บทที่ 630 ทวงคืนบัลลังก์!
พอกู้เจียวหันกลับไป ก็เจอกับพวกเด็กเมื่อวานซืนหกคนจากห้องหมิงซิน “มีอะไร”
เจ้าหน้าเหลี่ยมเดินเข้ามาพร้อมกับหัวเราะ “เจ้าเพิ่งเข้ามา คงยังไม่รู้สินะ ม้าในคอกนี้มีแต่ม้าที่ใครๆ ก็ไม่ต้องการ คอกข้างๆ ต่างหากที่เป็นม้าชั้นดี ลองไปดูหน่อยไหม”
“ไม่ล่ะ” กู้เจียวตอบ
เจ้าหน้าเหลี่ยมอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียดสีต่อ “เจ้าคง ไม่ได้กลัวหรอกใช่ไหม”
กู้เจียวไม่สนใจ
เจ้าหน้าเหลี่ยมคิดในใจ เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมมันถึงไม่หลงกลง่ายๆ ล่ะ
ทว่าไม่รู้ว่าวันนี้สวรรค์เลือกเข้าข้างพวกเขาหรือไม่ ชั้นเรียนของกู้เสี่ยวซุ่นถูกเปลี่ยนกะทันหันจนต้องมาเข้าเรียนวิชาขี่ม้าด้วยเหมือนกัน ทำให้ม้าเกิดไม่พอใช้จริงๆ
หลังจากม้าตัวสุดท้ายถูกจูงออกไป กู้เจียวและบัณฑิตห้องหมิงเย่ว์อีกไม่กี่คนเลยจำต้องไปเลือกม้าอีกคอกแทน
เจ้าหน้าเหลี่ยมส่งสายตามีเลศนัยให้พรรคพวก
จากนั้นพวกเขาก็แอบเข้าไปในคอกเพื่อดึงราวกั้นออก และใช้ตะขอดึงบังเหียนด้านในออกมา
เห็นได้ชัดว่ามีม้าสองตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เจ้าหน้าเหลี่ยมก็รีบตะโกนและเข้าไปคว้าบังเหียนไว้ “ข้าต้องการม้าตัวนี้!”
แล้วเขาก็จูงม้าตัวสีน้ำตาลออกมา
กู้เจียวมองไปที่ม้าสีขาวตัวสุดท้ายที่ดูเชื่อง ก่อนจะคว้าเชือกแล้วจูงมันออกมา
ทว่าขณะที่กำลังเดินจูงมันออกมา กู้เจียวกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
เสียงเกือกม้าฟังดูแปลกไป!
กลายเป็นว่าม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าสีขาวที่กู้เจียวเลือก แต่กลับเป็นม้าสีดำที่โผล่ออกมาจากเงามืด
ม้าสีดำตัวนั้นถูกกั้นรั้วแยกไว้ แต่รั้วดันถูกเปิดออกตอนไหนไม่รู้
เจ้าม้าสีขาวเริ่มสั่นด้วยความกลัว ขณะที่ม้าสีดำเดินไปหากู้เจียวด้วยท่าทางดุเดือด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ป่านนี้เจ้านั่นคงจะถูกม้าตัวนั้นกระทืบไปแล้วกระมัง!”
