ภาค-5 ตอนที่ 41 เอาตัวมาติดกับ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลี่เสี่ยนตอบโดยมิเงยหน้า “นี่คือสิ่งที่ฉู่เซียงโหววางกับดักไว้ ขี้ผึ้งหุ้มมีสองชั้นคือด้านในกับด้านนอก ตรงกลางบรรจุยาพิษอยู่ หากเป็นผู้ที่มิทราบเรื่องก็จะใช้มือบีบให้แตก ทำเช่นนั้นมิเพียงแต่จะถูกพิษซึมเข้าสู่ร่าง แต่พิษยังจะซึมเข้าไปทำลายสารด้านใน ฉู่เซียงโหวเป็นคนรอบคอบ คิดว่าจดหมายฉบับนี้คงสำคัญอย่างยิ่ง เขากังวลว่าระหว่างทางจะถูกผู้อื่นแย่งชิงจดหมายไปกระมัง”

ซูชิงนึกหวาดผวาอยู่ในใจ ฉู่เซียงโหวร้ายกาจเสียจริง เกรงว่าที่เขาให้ตนนำจดหมายฉบับนี้มาส่งคงมีเจตนาจะหยั่งเชิงตนอยู่ด้วย หากตนคิดจะลอบสอดส่องความลับ ถ้าเช่นนั้นย่อมถูกพิษสังหาร

แต่ในใจซูชิงกลับไม่รู้สึกไม่พอใจ ตนเป็นลูกศิษย์ของเหวินจื่อเยียน แต่ยังได้รับภาระหน้าที่สำคัญจากเจียงเจ๋อ ความไว้เนื้อเชื่อใจเช่นนี้มีค่าหายากยิ่ง ซูชิงมีแต่ความนับถือต่อชั้นเชิงของเจียงเจ๋อ มิคิดโกรธเคือง

หลี่เสี่ยนอ่านตัวหนังสือเล็กถี่ยิบบนแผ่นกระดาษบาง ประเดี๋ยวคิ้วก็ขมวด ประเดี๋ยวก็เหมือนคิดบางสิ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงส่ายศีรษะเบาๆ แล้วถอนหายใจ จากนั้นวางกระดาษแผ่นบางลงบนโต๊ะแม่ทัพ

ความจริงแล้วหลี่เสี่ยนมิได้เก็บการพ่ายศึกครั้งนี้มาใส่ใจ นับแต่เขานำทัพออกศึกมาก็พ่ายแพ้มามิรู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับกว่าครั้งนี้ เขาก็เคยเผชิญมาก่อน ดังนั้นหลังจากปราชัย เขาจึงยุ่งวุ่นวายกับการจัดทัพเตรียมทำศึกอีกหน คิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อกลับคิดลึกซึ้งยิ่งกว่าและไกลยิ่งกว่าเขา ทั้งที่พ่ายศึกมาครั้งหนึ่งแท้ๆ แต่เขากลับคิดแผนการใช้ประโยชน์จากความพ่ายแพ้ได้แล้ว

สิ่งที่เขียนอยู่บนจดหมายฉบับนี้ทำให้หลี่เสี่ยนอ่านแล้วหนาวสะท้านในใจ พี่รองทำให้คนเช่นนี้จงรักภักดีช่วยเหลือสนับสนุนได้ก็มิน่าแปลกใจที่พี่รองจะแย่งชิงราชบัลลังก์สำเร็จ เวลานี้หลี่เสี่ยนยอมรับนับถือจากใจจริง

เขามองซูชิงผู้วางสีหน้าเฉยชารอคอยคำสั่งของตน แล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “แม่ทัพซู ท่านพักผ่อนสักวัน วันพรุ่งนี้ค่อยไปพบฉู่เซียงโหว เชิญเขากลับมายังกองทัพ แจ้งเขาว่า เรื่องที่เขาไหว้วาน ข้าจักทำตามนั้นแน่นอน”

ในใจซูชิงสับสนมึนงง แต่นางเป็นทหารมานานปี ย่อมทราบว่าสิ่งใดคือการปฏิบัติตามคำสั่ง จึงขานรับอย่างขึงขัง หนึ่งรัตติกาลผ่านพ้นอย่างไร้เรื่องราว แน่นอนว่าซูชิงมิทราบว่าค่ำคืนนั้นฉีอ๋องเร่งส่งฎีกาฉบับหนึ่งไกลแปดร้อยลี้

วันต่อมา ซูชิงออกเดินทางตามลำพัง ตามความคิดของนาง ดีที่สุดสมควรพาทหารม้าไปด้วยสักหนึ่งพันนายเพื่อไปรับเจียงเจ๋อ แต่ฉีอ๋องกล่าวว่าสายลับของกองทัพเป่ยฮั่นถอนตัวออกไปแล้ว ที่แห่งนี้อยู่ในการควบคุมของกองทัพต้ายงอย่างสิ้นเชิง จึงมิจำเป็นต้องวุ่นวายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายเจียงเจ๋อก็มีราชองครักษ์หู่จีอารักขาอยู่ หากจะให้เคลื่อนพลทหารมากมายเช่นนั้น น่ากลัวว่าเจียงเจ๋อก็คงมิใคร่ยินดีเช่นกัน

