ในวินาทีนั้น หากสามารถลบล้างการสำนึกรู้ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกไปได้ เคราของเจินซื่อเฉิงที่ได้รับการทะนุถนอมมาอย่างดีคงตั้งโด่เด่หนีแรงโน้มถ่วงไปแล้ว
นี่เขากำลังฟังอะไรอยู่ ไทเฮาเป็นตัวปลอมอย่างนั้นรึ
“องค์รัชทายาททรงกำลังล้อเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำถาม เจินซื่อเฉิงจ้องตรงไปที่แววตาดำขลับคู่นั้น ความจริงกระทุ้งเข้าเต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังจริงจัง
เขายกมือขึ้นลูบหน้าผาก ใบหน้าขมขื่นเหนือคณนา “เจ็บหัว…”
อวี้จิ่นเลิกคิ้ว “หื้ม?”
นี่ตาเฒ่ากำลังทำเป็นไขสือ?
เจินซื่อเฉิงหัวเราะแห้ง “หมู่นี้คงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย สมองข้าถึงได้ตื้อเช่นนี้”
เขาโปรดปรานการไขคดีจริง แต่เขาไม่ได้อยากหาที่ตายเสียหน่อย เขายังไม่ได้อุ้มหลานชายเลยนะ! พอมาคิดดูแล้ว ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงจัดการปัญหาหนักใจของเจ้าลูกชาย
แต่เดี๋ยวก่อน ไม่สิ หากมิใช่เพราะบุตรชายกำลังจะได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ ไท่จื่อคงไม่วิ่งแจ้นมาบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันหรอกจริงไหม หากไม่มีคำว่าครอบครัวเดียวกัน ไท่จื่อคงไม่อาจหาญบอกว่าตนสงสัยว่าไทเฮาจะเป็นตัวปลอมใช่หรือไม่
อวี้จิ่นทำท่าคิดแทนเจินซื่อเฉิง ชายหนุ่มยิ้มตาหยี “มีคดีให้ไข ใต้เท้าเจินจะได้มีเรี่ยวมีแรง”
ครั้นเห็นว่าเจินซื่อเฉิงยังคงนิ่งงัน อวี้จิ่นถึงถอนหายใจยาว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของอาณาจักรต้าโจว ข้าจำต้องมาขอความอนุเคราะห์จากใต้เท้าเจิน ก็ใครใช้ให้เราเป็นครอบครัวเดียวกันเล่า”
ใบหน้าเจินซื่อเฉิงคล้ำหม่น
ไม่มีใครบอกเขานี่ว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ หมายถึงการขึ้นหลังเสือ หากรู้แต่แรกว่าไท่จื่อจะทำเช่นนี้กับคนใน ‘ครอบครัวเดียวกัน’ เขายอมปฏิเสธงานแต่งงาน และทนรับแรงกระแทกจากที่ทับกระดาษของฝ่าบาทยังดีเสียกว่า
เจินซื่อเฉิงรู้ดีว่าคนตรงหน้าหน้าหนาอย่างน่าอัศจรรย์ หากเขายังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ไม่มีทางยอมพ่ายไปง่ายๆ ในเมื่อหนีไม่พ้น เขาจึงทำได้เพียงตอบรับ “เหตุไฉนพระองค์ถึงตรัสเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นคลี่ยิ้มพลางบอก “คงต้องเริ่มเล่าจากคนในอย่างท่านยายซึ่งก็คือเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหว…”
อวี้จิ่นเล่าทุกสิ่งที่พอจะเล่าได้ให้เจินซื่อเฉิงฟัง โดยเว้นเรื่องตัวตนของเจียงซื่อ
เมื่อเป็นเรื่องเกินตัวอย่างเรื่องของไทเฮา หากคิดจะหาตัวช่วย เจินซื่อเฉิงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การจะแตะต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงส่งอย่างไทเฮาก็เป็นเรื่องต้องห้าม
ขณะที่อวี้จิ่นกำลังเล่า สีหน้าของเจินซื่อเฉิงเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งฟังเรื่องระทึกขวัญ
อวี้จิ่นวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ถอนหายใจแผ่วเบา “เรื่องก็ประมาณนี้”
ท่าทีของเจินซื่อเฉิงแลดูสับสน “องค์รัชทายาทไม่ทรงกลัวหรือว่าการรับรู้ของเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวจะคลาดเคลื่อน”
อวี้จิ่นกล่าว “ต่อให้การรับรู้อาจคลาดเคลื่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวังหลวงตลอดสองปีที่ผ่านมาเป็นความจริง และต้นต่อก็มาจากตำหนักฉือหนิง ใต้เท้าเจิน ยามไขคดีเจ้าไม่เคยปล่อยให้ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยเล็ดลอดไปได้ เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความแผ่นดินต้าโจว เจ้าก็มิควรเพิกเฉยมิใช่หรือ”
เจินซื่อเฉิงดึงมุมปาก
เขามิใช่พวกขี้ใส่ใจขนาดนั้นเสียหน่อย!