เจ้าหน้าเหลี่ยมยืนหัวเราะงอหายอยู่ที่สนามหญ้า
ม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าที่สามารถนำไปใช้เรียนได้ แต่เป็นม้าพยศที่ยังไม่ได้รับการฝึกให้เชื่อง
อาจารย์อู่ขังมันไว้รวมถึงไม่ให้มันกินข้าวเพื่อดัดนิสัยเจ้าม้าพยศ
หากไม่ทำเช่นนั้นอาจยากต่อการฝึก
“แต่ว่า เจ้าม้าพยศนั่นทรงพลังมาก เขาอาจจะถึงตายได้เลยนะ” หนึ่งในพรรคพวกกล่าวขึ้น
“ครั้งล่าสุดที่อาจารย์อู่พยายามฝึกมัน เหมือนว่าเขาได้รับบาดเจ็บด้วยล่ะ” หนึ่งในพรรคพวกอีกคนเอ่ยขึ้น
“แม้แต่อาจารย์อู่ก็ได้รับบาดเจ็บ คนอย่างเซียวลิ่วหลังจะเหลือรึ ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา พวกเราจะถูกตำหนิไหม” หนึ่งในพรรคพวกอีกคนเสริมต่อ
เจ้าหน้าเหลี่ยมพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิด แต่ไม่นานก็โบกมือปัดแล้วรีบแย้ง “จะโทษพวกเราได้ยังไง เจ้านั่นเป็นคนถือเชือกเองนะ! แถมยังเปิดรั้วเองด้วย! จำใส่กะโหลกไว้เลยนะ แล้วนอกจากนี้ ต่อให้เกิดเรื่องแล้วยังไงล่ะ ใครใช้ให้เจ้านั่นทำตัวเย่อหยิ่งขนาดนั้น มู่ชิงเฉินอุตส่าห์ลดตัวลงไปนั่งข้างมัน แต่กลับทำเป็นหยิ่งไม่ยอมนั่งด้วย! ทำเหมือนมู่ชิงเฉินเป็นอากาศ คนแบบนี้ต้องถูกสั่งสอน!”
เจ้าตาสามเหลี่ยมเอ่ยเสริม “ใช่แล้ว! คนอย่างมันต้องโดนสั่งสอนให้หลาบจำ! ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงซะบ้าง!”
“พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกันอยู่! ใครกำลังจะตายรึ”
จู่ๆ เสียงของมู่ชิงเฉินก็ดังขึ้น
หลายคนตัวสั่นด้วยความกลัวและเกือบจะโยนสายบังเหียนในมือทิ้งไป
ทั้งหกคนจูงม้าแล้วหันกลับมามองดูมู่ชิงเฉินที่นั่งอยู่บนอาชาไนยด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง
“พูด!” มู่ชิงเฉินตะโกน
พวกเขาเริ่มเข่าอ่อน
หนึ่งในนั้นที่ชื่อซุนเผิงชี้นิ้วไปที่เจ้าหน้าเหลี่ยมแล้วเอ่ย “ทั้งหมด… ทั้งหมดเป็นความคิดของหลี่หงอี้! เขาแกล้งให้เซียวลิ่วหลังเลือกม้าพยศตัวนั้น!”
ทันใดนั้นดวงตาของมู่ชิงเฉินก็แสดงความอำมหิต!
“ขะ ข้า…เห็นว่าเขาไม่เคารพท่านชายชิงเฉิน ข้าแค่อยากจะสอนบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ให้เขา…” เจ้าหน้าเหลี่ยมพูดไปก็ตัวสั่นไป
มู่ชิงเฉินกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะรัดบังเหียนแน่นแล้วควบไปที่คอกม้า
เมื่อเขากำลังจะเข้าใกล้คอกม้า ก็เห็นกู้เจียวกำลังควบเจ้าม้าพยศออกมา
เขาควบม้าไปทางกู้เจียวโดยตั้งใจที่จะช่วยคว้าสายบังเหียนไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงใสของใครบางคนดังขึ้นจากด้านข้าง “ท่านพี่สี่!”
เป็นเสียงของซูเสวี่ย!
