บทที่ 629 ลูกสาวของเขา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 629 ลูกสาวของเขา

หากเจอตัวเขา กู้เหยี่ยนก็สามารถผ่าตัดได้

“คือว่า…” กู้เจียวเอ่ยขึ้น

ทว่ากลับถูกมู่ชิงเฉินแทรกอย่างไร้เยื่อใย “อย่าแม้แต่จะคิด ข้าพาเจ้าไปที่นั่นไม่ได้หรอก”

“เป็นเพราะคนอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปมากกว่าละมั้ง”

มู่ชิงเฉิน “…”

คราวนี้กู้เจียวเริ่มจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว

ความหวังของห้องผ่าตัดขึ้นอยู่กับตำหนักราชครู ติดแค่เพียงที่แห่งนั้นไม่ใช่ใครหน้าเข้าออกได้ง่ายๆ แม้แต่ระดับคุณชายตระกูลสูงส่งอย่างมู่ชิงเฉินยังยากที่จะเยื้องกรายเข้าไป

แต่อย่างน้อยก็ได้เบาะแสแล้วว่าเป็นที่ตำหนักราชครู ไม่ว่าอย่างไรกู้เจียวต้องหาวิธีไปที่นั่นให้ได้

รถม้าของมู่ชิงเฉินจอดลงตรงหน้าสำนักบัณฑิตเทียนฉง พอพวกเขาออกตัวไป กู้เจียวก็เดินกลับยังที่พักของตัวเอง

ทั้งอาจารย์แม่หนานและอาจารย์หลู่นั่งรออยู่ที่ห้องโถง นาทีที่พวกเขาเห็นกู้เจียวเดินเข้ามาก็ถอนหายใจพร้อมกับอย่างมิได้นัดหมาย

วันนี้กู้เจียวไม่ได้ทำให้พวกเขาสองคนกังวล

“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม” อาจารย์แม่หนานเอ่ยถาม

“ยังเลย” กู้เจียวตอบ

“เดี๋ยวข้าไปยกมาให้” พูดจบ อาจารย์แม่หนานก็เข้าครัวไปตักอาหารมาให้ “ข้าทำไว้พักใหญ่แล้ว อาจไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก”

“ไม่เลย สำหรับข้าอาหารของท่านอาจารย์อร่อยหมดทุกอย่าง” กู้เจียวตอบ

หารู้ไม่ว่าฝีมือเข้าครัวของอาจารย์แม่หนานเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ

แต่กู้เจียวได้ภูมิคุ้มกันมาจากอาหารนรกฝีมือของเซียวลิ่วหลังแล้ว

เข้าสู่เดือนห้าอันเป็นช่วงของฤดูร้อน ช่วงเช้าและกลางอากาศไม่อบอ้าวนัก แต่ระหว่างที่หนานเซียงนั่งรอกู้เจียวกลับมาก็มีเหงื่อซึมไม่น้อย แต่พอได้เห็นกู้เจียวกลับมา จิตใจของนางก็สงบลงกว่าเดิมและไม่ต้องใช้พัดในมืออีก

อาจารย์แม่หนานโยนพัดให้อาจารย์หลู่ก่อนจะเอ่ยถามกู้เจียว “แล้วนี่มีความคืบหน้าอะไรบ้าง”

“มีสิ” กู้เจียวพยักหน้า “ของที่ข้าต้องการอาจอยู่ในตำหนักราชครู”

“ตำหนักราชครูอย่างนั้นรึ” อาจารย์แม่หนานทวนคำพูดพร้อมกับสูดปาก

ปฏิกิริยาของอาจารย์แม่หนานบ่งบอกถึงความหินของภารกิจนี้

“ท่านรู้วิธีเข้าไปในนั้นหรือไม่” กู้เจียวเอ่ยถาม

เมื่อพิจารณาถึงวีรกรรมในอดีตของกู้เจียว อาจารย์แม่หนานจึงรีบเตือนสติอย่างรวดเร็ว “แอบเข้าไปไม่ได้แน่นอน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น ที่ตำหนักราชครูมีทหารมือดีคอยคุ้มกันอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าต้นกำเนิดของทหารหลงอิ่งนั้นมาจากที่ใด”

