ปีอู้อิ๋น รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสามวันที่ยี่สิบสี่ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนรวบรวมกองทัพใหญ่มาตั้งทัพ ณ อานเจ๋ออีกหน กองทัพเป่ยฮั่นถอยไปป้องกันชิ่นหยวน
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
ข้าแช่ตัวอยู่ในน้ำพุร้อนอย่างสบายอุรา ปรือตาดื่มด่ำกับห้วงเวลาผ่อนคลายอันหาได้ยาก ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงโศกสลดดังมาจากริมฝั่ง “เหยี่ยวแลกระจอกมิร่วมวงศ์วาน แต่โบราณมาล้วนเป็นฉะนี้ เหลี่ยมแลกลมมิสบพ้องเข้าที ปณิธานต่างวิถีไฉนจักลงรอย ยอมหักห้ามดวงจิตข่มปรารถนา ทนผรุสวาจาอัปยศหยามหยัน ให้ชื่อคงพิสุทธิ์ตราบชีวัน จึงเป็นยอดบัณฑิตน่าเชิดชู”
ข้าสะดุ้งจนเกือบจะเซหน้าคว่ำลงน้ำ จี้เสวียนผู้นี้ทำเกินไปแล้วจริงๆ สองวันก่อนตอนถกความหมายของคัมภีร์ถูกเขาโต้จนถลอกปอกเปิดทั้งตัวยังมิเท่าไร ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาคัมภีร์ ข้ายอมพ่ายแพ้โดยดุษณี แต่บัณฑิตเฒ่าผู้นี้สองวันมานี้อารมณ์อ่อนไหวนัก ไม่มีอันใดก็ครวญบทกวี เรื่องนี้ยังพอทำเนา บัณฑิตจะอารมณ์สุนทรีย์ก็มิมีสิ่งใดให้ถือโทษ
แต่เขาจะเอาแต่ครวญบทกวีของชวีหยวนไม่ได้สิ ประเดี๋ยวก็ ‘ถอนใจสะอื้นไห้น้ำตานอง สุดเศร้าหมองทวยราษฎร์ทุกข์ลำเค็ญ’ ประเดี๋ยวก็ ‘ปณิธานอันมุ่งมาดปรารถนา แม้นมรณาเก้าหนมิเสียใจ’ เห็นชัดว่าเสียดสีเรื่องที่ข้าหันหลังให้หนานฉู่ไปเข้ากับต้ายง ก็ได้ ข้าจะทน รอหลังจากรวมตัวกับกองทัพใหญ่ ข้าก็มิจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขาแล้ว วันหน้าเมื่อส่งเขาไปข้างพระวรกายฝ่าบาท ข้าจักต้องระวังคอยหลบเลี่ยงเขาให้จงได้ ข้าถลึงตาใส่ผู้เฒ่าอย่างถมึงทึง ไม่มีอารมรณ์จะแช่น้ำอีกต่อไปแล้ว จึงกล่าวกับเสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ริมฝั่งว่า “พยุงข้าขึ้นที ข้าจะไปผลัดอาภรณ์แล้ว”
เสี่ยวซุ่นจื่อถูกข้ากล่อมเกลาจนแตกฉานบทกวีพอสมควร เขาจึงรู้ดีแก่ใจว่าจี้เสวียนลอบเสียดสีประชดชันอยู่ แต่ตัวข้าเองยังไร้หนทาง เขายิ่งทำได้แต่มองอยู่ด้านข้าง ถึงอย่างไรบัณฑิตเฒ่าผู้นี้ก็มิใช่ศัตรูที่โหดเหี้ยมเลวร้าย เป็นเพียงชายชราผู้รักศักดิ์ศรีคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจ้าวเหลียงอยู่ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรผู้เฒ่าคนนี้ก็ไม่มีทางทำเรื่องล้ำเส้นเกินไป ดังนั้นข้าจึงยอมกล้ำกลืนฝืนทนเล็กน้อย เสี่ยวซุ่นจื่อก็เห็นเป็นเพียงเรื่องน่าขบขันเท่านั้น
ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อแอบหัวเราะอยู่คนเดียวก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ หลังจากขึ้นฝั่งก็สวมเสื้อที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้ ข้าใช้ผ้าซับหยดน้ำบนเส้นผมไปพลางก็เอ่ยว่า “วันนี้วันที่ยี่สิบสามแล้ว ฉีอ๋องน่าจะตั้งทัพได้แล้ว ซูชิงเดินทางไปสืบข่าวการศึกอยู่ ข้าคิดว่าภายในวันสองวันนี้น่าจะไปรวมกับกองทัพใหญ่ได้แล้ว ถึงเวลาให้ฉีอ๋องส่งคนมาพาพวกเขาศิษย์อาจารย์ไปเจ๋อโจว มิเห็นใจย่อมมิว้าวุ่น เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”
ดวงตาเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นประกายวูบหนึ่ง มองจี้เสวียนผู้เดินเล่นอยู่ไม่ไกลคนนั้นกับจ้าวเหลียงผู้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนข้างกายเขา แล้วยิ้มหยันกล่าวว่า “คุณชายหาความลำบากใส่ตัว บัณฑิตเฒ่าจี้นิสัยหัวรั้น หากมิใช่ว่าจ้าวเหลียงอยู่ในกำมือของพวกเรา เขาคงมิเกรงใจเท่านี้ คนเช่นนี้หากวันหน้าได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทแล้วยังปากบอนเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของคุณชายเสื่อมเสีย หากทำตามความคิดข้าสังหารพวกเขาเสียก็สิ้นเรื่อง ไฉนต้องมาเหนื่อยใจเช่นนี้อีก”
ข้าใจสั่นวูบหนึ่งแล้วลอบเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่ากับชายหนุ่มคู่นั้นน่าจะไม่ได้ยินเสียงของเสี่ยวซุ่นจื่อ จึงกระซิบตอบว่า “ทำเช่นนี้ได้เช่นไรเล่า หากสังหารพวกเขา น่ากลัวว่าชื่อเสียงของข้าในหมู่บัณฑิตเป่ยฮั่นคงเหม็นโฉ่ว ขอเพียงทำให้พวกเขาสร้างประโยชน์เพื่อต้ายงของพวกเราได้ ข้ากล้ำกลืนฝืนทนนิดหน่อยมิเห็นเป็นอันใด อีกอย่างหนึ่ง จี้เสวียนผู้นี้ยึดมั่นในความเชื่อที่ว่า ‘ยามรุ่งโรจน์เผื่อแผ่ความดียังใต้หล้า ยามตกต่ำมุ่งมั่นทำตนให้ดีงาม’
ในอดีตเขามิพอใจที่หลิวเซิ่งแบ่งแยกแผ่นดินก่อตั้งแว่นแคว้น แต่เขามิได้ถวายหนังสือกราบทูลโดยตรงและมิได้ครองตำแหน่งกินเบี้ยหวัดเปล่าๆ แต่ลาออกจากตำแหน่งปลีกตัวจากสังคม ดูจากเรื่องนี้ย่อมทราบว่าเขามิใช่ผู้จงรักภักดีจนโง่เขลา ยามนี้ที่เขาเสียดสีข้าเป็นเพียงการระบายความไม่พอใจและเป็นการหยั่งเชิงดูนิสัยของข้าเท่านั้น หากข้าถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไฉนมิใช่ทำให้เขาดูแคลนขุนนางทั้งหลายแห่งต้ายง ดังนั้นข้าจะคิดเล็กคิดน้อยมิได้เป็นอันขาด”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆ มิได้เกลี้ยกล่อมข้าให้สังหารคนต่อ ความจริงเสี่ยวซุ่นจื่อเองก็มิใช่ว่าไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ แต่เขาเห็นข้าเป็นประหนึ่งบิดา มิยินดีเห็นผู้อื่นรังแกข้าก็เท่านั้น ในใจข้าลอบหัวเราะเจื่อนๆ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้ามิได้กล่าวออกมา นั่นก็คือในความคิดของบัณฑิตผู้ภักดีจนโง่เขลาเหล่านั้น ชื่อเสียงของข้าคงเหม็นโฉ่วเกินทนอยู่แล้ว ต่อให้มีเรื่องของจี้เสวียนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็มิสลักสำคัญอันใด