ซูเสวี่ยสวมผ้าคลุมหน้าและวิ่งเหยาะๆ ไปทางมู่ชิงเฉินอย่างร่างเริงในชุดกระโปรงสีชมพู
นางไม่รับรู้ถึงภัยอันตรายที่อยู่ใกล้ตัว
ม้าของกู้เจียวกำลังจะวิ่งออกจากช่องแคบของคอกม้า แต่เขาไม่สามารถช่วยซูเสวี่ยได้ทันเวลา
ตรงช่องแคบเป็นจุดบอด แม้กู้เจียวจะไม่เห็นร่างของซูเสวี่ย แต่ยังพอเห็นเงาทอดยาวไปบนพื้นหญ้า จึงรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น
กู้เจียวพยายามกระชับบังเหียน ทว่าพอสิ้นเสียงเปรี้ยะที่ดังลั่น ก็พบว่าเชือกขาด แต่เจ้าม้าพยศยังคงวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างดุร้าย
เจ้าม้าพยศยกเท้าสองข้างขึ้นฟ้า
เมื่อเห็นว่าซูเสวี่ยกำลังจะโดนเหยียบ กู้เจียวจึงรีบเข้าไปกอดศีรษะของเจ้าม้าพยศและพยายามทำให้มันล้มด้วยกำลังทั้งหมด!
แต่นี่คือม้าพยศ!
ร่างของกู้เจียวเองก็ล้มกลิ้งไปบนพื้นเช่นกันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
กู้เจียวพยายามรักษาสมดุลและปกป้องร่างกายตัวเองให้มากสุดโดยการใช้มือคว้ายันกับพื้น คุกเข่าข้างหนึ่งแล้วพยุงตัวขึ้น และจ้องเขม็งไปที่เจ้าม้าที่ขนาดถูกทำให้ล้มแล้วแต่ยังลุกขึ้นมาพยศต่อได้
เจ้าม้าเล็งมาที่กู้เจียวและซูเสวี่ยในทันที!
กู้เจียวเข้าไปกระชากแผงคอเจ้าม้าอย่างทันควัน แล้วพยายามกระชากเต็มแรงเพื่อให้มันล้มลงบนพื้นอีกครั้ง!
กู้เจียวเองก็ล้มลงไปอีกครั้งด้วยเช่นกัน!
เจ้าม้าลุกขึ้น กู้เจียวก็เช่นกัน
กู้เจียวเอามือปาดรอยเลือดที่มุมปากออก แล้วแสยะยิ้มให้เจ้าม้า “เสร็จข้าแน่!”
ซูเสวี่ยพอได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าร้อนผ่าว
พูดจาบัดสีอะไรของเขา
ใครเสร็จใครรึ
ร่างของกู้เจียวร่วงตกลงพื้นนับครั้งไม่ถ้วนจนเลิกนับแล้ว และดูเหมือนว่าความดุร้ายและความดื้อรั้นในสายตาของเจ้าม้าพยศค่อยๆ ลดลง แต่ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้มันยอมศิโรราบ
เจ้าม้าเองก็กำลังรอดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงยอมแพ้ไปตอนไหน ทุกครั้งที่มันได้รับการฝึก ผู้ฝึกมักจะยอมแพ้และหมดแรงไปเสียก่อน อาจารย์อู่เองก็เช่นกัน เขาถึงได้ให้เจ้าม้าอดข้าวอดน้ำ
เจ้าม้าที่เพิ่งจะอดข้าวไปได้แค่ครึ่งวัน ยังมีแรงเหลืออยู่มาก
แต่ที่แปลกก็คือบัณฑิตหนุ่มผู้นี้แม้จะดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็สามารถระเบิดพลังการต่อสู้อันน่าทึ่งออกมาได้เสมอ
ราวกับคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของโชคชะตา!
บัณฑิตจำนวนมากกำลังล้อมวงเข้ามาดู อาจารย์อู่ก็เช่นกัน เขามองไปที่บัณฑิตหนุ่มที่ดูเหมือนหมาป่าผู้นี้ด้วยความไม่เชื่อและรู้สึกตกใจอย่างมาก
ครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ลูกเขยของตระกูลเซวียนหยวนคนนั้นได้แสดงให้เขาเห็นว่าจิตวิญญาณของคนที่แข็งแกร่งราวหมาป่าที่แท้จริงคืออะไร
และในที่สุด เจ้าม้าพยศที่หายใจหอบแรงก็ยอมสยบต่อหน้ากู้เจียว
ที่จริงกู้เจียวเองก็เกือบจะเอาไม่อยู่แล้วเช่นกัน แต่นางรู้ดีว่าเจ้าม้ากำลังทดสอบนางอยู่ หากคราวนี้ขี่มันไม่ได้ ก็จะไม่มีโอกาสได้ฝึกมันอีกเป็นครั้งที่สอง!