“จากตำหนักราชครูอย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ย

“ใช่แล้วล่ะ ทหารหลงอิ่งเป็นผู้ฝึกทหารหลงอิ่งเองกับมือ เจ้าจำได้ใช่ไหมว่าฮ่องเต้แคว้นเจาองค์ก่อนก็กว้านซื้อตัวทหารแคว้นเยี่ยนไปตั้งมากมาย ทหารพวกนั้นหากเทียบกับที่ตำหนักราชครูแล้วเป็นแค่ระดับล่างเท่านั้น”

หากว่ากู้เจียวสามารถฟื้นร่างกายให้กลับไปเหมือนเดิมได้ ไม่แน่อาจบุกเข้าไปได้ แต่ด้วยสภาพในตอนนี้…คิดหาวิธีอื่นก่อนจะดีกว่า

“แล้วจะเข้าไปในนั้นได้อย่างไร” กู้เจียวถามต่อ

“คือว่า…” อาจารย์แม่หนานยืนขึ้นและเดินไปรอบๆ ห้องพร้อมกับใช้ความคิด “อาจลองปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ของตำหนักราชครูแล้วแอบเข้าไป หรือไม่ก็…หาไส้ศึกจากคนในพาเจ้าเข้าไป แต่ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้ทั้งสองทาง”

วิธีแรกเสี่ยงต่อการถูกจับได้อย่างมาก วิธีที่สองยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

อาจารย์แม่หนานถอนหายใจ “เจ้าไปพักก่อนเถอะ ไว้คืนนี้ข้าลองคิดหาวิธีดู หากนึกอะไรออกข้าจะบอกเจ้าทันที”

“ลำบากท่านแย่เลย” กู้เจียวเอ่ย

“อย่าพูดเหมือนข้าเป็นคนนอกสิ ไม่ว่าวิธีใดหากทำให้กู้เหยี่ยนฟื้นขึ้นมาได้ ข้ายินดี”

ตกดึก หลังจากที่เด็กๆ พักผ่อนแล้ว อาจารย์แม่หนานก็สวมชุดสีดำ เปิดประตูแล้วเดินออกไปข้างนอก

……

ณ จวนกั๋วกง แสงจากโคมไฟและเปลวเทียนส่องสว่างทั่วทั้งทางเดิน

หลังจากที่มู่ชิงเฉินกลับมาที่เมืองชั้นใน เขารีบไปที่จวนกั๋วกงในทันทีและแจ้งให้ใต้เท้ารองทราบถึงเรื่องที่มีบุคคลน่าสงสัยป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนอกจวน โดยหวังว่าสามารถเสริมการรักษาความปลอดภัยของจวนได้ โดยเฉพาะตำหนักของกั๋วกงอัน

ใต้เท้ารองแทบไม่สงสัยคำพูดของมู่ชิงเฉินเลย แม้ตระกูลของพวกเขาจะไม่ถูกกัน แต่ด้วยความที่อันกั๋วกงและมู่ชิงเฉินรู้จักกันมานานย่อมไม่มีการประสงค์ร้ายต่อกัน

“เจ้าวางใจเถิด คืนนี้ข้าจะไปเฝ้าตำหนักของพี่ใหญ่เอง!”

ถึงใต้เท้ารองจิ่งกับกั๋วกงอันจะเป็นพี่น้องต่างแม่ แต่พวกเขาสนิทกันมากตั้งแต่เด็ก สำหรับใต้เท้ารองแล้ว พี่ใหญ่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สอง และเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพี่ใหญ่เด็ดขาด

พอมู่ชิงเฉินกลับไป ใต้เท้ารองก็ได้สั่งให้ทหารหลงอิ่งมือดีจำนวนมากคุ้มกันตำหนักของพี่ใหญ่ ส่วนเขาเดินไปที่ข้างเตียงพี่ใหญ่แล้วจัดแจงปูที่นอนลงบนพื้น

ขณะที่เขาอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากเตียงของพี่ชายคนโต “พี่ใหญ่! ท่านเรียกข้าอยู่หรือเปล่า!”