ซูชิงเห็นธงผืนใหญ่ของฉีอ๋องจากไกลๆ ในที่สุดหัวใจก็รู้สึกผ่อนคลาย ชักม้าตรงไปหาแม่ทัพที่คุมประตูค่ายแล้วกล่าวว่า “ข้าซูชิง รับคำสั่งจากใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ เดินทางมาเข้าเฝ้าฉีอ๋อง”
แม่ทัพผู้คุมประตูคนนั้นจดจำซูชิงได้ เมื่อได้ยินว่าเจียงเจ๋อเป็นผู้ส่งมาก็หน้าตาเบิกบานทันที หลายวันนี้ฉีอ๋องวุ่นวายอยู่กับการรวบรวมกองทัพ แม้ไม่ได้พิโรธหนักหนา แต่ก็สีหน้าถมึงทึงอยู่เสมอ ทำให้คนที่เห็นอกสั่นขวัญแขวน
เรื่องที่ฉีอ๋องให้ความสำคัญกับใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันทั่ว ขอเพียงใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพปลอดภัย ฉีอ๋องต้องยินดีแน่ ชีวิตของพวกเขาก็ย่อมดีขึ้นตามไปด้วย แม่ทัพผู้คอยคุมประตูนายนั้นส่งคนไปรายงานที่กระโจมแม่ทัพ ขณะเดียวกันก็ส่งรองแม่ทัพนำทางซูชิงเข้าไปด้านใน
ซูชิงเดินเข้ามาด้านในค่ายก็กวาดสายตามองดู แม้กองทัพต้ายงจะเพิ่งแพ้พ่ายมา แต่ค่ายใหญ่ที่ฉีอ๋องตั้งขึ้นมาก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในค่ายไม่มีบรรยากาศหดหู่แม้แต่น้อย ฉีอ๋องนับว่าเป็นยอดแม่ทัพแห่งยุคอย่างแท้จริง ซูชิงนึกชื่นชมในใจ แต่บนใบหน้ากลับเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์
นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะเข้าพบฉีอ๋องอย่างเป็นทางการหลังจากตัวตนถูกเปิดเผย ในใจนางมีความวิตกอยู่ แม้พระชายาในฉีอ๋องเป็นศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ แต่ฉีอ๋องกับสำนักเฟิงอี้ก็มิได้ปรองดองกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางรู้แก่ใจดี แม้ฉีอ๋องมิได้ปฏิบัติกับนางต่างจากเดิมเพราะเห็นแก่ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ แต่ในใจซูชิงก็ยังคงกังวลอยู่ดี
ซูชิงก้าวเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่ สุดท้ายจิตใจที่เดิมทีหวาดวิตกอยู่ก็สงบลง เมื่อเห็นฉีอ๋องยืนมือไพล่หลังอยู่ด้านในพลางยิ้มน้อยๆ มองมาที่ตน ซูชิงก็มิรู้เป็นอย่างไร ในอกรู้สึกโล่งใจ ก้าวเข้าไปคารวะรายงานว่า “ผู้น้อยคารวะท่านอ๋อง ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพปลอดภัยไร้อันตราย นี่เป็นจดหมายที่ใต้เท้าสั่งให้ผู้น้อยนำมาส่ง”
หลี่เสี่ยนมองซูชิง แม้ใบหน้าจะนิ่งสงบและประดับรอยยิ้ม แต่ในใจกลับมีคลื่นถาโถม องครักษ์คนสนิทของเขาเคยเกลี้ยกล่อมให้เขาปลดซูชิงจากหน้าที่ หรือแม้แต่ให้ขังนางเอาไว้ เพื่อมิให้ราชสำนักคลางแคลงใจต่อเขาอีก แต่หลี่เสี่ยนกลับปฏิเสธอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด หลี่เสี่ยนผู้นี้ต้องใช้ความเป็นความตายหรือเกียรติยศความตกต่ำของผู้อื่นมาชำระตนเองให้พ้นมลทินตั้งแต่เมื่อใด