กู้เจียวกำแผงคอเจ้าม้าแน่น
ซูเสวี่ยมองดูร่างกายที่สั่นเทาของกู้เจียว เป็นภาพที่บีบหัวใจยิ่งนัก ก่อนจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่มู่ชิงเฉิน “ท่านพี่สี่…”
มู่ชิงเฉินส่งสายตาตอบกลับให้นางใจเย็นก่อน
ทุกคนที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นแทบจะกลั้นหายใจ เพราะพวกเขาอยากรู้ใจจะขาดว่าบัณฑิตหนุ่มจะสามารถขี่เจ้าม้าพยศตัวนี้ได้หรือไม่
กู้เจียวเลียเลือดที่มุมริมฝีปากด้วยยิ้มอันชั่วร้าย แล้วรีบกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า!
เจ้าม้าพยศส่งเสียงร้องยาวแสดงถึงการยอมจำนนโดยสมบูรณ์
บัณฑิตหนุ่มทำสำเร็จท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้อง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกว่าเลือดในร่างกายกำลังพุ่งพล่าน และแม้แต่ดวงตาของอาจารย์อู่ก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น!
หลังจากลูกเขยตระกูลเซวียนหยวนคนนั้น ก็ไม่มีใครแล้ว
อาจารย์อู่กำลังจะสื่อว่า เขาเจอหมาป่าตัวใหม่แล้ว! หม่าป่าหนุ่มที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าแห่งหมาป่าในไม่ช้า!
…
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย
กู้เจียวไม่สามารถเข้าเรียนต่อได้ อาจารย์อู่จึงสั่งให้กลับไปที่หอพัก “พวกเจ้า ใครก็ได้ พาเพื่อนไปส่งที่หอพักด้วย”
“กระผมอาสาเอง” มู่ชิงเฉินกล่าว
มู่ชิงเฉินจึงพากู้เจียวที่เดินกะโผลกกะเผลกไปยังหอทิศใต้
โดยมีซูเสวี่ยเดินตามมาติดๆ
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่” มู่ชิงเฉินเอ่ยถาม “นี่มันหอพักชายนะ”
“ก็ไม่มีคนนี่นา!” ซูเสวี่ยตอบ
“เดินมาผิดทางหรือเปล่า” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับมองทิวทัศน์รอบๆ
“ไม่ผิดแน่นอน ที่นี่คือหอทิศใต้!” ซูเสวี่ยตอบกลับ
กู้เจียวทำหน้าสงสัย “นี่ใช่หอพักที่คนจากแคว้นรองสามารถเข้าพักได้อย่างนั้นรึ” ทำไมถึงได้ดูโอ่อ่าหรูหราขนาดนี้ นี่ป้ายหอพักทำจากทองแท้หรือเปล่านะ
“ไม่ใช่ หอทิศใต้น่ะไว้สำหรับบัณฑิตที่มาจากแคว้นระดับสูงต่างหาก!”
กู้เจียวถามต่อ “แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“อ้อ ลืมไปว่าเจ้ามาจากแคว้นระดับล่าง” ซูเสวี่ยเอ่ย
แม้เดิมทีซูเสวี่ยจะเป็นคนที่เย่อหยิ่งและหยาบคาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางเปลี่ยนมุมมองต่อบัณฑิตหนุ่มผู้นี้
นอกจากจะช่วยชีวิตนางไว้แล้ว ยังสามารถปราบม้าพยศได้ที่แม้แต่ระดับอาจารย์อู่ยังทำไม่ได้ ความแข็งแกร่งของเขาช่างน่านับถือยิ่ง
นางจึงตัดสินใจยอมให้เขาอยู่ในระดับเท่าเทียมกับนางตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!