ซูชิงย่อมมิเห็นแย้งแต่ประการใด นางเคยประมือกับเสี่ยวซุ่นจื่อมาก่อน จึงมั่นใจว่าวรยุทธ์ของเสี่ยวซุ่นจื่อน่าจะสูสีคู่คี่กับต้วนหลิงเซียว ต่อให้เป่ยฮั่นทิ้งมือสังหารไว้ ยังจะฝีมือสูงส่งกว่าต้วนหลิงเซียวไปได้หรือ ดังนั้นซูชิงจึงมิได้กังวลใจเช่นกัน แต่เพื่อระวังไว้ก่อน ระหว่างทางซูชิงก็ยังระมัดระวังยิ่งนัก อ้อมหลายรอบก่อนกลับไปยังสถานที่ซ่อนตัวของเจียงเจ๋อ

นางทักทายราชองครักษ์หู่จีที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอก จากนั้นเข้าไปยังที่พำนักของเจียงเจ๋อ เมื่อเห็นในลานบ้านวางโต๊ะสี่เหลี่ยมอยู่ตัวหนึ่งกับเก้าอี้ไม้สองตัว เจียงเจ๋อกับจี้เสวียนกำลังเดินหมากกันอยู่ที่นั่น แม้สมุนไพรจะไม่เพียงพอ แต่ร่างกายของจี้เสวียนก็ค่อยๆ ดีขึ้น เขามีนิสัยชอบเดินหมาก เมื่อก่อนยามป่วยหนักยังลากจ้าวเหลียงมาดวลหมากกับเขา ตอนนี้ยิ่งอดใจมิไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝีมือเดินหมากของเจียงเจ๋ออยู่เพียงระดับธรรมดา ถึงจี้เสวียนต่อให้เขาสี่เม็ด เขาก็ยังเชือดเจียงเจ๋อให้พ่ายแพ้ย่อยยับได้ ในเมื่อมิอาจใช้กำลังต่อต้าน จี้เสวียนจึงชมชอบการรังแกคนรุ่นหลังที่ขัดหูขัดตาเขาผู้นี้ด้วยกระดานหมากยิ่งกว่าเดิม ส่วนเจียงเจ๋อก็ดันมิสะดวกจะปฏิเสธ จึงได้แต่หน้าบูดบึ้งมองกระดานหมากเท่านั้น

ข้าโยนหมากทิ้งแล้วบอกยอมแพ้ พอมองใบหน้าชรากระหยิ่มยิ้มย่องของจี้เสวียน ในใจพลันรู้สึกไม่ยินยอม บ่นกระปอดกระแปดสองสามคำ แต่เมื่อเขาตวัดสายตาเย็นชามองมา ข้าก็พลันยิ้มประจบเริ่มเก็บเม็ดหมาก ถึงกระนั้นหากให้กล่าวตามความจริง ในใจข้าก็มิได้โกรธเคือง แม้ผู้เฒ่าคนนี้มีนิสัยประหลาด มักหาเรื่องให้ข้าอับอาย แต่หลังจากหงุดหงิดยามแรกเริ่ม ตอนนี้ข้ากลับชอบความรู้สึกเช่นนี้เข้าแล้ว

นานนักแล้วที่ผู้คนรอบตัวข้ามิเคารพข้าประหนึ่งเทพเจ้าก็หวาดกลัวข้าประหนึ่งอสรพิษ แม้มีคนใกล้ชิดหลายคนที่รักข้าเห็นความสำคัญของข้า แต่ไม่มีสหายที่มองข้าเป็นคนธรรมดาเท่าเทียมกันเช่นนี้แม้แต่คนเดียว ต่อให้ผู้เฒ่าคนนี้มักจะชักสีหน้าใส่เสมอ แต่ข้ากลับรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น ถึงเขาจะเห็นข้าขัดตา แต่กลับไม่มีความเป็นอริมากมายแต่อย่างใด หากมิใช่เช่นนั้น เสี่ยซุ่นจื่อคงไม่ยอมปล่อยเขาไว้ข้างตัวข้า ผู้เฒ่าคนนี้เป็นสหายต่างวัยที่ดียิ่งคนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงยินยอมพร้อมใจถูกเขากลั่นแกล้ง

เมื่อซูชิงก้าวเข้ามาในลานบ้านเห็นภาพเช่นนี้ นางก็อดมิอยู่ลอบหัวเราะ จากนั้นก้าวเข้าไปรายงานว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยได้พบแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านอ๋องแจ้งว่าเรียนเชิญใต้เท้าเร่งเดินทางกลับค่าย แล้วบอกว่าทุกสิ่งจักทำตามแผนของใต้เท้าทุกประการ”