ใต้เท้ารองเปิดม่านเตียง มองดูใบหน้าเรียวเล็กของพี่ใหญ่ผ่านแสงเทียนที่ส่องรำไร

กั๋วกงอันยังคงนอนหลับตานิ่ง ไม่ได้เอ่ยเรียกชื่อผู้เป็นน้องแต่อย่างใด

ทว่า ใต้เท้ารองสังเกตเห็นริมฝีปากของพี่ใหญ่ที่กำลังขมุบขมิบเบาๆ

ดูเหมือนอาการของเขากำลังจะดีขึ้นแล้วสินะ!

นี่เป็นครั้งแรกที่ใต้เท้ารองได้ยินเสียงละเมอของพี่ใหญ่ตั้งแต่ล้มป่วย!

เขาค่อยๆ โน้มตัวลงแล้วเงี่ยหูฟัง

และสิ่งที่ได้ยินคือพี่ใหญ่กำลังพูดชื่อของใครบางคนอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ “ยินยิน…ยินยิน…”

จิ่งยินยิน หลานสาวตัวน้อยของเขาที่จากไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย

……

รุ่งเช้า กู้เจียวลืมตาขึ้น แล้วนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความสับสนอยู่พักหนึ่ง

“แปลกจัง เมื่อคืนเหมือนจะฝัน แต่จำไม่ได้ว่าฝันอะไร”

พักหลังกู้เจียวเริ่มฝันน้อยลง และสิ่งที่ฝันถึงมักจะเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้น ปกติกู้เจียวจะจำฝันได้

ถ้าจำไม่ได้ ก็แปลว่าเรื่องนั้นคงไม่สำคัญ

อื้อ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ !

กู้เจียวแต่งตัวเสร็จก็ออกไปฝึกหอกที่ลานหลังเรือนอยู่พักหนึ่งก่อนจะไปที่ห้องหลักเพื่อรับประทานอาหารเช้า

ส่วนกู้เหยี่ยนยังไม่ตื่นนอน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทว่าที่แปลกคืออาจารย์แม่หนานหายไปไหน

“อาจารย์แม่หนานเซียงออกไปข้างนอกแล้วรึ” กู้เจียวเอ่ยถามกับอาจารย์หลู่

เขากระแอมในคอหนึ่งทีแล้วเอ่ย “นางต้องไปทำธุระข้างนอกน่ะ พวกเจ้ากินข้าวกันก่อนเถอะ ข้าซื้อโจ๊กและแป้งทอดต้นหอมมาจากตลาด ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะชอบไหม”

“ท่านเองก็กินด้วยกันสิ” กู้เจียวแบ่งโจ๊กให้เขา

“จริงๆ เลยเด็กคนนี้” เขาหัวเราะและรับถ้วยมา

หลังจากทานข้าวเสร็จ เขาก็พาเด็กๆ ไปส่งที่สำนักบัณฑิต

“ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง” กู้เสี่ยวซุ่นถามขึ้น

กู้เจียวได้ยินนั้นก็พลันรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังออกจากร่าง!

ลืมทำการบ้านอีกแล้วหรือเรา!

ห่างหายจากการเป็นนักเรียนมาหลายปี ไม่ชินเอาเสียเลย!

กู้เจียวเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง และพบว่าจงติ่งไม่อยู่ที่นั่น แต่กลับกลายเป็นใครอีกคนมานั่งแทนที่

“เจ้าหรอกรึ”

จงติ่งไปไหนแล้วล่ะ

เหตุใดถึงกลายเป็นมู่ชิงเฉินไปได้ล่ะ

มู่ชิงเฉินหยิบหนังสือการบ้านออกมาอย่างใจเย็นแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ “เอาไปสิ”

สายตาของเขาราวกับกำลังจะบอกว่า ข้าลอกการบ้านให้เจ้าเองกับมือ ดีกว่าที่จงติ่งทำเสียอีก ไม่ต้องขอบคุณหรอก

