้าวเหลียงจึงพยักหน้าอย่างแน่วแน่กล่าวขึ้นว่า “ผู้น้อยต้องการทราบเหตุผลในเรื่องนี้ยิ่งนัก”

ข้าคิดในใจว่า ครั้งนี้ข้ามิได้วางกับดัก แต่ตัวเจ้ามาติดเบ็ดเองนะ จากนั้นจึงยิ้มแล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา “แม้บางเรื่องยังมิอาจบอกให้เจ้าฟังได้ แต่สาเหตุที่ข้ามิเก็บความพ่ายแพ้ครั้งนี้มาใส่ใจ เพราะกองทัพเป่ยฮั่นเลือกใช้น้ำจมอานเจ๋อ นั่นเป็นวิธีสู้ที่ทำให้พ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เห็นได้ว่ากองทัพเป่ยฮั่นหมดกำลังจะสู้ต่อแล้ว แม้กองทัพข้าจะพ่ายศึก แต่เพราะถอยทัพได้ทันเวลา กำลังหลักจึงมิเสียหาย ข้าคิดว่าต่อจากนี้กองทัพเป่ยฮั่นน่าจะถอยไปถึงชิ่นหยวน ล่อให้กองทัพข้าบุกลึกเข้าไปในเขตศัตรู เมื่อถึงเวลานั้น การขนส่งเสบียงมาเติมให้กองทัพเราย่อมยากลำบาก กองทัพเป่ยฮั่นก็จะต่อกรกับศัตรูได้สบายยิ่ง

ทว่าตั้งแต่แรก กองทัพเราก็มิได้หวังว่าจะคว้าชัยได้โดยง่าย ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ครั้งนี้มีแต่จะทำให้ทหารของกองทัพเราฮึกเหิมเพิ่มขึ้น แม้เส้นทางขนส่งเสบียงจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่กองเรือเจ๋อโจวของกองทัพเรายังมีเรือรบอีกหลายสิบลำ ขอเพียงเกณฑ์เรือชองชาวบ้านมาใช้ก็รักษาเส้นทางขนส่งเสบียงได้ และหากตั้งหลักมั่นคงต่อสู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป การจะตีเอาชิ่นหยวนก็มิใช่ยาก ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพรองของกองทัพเราก็น่าจะบุกตีด่านหูกวนได้แล้ว เมื่อด่านหูกวนแตก กองทัพใหญ่สองแสนก็จะล้อมตีชิ่นหยวน เมืองจะแตกเมื่อใดก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น”

จ้าวเหลียงฟังแล้วในใจก็หนักอึ้ง ในเมื่อผู้ตรวจการกองทัพของทัพต้ายงมั่นใจว่าจะคว้าชัยได้แน่นอนปานนี้ ถ้าเช่นนั้นพลทหารทั้งหลายของกองทัพต้ายงก็คงฮึกเหิมยิ่ง มิว่าชิ่นหยวนจะถูกตีแตกหรือไม่ ศึกนี้ก็คงจะทำให้เป่ยฮั่นสูญเสียสาหัส แม้เจียงเจ๋อมิได้อธิบายแผนการล้ำเลิศอันใดออกมา แต่ขอเพียงรวบรวมกำลังทหารเพียงพอต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา และมีแม่ทัพผู้โด่งดังเช่นฉีอ๋องหลี่เสี่ยนบัญชาการก็มิจำเป็นต้องใช้แผนการอันใดแล้วจริงๆ

แม้เขาเป็นคนเป่ยฮั่น แต่ยังมิเคยเป็นขุนนางและยังได้รับอิทธิพลมาจากจี้เสวียน จึงมิได้ภักดีต่อคนตระกูลหลิว ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว การเข้าสวามิภักดิ์ต่อต้ายงมิใช่เรื่องยากจะยอมรับอันใด ทว่าเมื่อคิดถึงสหายร่วมบ้านเกิดที่อพยพหนีภัยไป จ้าวเหลียงก็ถามอีกว่า “ขอถามท่านโหว ในเมื่อต้ายงตั้งใจจะรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง เหตุไฉนครั้งนี้บุกตีชิ่นโจวจึงเข่นฆ่าจุดไฟเผาตามเส้นทาง ขับไล่ประชาชนอพยพขึ้นเหนือ สถาการณ์เช่นนี้ผู้น้อยมิเข้าใจจริงๆ”