“จริงๆ แล้วที่หอพักของข้าก็มีชาวแคว้นระดับล่างอาศัยอยู่ด้วย เขาเป็นบัณฑิตใหม่ที่เพิ่งมาถึง หน้าตาค่อนข้างสวย แต่…สวยน้อยกว่าข้าน่ะ!” ซูเสวี่ยเอ่ยขึ้น
เอาละ ที่จริงแล้วยัยคนนั้นสวยกว่านางหลายขุมเลย!
ตั้งแต่จำความได้ นางไม่เคยเจอใครที่หน้าตางดงามเช่นบัณฑิตสาวคนนั้นมาก่อน!
มาเข้าเรียนวันแรกก็โค่นตำแหน่งดาวสำนักบัณฑิตสตรีไปโดยปริยาย!
พอวันที่สาม ชื่อของนางก็ถูกจัดอันดับอยู่ในรายชื่อสาวงามทั้งหกแคว้นเป็นที่เรียบร้อย!
ยิ่งซูเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้ ก็เริ่มพยายามหาจุดด่างพร้อยของอีกฝ่าย “แต่ว่าแม่นั่นตัวสูงเกินไปหน่อย ซ้ำยังเป็นใบ้ แถมยังมีเด็กติดมาด้วย อนาคตคงออกเรือนยากแน่ๆ !”
ตัดภาพไปที่ห้องห้องหนึ่งในหอพักของสำนักบัณฑิตศึกษาชังหลัน ร่างเล็กกับร่างใหญ่พลันจามพร้อมกัน!
กู้เจียวไม่ชอบเจ๊าะแจ๊ะกับใคร ขณะที่ซูเสวี่ยกับจงติ่งต่างก็เป็นคนประเภทชอบพูดคุย
“ลืมแนะนำตัวไปเสียสนิทเลย ข้ามีนามว่าซูเสวี่ย ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้ ฉะนั้น ข้าจะไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงพักม้าในวันนั้น” ซูเสวี่ยเอ่ยกับกู้เจียว
มู่ชิงเฉินแย้งขึ้น “เจ้าไปทำเขาก่อนมิใช่รึ แถมยังสะดุดล้มเองอีก ใครกันแน่ที่ไม่ควรเอาเรื่อง”
ซูเสวี่ยไม่กล้าพูดอะไรต่อ
กู้เจียวหันไปมองมู่ชิงเฉินสลับกับซูเสวี่ย “เจ้าเรียกเขาว่าท่านพี่สี่ พวกเจ้า…เป็นพี่น้องแท้ๆ รึเปล่า”
“พี่น้องแท้ๆ สิ!” ซูเสวี่ยตอบ
กู้เจียวสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าใช้ชื่อตระกูลซู แต่เขาใช้ตระกูลมู่ล่ะ”
“ข้าใช้ชื่อตระกูลตามท่านแม่น่ะ” มู่ชิงเฉินอธิบาย
กู้เจียว “อ้อ”
พอมาถึงหน้าห้อง กู้เจียวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมหยิบกุญแจมา
“ข้ามี”
มู่ชิงเฉินหยิบกุญแจออกมาจากถุงผ้า แล้วเปิดประตูเบาๆ
กู้เจียวขมวดคิ้วและจ้องมองเขา “ทำไมเจ้าถึงมีกุญแจห้องข้า”
“เพราะนี่ก็เป็นห้องของข้าเหมือนกัน”
กู้เจียว “…!!”