การมีอยู่ของซูชิงทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย ฉินเจิงยามเยาว์วัย ทั้งฉลาดเฉลียวและงดงามจนทำให้เขาทุ่มเทหัวใจทั้งดวงให้เป็นครั้งแรก แล้วยังมีเหวินจื่อเยียน สตรีผู้เย็นชาดุจหิมะคนนั้น เป็นคนเพียงผู้เดียวที่เขานับถือในสำนักเฟิงอี้ ใจแท้จริงของหลี่เสี่ยนมิต้องการให้ซูชิงถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แต่หลี่เสี่ยนรู้ชัดดีว่า สถานการณ์ของตนความจริงแล้วก็มิได้ดีเท่าใด เพียงการกระทำในอดีตของตนก็เพียงพอทำให้หลี่จื้อกล่าวโทษจับตนเข้าห้องขังโดยมิจำเป็นต้องหาข้ออ้างประการใดแล้ว หากจะปกป้องซูชิงจริงๆ เขาก็คงเสียหายไม่น้อยแน่นอน
โชคดีที่ในค่ายใหญ่เจ๋อโจว นอกจากตนแล้วยังมีเจียงเจ๋ออยู่ด้วย ตอนแรกหลังจากหลี่เสี่ยนทราบเรื่องซูชิง เขากังวลใจอยู่บ้าง เจียงเจ๋อเหมือนจะมีความเคียดแค้นชิงชังต่อสำนักเฟิงอี้ ซูชิงเป็นศิษย์ของเหวินจื่อเยียน ย่อมเท่ากับเป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักเฟิงอี้ เจียงเจ๋อจะละเว้นซูชิงหรือไม่ หลี่เสี่ยนมิมั่นใจ
ทว่าสิ่งที่ทั้งผิดคาดและเป็นดังคาดก็คือเจียงเจ๋อปกป้องซูชิง เรื่องนี้ทำให้หลี่เสี่ยนนับถือและไว้วางใจเจียงเจ๋อมากขึ้นอีก แน่นอนว่าในมุมมองของหลี่เสี่ยนผู้เป็นเชื้อพระวงศ์และชินอ๋อง หากการตัดสินใจของเจียงเจ๋อได้รับการยอมรับจากราชสำนัก นี่ก็จะเป็นสารที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง นั่นก็คือราชสำนักมิสืบสาวเอาความความผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสำนักเฟิงอี้อีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้จะทำให้ผู้คนมากมายคลายกังวล แม้มิทราบว่าหลี่จื้อจะตัดสินใจเช่นไร แต่หลี่เสี่ยนตระหนักถึงความนัยของเรื่องนี้ และเขาเชื่อว่าหลี่จื้อจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
หลี่เสี่ยนเก็บซ่อนความคิดในใจ จากนั้นรับจดหมายจากมือของซูชิง แม้จะบอกว่าเป็นจดหมาย แต่ความจริงแล้วกลับเป็นยาลูกกลอนสีขาวเม็ดเท่าดวงตามังกรลูกหนึ่ง หลี่เสี่ยนหยิบกระดาษใยฝ้ายแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะแม่ทัพ ใช้กระดาษห่อยาลูกกลอนขี้ผึ้งไว้ หลังจากนั้นหยิบมีดเล่มเล็กสำหรับตัดกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาปาดผิวขึ้ผึ้งออกอยางชำนิชำนาญ
หลังจากขี้ผึ้งถูกปอกออก ของเหลวสีเขียวก็ซึมออกมาจากด้านใน ไม่นานก็ซึมชุ่มกระดาษอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลี่เสี่ยนหยิบยาลูกกลอนสีน้ำผึ้งที่ขนาดเล็กกว่าลูกหนึ่งออกมาจากด้านใน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดของเหลวสีเขียวบนนั้นออก แล้วจึงบี้ยาลูกกลอนสีน้ำผึ้งโดยใช้กระดาษกั้นไว้ สุดท้ายจึงหยิบแถบผ้าไหมบางดุจปีกจักจั่นชิ้นหนึ่งออกมา
การกระทำทั้งหมดนี้ของหลี่เสี่ยนเป็นไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง มิปล่อยให้ของเหลวสีเขียวนั่นเปื้อนบนมือแม้แต่นิด ซูชิงมองอย่างเหม่อลอย ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย อดถามออกมามิได้ว่า “องค์ชาย สิ่งนี้คือสิ่งใด”