ข้าคิดในใจว่า เรื่องที่กวาดล้างบริเวณโดยรอบเกี่ยวพันกับความลับของกองทัพ คงมิอาจบอกเจ้าได้ จึงได้แต่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม “ทหารและประชาชนในชิ่นโจวทำสงครามกับต้ายงต่อเนื่องมาหลายปี แทบทุกบ้านล้วนมีลูกหลานตายบนสนามรบ กองทัพเรามิต้องการทิ้งภัยไว้ด้านหลังให้กระทบกับเส้นทางขนเสบียง ดังนั้นจึงขับไล่ชาวบ้านขึ้นเหนือ ความจริงนอกจากข่มขวัญแล้ว กองทัพเราก็มิได้เหิมเกริมเข่นฆ่าชาวบ้านอย่างทารุณ รอเมื่อสงครามสงบแล้ว กองทัพเราย่อมออกประกาศปลอบประโลมประชาชน ตอนนี้ก็ได้แต่ให้พวกเขาลำบากกันก่อน”

ในใจจ้าวเหลียงยังคงไม่เข้าใจ แต่เขาทราบว่าตนได้ทราบเพียงพอแล้วจึงลุกขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า “หากท่านลุงเห็นด้วย จ้าวเหลียงก็ยินดีสวามิภักดิ์ต่อต้ายง เพียงแต่จ้าวเหลียงยังเป็นชาวแคว้นเป่ยฮั่น ขอให้ท่านโหวโปรดละเว้น อนุญาตให้จ้าวเหลียงมิต้องเข้าร่วมสงครามระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่นด้วย”

ข้ารีบประคองเขาขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง จะไม่ให้สหายน้อยต้องลำบากใจแน่” ในใจข้าวางแผนไว้แล้วว่าวันหน้าจะให้เขาเป็นผู้ปลอบขวัญประชาชนแถบนี้จะเป็นการดีที่สุด ดังนั้นย่อมมิอาจให้เขากลายเป็นคนบาปผู้ทรยศแว่นแคว้นในสายตาทหารและประชาชนเป่ยฮั่น

วันต่อมาข้าตรวจอาการของจี้เสวียน โชคยังดีโรคของจี้เสวียนยังรักษาได้ เพียงแต่สมุนไพรในตอนนี้มีไม่ครบถ้วน ข้าจึงใช้การฝังเข็มกับสมุนไพรเท่าที่มีอยู่ในมือทำให้สภาพร่างกายของจี้เสวียนดีขึ้นก่อน เมื่อกลับถึงในกองทัพแล้วจึงจะลงมือรักษา

ส่วนเรื่องที่จ้าวเหลียงมอบความภักดีให้ข้า จี้เสวียนเพียงถอนหายใจแล้วมิถามไถ่อีก ความจริงเขาก็เข้าใจดี หากยามข้าจากไปมิสังหารพวกเขาปิดปาก เกรงว่าวันหน้ากองทัพเป่ยฮั่นก็คงสังหารพวกเขาข้อหาเป็นกบฏทรยศต่อแว่นแคว้นอยู่ดี ต่อให้จ้าวเหลียงไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็มิมีหนทางอื่นใดให้เดินอีก

ข้าแทบอยากจะหัวเราะลั่นออกมา มีจี้เสวียนอยู่ในมือ วันหน้าเหล่าบัณฑิตในเป่ยฮั่นย่อมยอมรับการปกครองของต้ายงง่ายขึ้นแล้ว ข้าคว้าสองคนนี้มาได้ นับว่ามีความดีความชอบต่อฝ่าบาทมากกว่าการตีเอาเมืองสักเมืองของเป่ยฮั่นมาได้มากมายยิ่งนัก

หลายวันต่อจากนั้น ข้าเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ซ่อนเร้นดียิ่ง จึงตัดสินใจมิเดินทางจากไปไหนแล้ว ถึงอย่างไรเคลื่อนไหวก็มิสู้นิ่งสงบ เพียงรออีกไม่กี่วันก็ไปรวมตัวกับหลี่เสี่ยนได้แล้ว ข้าจึงมิคิดออกไปเผชิญอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น ที่แห่งนี้ยังมีน้ำพุร้อน น้ำพุร้อนทำให้คนอายุยืนได้เชียวนะ แต่ละวันดื่มชาขมรับประทานอาหารจืด ยามว่างก็แช่น้ำพุร้อน ในมือถือตำราโบราณสักเล่ม ถกความหมายในคัมภีร์กับท่านผู้เฒ่าจี้ ช่างเป็นชีวิตประหนึ่งเทพเซียนเสียจริง