ข้ายิ้มละไม ตอบว่า “ท่านผู้เฒ่าจี้ เรียกหลานชายท่านมาช่วยท่านเก็บสัมภาระเดินทางสักหน่อย พวกเรารับประทานมื้อกลางวันเสร็จแล้วจะออกเดินทางทันที”

จี้เสวียนมือสั่นวูบหนึ่ง เมื่อมือที่หยิบเม็ดหมากสั่น หมากเม็ดหนึ่งก็พลันร่วงลงบนกระดานหมาก ก่อเกิดเสียงแผ่วเบา ขณะที่สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคับแค้นใจ ตอบว่า “รับบัญชา”

ข้าทราบว่าในใจเขาไม่พอใจ แต่เวลานี้มิอาจกล่าวอันใดกับเขามาก ข้าส่งสายตาให้จ้าวเหลียงที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้าง เขาก้าวเข้ามาพยุงจี้เสวียนออกไป ข้าคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ ไปจัดการสัมภาระสักหน่อย จำไว้ว่าต้องหยิบตำราของบัณฑิตเฒ่าจี้ที่มีเพียงเล่มเดียวนั่นไปด้วย ท่านผู้เฒ่ารับปากแล้วว่าจะให้ข้ายืมอ่านสองสามวัน จริงสิ ไปบอกฮูเหยียนโซ่วด้วยว่าเตรียมตัวเดินทางไปจากที่นี่”

เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ กวักมือเรียกราชองครักษ์หู่จีสองนายมาให้พวกเขาอารักขาข้างกายข้า จากนั้นร่างของเขาจึงหายลับไปที่เรือนข้าง ข้าลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปเดินเล่นริมทะเลสาบสักหน่อย ที่แห่งนี้เป็นสถานอันยอดเยี่ยมยิ่งนักแห่งหนึ่งจริงๆ น่าเสียดายหลังจากนี้คงมิมีโอกาสมาเยือนแล้ว”

ราชองครักษ์หู่จีคนหนึ่งเตือนเสียงดังฟังชัด “ใต้เท้า ท่านหลี่มิอยู่ ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”

ข้าตอบอย่างขัดใจ “ที่นี่มิมีศัตรูเสียหน่อย กังวลอันใด พวกเจ้าปกป้องข้ามิได้หรือไร แม่ทัพซู ท่านเดินทางมาลำบากแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด”

มิรู้เป็นอย่างไร ในใจซูชิงกลับรู้สึกวิตกกังวลมิคลาย นางจึงปฎิเสธด้วยสัญชาตญาณ “ใต้เท้า ให้ผู้น้อยติดตามไปด้วยน่าจะดีกว่า”

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา นางเห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาของเจียงเจ๋อทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แววตาฉายแววสนใจ

ข้ามองซูชิง ในใจอดมิได้สงสัยว่นางคาดเดาบางสิ่งได้หรือเปล่า แต่มีนางอยู่ข้างกายจะไม่เหมาะนัก ข้าจึงปฎิเสธว่า “ไม่จำเป็น แม่ทัพซูไปพักผ่อนก่อนเถิด” ซูชิงเห็นว่าถ้อยคำที่ข้าเอ่ยใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง จึงได้แต่รับคำสั่งถอยออกไป

ข้าเดินไปถึงริมทะเลสาบน้ำพุร้อน พิจมองน้ำทะเลสาบใสกระจ่างเห็นก้นประหนึ่งหยกแวววาวชิ้นหนึ่ง ในชนบทอันแร้นแค้นห่างไกล มีน้ำใสพิสุทธิ์ของน้ำพุร้อนรวมกันเป็นทะเลสาบ เกิดเป็นแดนสวรรค์ ช่างทำให้คนนึกทึ่งกับการรังสรรค์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง หลังจากกองทัพแพ้พ่ายต้องหลบลี้หนีภัยมาจนถึงที่แห่งนี้ นี่คงเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ข้ากระมัง ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกชอบที่พำนักช่วงหลายวันนี้แห่งนี้

ข้าก้มลงไปเอื้อมมือกวักน้ำทะเลสาบอุ่นเบาๆ ผิวน้ำสีหยกไหวกระเพื่อม ทำให้เงาของข้าแตกกระจาย ข้าอดมิได้ครวญบทกวีออกมาแผ่วเบา “น้ำพุหยกผุดพรายเป็นธารอุ่น ชโลมอดีตขุ่นข้องแลเลือน”

เพิ่งจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้สองวรรค ก็ได้ยินเสียงคนปรบมือดังขึ้นด้านหลังแล้วกล่าวว่า “ช่างอารมณ์สุนทรีย์นัก ได้ยินมาว่าฉู่เซียงโหวเก่งกาจเชิงกวีเป็นเอกในใต้หล้า วันนี้ได้ประจักษ์ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เจียงโหวตายอยู่ที่นี่คงมิเสียใจแล้วกระมัง!”