กู้เจียวไม่เคยมาที่นี่ มู่ชิงเฉินเองก็ดูเหมือนจะไม่เคยนอนที่นี่เช่นกัน ตอนแรกกู้เจียวคิดว่าห้องนี้คงว่างเปล่าไม่มีอะไร แต่ผิดคาด ในห้องมีสิ่งของจำเป็นทุกอย่างพร้อมสรรพ รวมถึงเตียงที่ปูฟูกอย่างดี
กู้เจียวเลิกคิ้ว “ปูเตียงไว้แล้วเสียด้วย ดูแลเพื่อนร่วมห้องเสียดิบดีเลยนะท่านชายชิงเฉิน”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ กู้เจียวเริ่มจะมองภาพออกแล้ว
คืนนั้นมู่ชิงเฉินคงได้เห็นกู้เจียวช่วยซูเสวี่ยไว้ด้วยเข็มเงิน เขาจึงแอบช่วยเหลือกู้เจียวมาตลอดอย่างลับๆ
ยังดีที่สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่การตอบแทนบุญคุณ ไม่อย่างนั้นกู้เจียวคงเผลอคิดไปไกลว่าเขามีใจให้แน่ๆ
จากนั้นกู้เจียวก็หยิบยาทาแผลขึ้นมา
“เดี๋ยวข้าทำแผลให้!” ซูเสวี่ยเอ่ยขึ้น!
“เขาเป็นผู้ชายนะ” มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ยเตือน
“อ้อ” ซูเสวี่ยเอามือทัดผมแล้วเบือนหน้า
“เจ้าออกไปก่อน เดี๋ยวข้าทำแผลให้เขาเอง” มู่ชิงเฉินเอ่ยกับคนน้อง
คิดหรือว่าซูเสวี่ยไม่ได้ทำแล้วเจ้าจะทำได้น่ะ
มู่ชิงเฉินเองก็ไม่คุ้นเคยกับการมีคนที่ไม่คุ้นมาอยู่ใกล้ๆ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เดี๋ยวข้าไปตามน้องชายเจ้ามาช่วยดีกว่า”
กู้เจียวรีบห้ามหน้าตาตื่น “ไม่ต้อง! ปล่อยให้เขาเรียนไปเถอะ! ข้าทำเองได้! เป็นแผลนิดเดียวเอง!”
ซูเสวี่ยออกไปนอกห้องแล้ว ส่วนมู่ชิงเฉินก็เตรียมจะเดินออกไปเพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากบังคับใคร
แต่ทันทีที่เขาหันกลับมา ก็เจอกับคราบเลือดที่เจิ่งนองบนเตียง “ไหนว่าไม่สาหัส! ดูสิ เลือดออกเต็มเลย!”
กู้เจียวมีรอยขีดข่วนมากมายก็จริง มีเลือดซึมก็จริง แต่กองเลือดขนาดนี้มัน…
กู้เจียวมองตามสายตาของอีกฝ่าย
นั่นไม่ใช่แผล
แต่เป็นเลือดประจำเดือนต่างหาก!
กู้เจียวกระแอมในลำคอแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “อันนี้ ไม่ใช่แผลของข้าหรอก”
มู่ชิงเฉินจ้องดูคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังสงสัยว่าสิ่งที่พูดนั้นจริงหรือเท็จ
หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนเขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่าง แววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป “นี่เจ้า…”
กู้เจียวเอามือก่ายหน้าผาก พลางคิดในใจ แย่ละ ความลับถูกเปิดเผยแล้วสิ
มู่ชิงเฉินออกอาการเขินเล็กน้อย “เดี๋ยวข้าไปเอายามาให้ เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะไม่บอกใคร”
มู่ชิงเฉินกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่งว่าม้าพยศ
เขากระแอมเบาๆ และยื่นขวดยาในมือให้อย่างเชื่องช้า “อะนี่ เจ้าจัดการเองเลย”
ยาแก้ปวดประจำเดือนรึ
ดูไม่ออกเลยนะว่าท่านชายชิงเฉินผู้เย็นชาจะมีความอบอุ่นกะเขาบ้าง
“ขอบ…”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบก็เห็นชื่อที่อยู่บนขวดยา เขียนว่า ‘ยาแก้ริดสีดวง’
กู้เจียว “…!!”