กู้เจียวเห็นดังนั้นก็กระตุกมุมปากทันที ก่อนจะหันไปมองรอบๆ และพบว่าทุกคนในห้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตาและทำเป็นเมินเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในที่สุด กู้เจียวก็เจอจงติ่งจนได้ เขานั่งอยู่แถวท้ายสุดของห้องซึ่งเดิมเป็นที่นั่งของมู่ชิงเฉิน กู้เจียวจึงเดินเข้าไปนั่งข้างจงติ่ง พลางเอ่ย “ลอกการบ้านให้ข้าหน่อย”

จงติ่งทำหน้าไม่เข้าใจ

เขามองไปที่มู่ชิงเฉิน จากนั้นหันมาทางกู้เจียว “นี่เจ้า… เจ้าไม่ลอกการบ้านของมู่ชิงเฉิน แต่กลับมาลอกของข้ารึ”

“เอาการบ้านออกมาเดี๋ยวนี้!” กู้เจียวสั่งเขา

จงติ่งหยิบการบ้านของเขาออกมาด้วยความหวาดกลัวเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวจากมู่ชิงเฉิน

ไม่นาน กู้เจียวก็ลอกการบ้านเสร็จ

จากนั้นจงติ่งกระซิบ “เช้านี้ไม่ใช่ชั้นเรียนของอาจารย์เจียงและอาจารย์ตง ยังไม่ต้องส่งการบ้าน”

แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า!

คาบเช้าเป็นวิชาขี่ม้าและยิงธนู ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงแห่งนี้มีพื้นที่และโรงม้าในตัว โดยผู้คุมสอนวิชานี้คืออาจารย์อู่ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าเขาเคยเป็นผู้ชำนาญการรบประจำแคว้นมาก่อน

เดิมทีเขาเคยดำรงตำแหน่งในราชสำนัก แต่ด้วยความที่ปูมหลังของเขาไม่ได้มีเส้นสาย อีกทั้งตัวเขาเองไม่ชอบการเมืองในนั้น ภายหลังเขาจึงลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการและกลายเป็นอาจารย์ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง

บัณฑิตของห้องหมิงซินไปที่คอกม้าเพื่อเลือกม้าก่อน ม้าตัวเดียวต่อบัณฑิตสองคน แต่ดูเหมือนบัณฑิตหลายคนของห้องหมิงซินมีม้าดีๆ เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้ม้าในคอกมีจำนวนเพียงพอต่อการฝึก

“ข้า ข้า ข้าไม่ถนัดเรื่องม้าเอาเสียเลย เจ้าช่วยข้าเลือกได้ไหม” จงติ่งเอ่ยกับกู้เจียวอย่างเขินๆ

“เลือกตัวนั้นสิ” กู้เจียวชี้ไปที่ม้าตัวที่ยืนอยู่ด้านในสุดของคอก “มันดูเชื่องดีนะ ไม่น่าทำเจ้าล้มหรอก”

จงติ่งยังคงไม่กล้าเดินเข้าไปในคอกม้า

กู้เจียวเลยช่วยจูงเจ้าม้าตัวนั้นออกมาเอง “อ่ะนี่”

“มัน มันเชื่องจริงๆ ใช่ไหม” จงติ่งยังกลัวๆ กล้าๆ อยู่

“เจ้าตัวนี้เชื่องสุดแล้ว” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับยื่นเชือกให้เขา

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” จงติ่งเอามือกอดอกแน่น

“งั้นข้าเอาเอง” กู้เจียวขมวดคิ้วเพราะเริ่มรำคาญ

“เชื่อแล้วเชื่อแล้วเชื่อแล้ว!” จงติ่งรีบคว้าเชือกไว้

ที่จริงจงติ่งก็สัมผัสได้ถึงความเชื่องของมันได้แต่แรกแล้ว แต่เป็นเพราะเขาเองที่มีทักษะการขี่ม้าไม่ดี และเขาเคยตกจากหลังม้ามาก่อน ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าขี่ม้าที่ดุร้ายเกินไป

บัณฑิตคนอื่นๆ ก็ได้เลือกม้าของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

กู้เจียวไม่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็เลยต้องรอให้ทุกคนเลือกเสร็จก่อน

“เซียวลิ่วหลัง!” จู่ๆ ใครบางคนก็ตะโกนเรียกนาง