“นี่เป็นงานยากเกินไป ต่อให้มีการสลับตัวจริง แต่เรื่องก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว พยานวัตถุไม่มี พยานบุคคลก็ไม่มี หากจะสืบคงต้องสืบจากไทเฮา…” เจินซื่อเฉิงส่ายศีรษะ
อวี้จิ่นกะพริบตา “แล้วถ้าหากตำหนักฉือหนิงลงมืออีกล่ะ”
เจินซื่อเฉิงมองมาที่เขา
“ใต้เท้าเจินคงมิได้คิดว่าสุริยคราสคราวนั้นเป็นเหตุบังเอิญใช่หรือไม่”
สีหน้าของเจินซื่อเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คนที่ลอบปองร้ายข้าจะต้องลงมืออีกครั้งแน่ เรื่องเก่าอาจสืบยาก แต่ข้าหวังว่าหลังจากนี้ใต้เท้าเจินจะช่วยข้าอีกแรง”
เจินซื่อเฉิงยกมือคารวะ “กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
หากเป็นองค์ชายคนอื่นพูดเรื่องนี้ เขาคงไม่คิดจริงจัง แต่เพราะเขาเคยร่วมงานกับไท่จื่อ จึงไม่แปลกที่เขาจะเชื่อใจ
หากไทเฮาเป็นคนต่างเผ่าจริง หรือต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเศษเสี้ยว ในเมื่อเขารู้ เขาก็ไม่อาจละลายไม่เอาเป็นธุระได้
ในเมื่อกินเงินเดือนของกษัตริย์ ก็ควรต้องแบ่งเบาภาระของกษัตริย์ นี่คือหน้าที่ของข้าราชการ
เมื่อได้คำตอบที่น่าพึงใจแล้ว อวี้จิ่นก็กลับไปพร้อมความภิรมย์
เจินซื่อเฉิงนั่งนิ่งเนิ่นนาน เครายาวถูกดึงหลุดร่วงหลายเส้นกว่าอารมณ์จะกลับสู่ปกติ
……
ไม่นานก็ถึงวันแต่งตั้งองค์รัชทายาท
ดวงอาทิตย์ขับแสงเจิดจ้า เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทุกหมู่เหล่าในเครื่องแบบพิธีการยืนคอยต้อนรับองค์รัชทายาทที่หน้าประตูอู่
ท่ามกลางเสียงทำนองพิธีการ อวี้จิ่นเดินเข้าไปในท้องพระโรง คุกเข่าน้อมรับกล่องแต่งตั้งรัชทายาท ถัดจากนั้นไปถวายความเคารพฮองเฮาที่ตำหนัก และคารวะอารามบรรพชนตามลำดับ พิธีการสถาปนาเสร็จสิ้นลงด้วยความราบรื่น อวี้จิ่นย้ายเข้ามาอยู่ที่ตำหนักบูรพาอย่างเป็นทางการ และได้ถูกขนานนามว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าโจว
ด้วยเหตุนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบโล่งใจ โชคดีที่ไม่เกิดเรื่อง!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีเรื่องเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดา แค่คิดก็หนักใจ
……
รุ่งสาง อวี้จิ่นพาเจียงซื่อมาเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองสองสามีภรรยาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเนิบ “ย้ายเข้ามาอยู่ในตงกงแล้ว ต่อจากนี้ควรเป็นแบบอย่างให้แก่ใต้หล้า อย่าปล่อยตัวทำตามอำเภอใจเป็นอันขาด”
“ลูกจะเชื่อฟังสิ่งที่เสด็จพ่อทรงชี้ทำพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าพอใจ
จากที่เห็นในตอนนี้ เจ้าเจ็ดไม่มีเรื่องใดให้เขาต้องกังวล ส่วนภรรยาเจ้าเจ็ดก็วางตัวเหมาะสม ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น
“พวกเจ้าออกไปได้”
เมื่อออกมาจากตำหนักของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทั้งสองก็ตรงไปที่ตำหนักฉือหนิง
ไทเฮานั่งหลับตานับลูกประคำในมือ
“ไทเฮา ไท่จื่อและพระชายาเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
ไทเฮาลืมตา “ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นานทั้งสองก็เดินเข้ามา ถวายความเคารพไทเฮา
ไทเฮาชายตามองทั้งสองทำความเคารพจากที่สูง และแววตาฉายแววลุ่มลึก
ยังจำได้ขึ้นใจว่าเมื่องานสมรสของทั้งคู่ พวกเขาเข้ามาน้อมทัก แต่ถูกนางปฏิเสธไม่ให้เข้าเฝ้า ในตอนนั้นนางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้
ความเงียบงันเกาะกุมเพียงชั่วอึดใจ ไทเฮาก็กล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
ครั้นกล่าวจบ นางก็ผายมือไปทางเจียงซื่อ “พระชายาไท่จื่อ มานั่งข้างข้านี่มา”
เจียงซื่อก้าวมาด้านหน้า และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวน้อยที่นางในยกมาวางให้
สายตาอ่อนโยนของไทเฮาพิศมองไปที่เจียงซื่อ นางคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ครั้งแรกที่ข้าเห็นหน้าเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้าเป็นคนมีวาสนา และวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงดังนั้น อีกหน่อยเจ้าก็มาที่นี่บ่อยๆ สิ”
เจียงซื่อส่งยิ้มเล็กน้อย “เสด็จย่าไม่ทรงรังเกียจว่าหลานจะสร้างความวุ่นวาย พระองค์ทรงเป็นผู้อาวุโสที่จิตใจกว้างขวางเป็นที่สุดตั้งแต่หลานเคยพบมาเลยเพคะ”
“เหตุใดถึงคิดเช่นนั้น” ไทเฮาเอ่ยถามไปตามเรื่อง
ไม่ว่าบุคคลตรงหน้าจะเป็นที่ชอบพอหรือไม่ แต่ถึงอย่างไร ถ้อยคำหวานชื่นย่อมเสนาะหูเป็นธรรมดา
เจียงซื่อมิได้หลบตาไทเฮา นางส่งยิ้มร่า “หลานกังวลว่าพระองค์อาจกริ้วเรื่องอาหญิงหรงหยางเพคะ…”
ความโกรธแค้นแวบผ่านแววตาของไทเฮาในชั่วแล่น แต่ทว่าน้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบ “ได้อย่างไรกัน ย่ารู้ว่าเรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับเจ้า ข้าดีใจที่มีหลานสะใภ้กตัญญูเช่นเจ้า”
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว สีหน้าของไทเฮาก็คล้ำลงทันใด แม้นิ้วมือที่นับลูกประคำจะขยับไวว่อง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำให้อารมณ์ของนางสงบลงได้
“ไทเฮา พระองค์อย่าได้กริ้วเพราะวาจาเถรตรงของพระชายาไท่จื่อเลยนะเพคะ ถึงอย่างไรพระวรกายของพระองค์ก็สำคัญเป็นที่สุดเพคะ” แม่นมคนสนิทเอ่ยเตือน
ไทเฮาหัวเราะเย็นเยียบ “วาจาเถรตรงงั้นรึ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าสตรีที่ผลักดันสามีให้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาจนได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทจะพูดจาเถรตรง นางจงใจยั่วโมโหข้ามากกว่า!”
แค่นึกถึงรอยยิ้มของเจียงซื่อ ไทเฮาก็โกรธจนมือสั่น
นางเป็นที่เคารพนับถือมาอย่างยาวนาน ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้านางเช่นนี้
นางเห็นแม้กระทั่งสายตาดูหมิ่นในแววตาของสะใภ้เจียง ราวกับว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญหน้ามิใช่สตรีสูงศักดิ์แห่งวังหลัง แต่เป็นบ่าวไพร่เสียมากกว่า
ความรู้สึกนั้นเหมือนตอนที่นางยังเยาว์วัย
ไทเฮามิได้หวนคิดถึงอดีตมานานแล้ว จนเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเป็นเช่นไร
แต่ในวันนี้พระชายาไท่จื่อคนใหม่กลับทำให้นางถวิลหาอดีตอีกครั้ง
สำหรับไทเฮาแล้ว ความทรงจำเหล่านั้นไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
แววตาขับประกายเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ที่สงบนิ่งไปได้เพียงชั่วครู่คุกรุ่นอีกครั้ง
ฝ่ายเจียงซื่อที่เร้าโทสะไทเฮาได้สำเร็จก็ตรงไปที่ตำหนักคุนหนิง