ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาแย้มยิ้มรอต้อนรับเจียงซื่อและอวี้จิ่น
องค์หญิงฝูชิงนั่งอยู่ด้านข้าง คิ้วขมวดปมเศร้าสร้อย ครั้นได้ยินข้าหลวงรายงานว่าไท่จื่อและพระชายาเสด็จมาถึงแล้ว เด็กสาวจึงพยายามรวบรวมสติ
ไม่นานเจียงซื่อและอวี้จิ่นก็เดินเข้ามาน้อมทักฮองเฮา
ฮองเฮากล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ต้องมากพิธี รีบนั่งลงเถิด”
คำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ทำให้เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่อวี้จิ่นอย่างอดไม่ได้
ได้ข่าวว่าอาจิ่นอ้างคำนี้เพื่อกดดันใต้เท้าเจิน…
ใบหน้าของอวี้จิ่นมิได้เปลี่ยนแปลง เขาส่งยิ้มเล็กน้อยในขณะหย่อนตัวนั่ง
“พิธีสถาปนาเมื่อวานคงเหนื่อยแย่เลยสิ” ฮองเฮาแย้มยิ้มถาม
อวี้จิ่นรีบตอบ “คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นเสด็จพ่อและเสด็จแม่มากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาหัวเราะ เชิญชวนให้ทั้งสองดื่มชา
เวลาเคลื่อนผ่านไปราวจิบน้ำชาหนึ่งถ้วย อวี้จิ่นก็ยืดหลังขึ้น “เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งให้ลูกไปศึกษาตำราที่ตำหนักเหวิ่นหว่า ลูกคงต้องขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของอวี้จิ่นก็คุกรุ่นขึ้นทันใด
เสด็จพ่อย้ำให้เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนต่อหน้าอาซื่อ เป็นการตอกย้ำว่าเขาเป็นพวกไร้วิชาความรู้ใช่หรือไม่
เขายอมไม่ได้หรอกนะ
ฮองเฮาฟังแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ “ข้าไม่รบกวนเวลาร่ำเรียนของไท่จื่อแล้วดีกว่า รีบไปเถิด ส่วนพระชายาไท่จื่อก็อยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกันก่อนก็แล้วกัน”
อวี้จิ่นผงกศีรษะให้เจียงซื่อเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากตำหนักคุนหนิงไปเพียงลำพัง
เมื่ออวี้จิ่นไม่อยู่ บรรยากาศก็เบาสบายยิ่งขึ้น
ฮองเฮาถามสารทุกข์สุกดิบเจียงซื่ออีกสองสามประโยค สายตาก็กวาดไปทางองค์หญิงฝูชิงพลางถอนหายใจ “ไหนๆ เจ้าและฝูชิงถูกชะตากัน เช่นนั้นพวกเจ้าก็สนทนากันไปก่อน ข้ามีธุระต้องไปจัดการอีกนิดหน่อย”
ครั้นฮองเฮาจากไปแล้ว องค์หญิงฝูชิงขบริมฝีปากและเริ่มเอ่ยก่อน “น้อมแสดงความยินดีท่านพี่สะใภ้เจ็ด”
เจียงซื่อพิศมององค์หญิงฝูชิงพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “น้องสิบสามดูผ่ายผอมลงนะ”
องค์หญิงฝูชิงสั่นไปทั้งร่าง ดวงตาของนางค่อยๆ เรื่อสีแดง ผ่านไปอึดใจใหญ่กว่าจะเปล่งเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่สะใภ้เจ็ดรู้สึกไหมว่าหม่อมฉันเป็นตัวอัปมงคล”
“น้องสิบสามอย่าดูถูกตัวเองเช่นนั้นเลย”
องค์หญิงฝูชิงส่ายหัว “หม่อมฉันมิได้ดูถูก แต่เมื่อสองปีก่อน น้องสิบห้าก็จากไปเพราะหม่อมฉัน แล้วเมื่อไม่นานมานี้ น้องสิบสี่ก็ต้องมาตายเพราะหม่อมฉัน แค่หวนคิดเรื่องพวกนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกบาปหนา”
เจียงซื่อยื่นมือไปวางไว้บนหลังมือขององค์หญิงฝูชิง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องสิบสาม เจ้าไม่ควรคิดเช่นนั้น”
“ไม่ควรรึ” องค์หญิงฝูชิงเม้มปาก รำพึงรำพัน “ท่านพี่สะใภ้เจ็ด หม่อมฉันพูดอย่างไม่ปิดบังเลยนะเพคะ บางคราวหม่อมฉันอดคิดไม่ได้ว่า หากดวงตาของหม่อมฉันไม่หายดี บางทีเรื่องร้ายอาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ น้องสี่สิบและน้องสิบห้าก็จะยังมีชีวิตอยู่”
มือเจียงซื่อที่จับมือเด็กสาวกระชับแน่น น้ำเสียงที่เปล่งหนักแน่นยิ่งกว่า “น้องสิบสาม หากเจ้าคิดเช่นนี้ คนที่รักเจ้าคงปวดใจไม่น้อย และคนที่เกลียดเจ้าคงจะมีความสุข ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องสิบสี่และน้องสิบห้าอาจเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นฝีมือมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไม่ต่างกัน เมื่อเกิดเรื่อง นอกจากจะไม่โทษตัวคนทำแล้ว ยังมาโทษเหยื่อ นี่มันหลักเหตุผลประเภทไหนกัน”
ม่านตาสั่นระริกของเด็กสาวยังคงจ้องมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อกล่าวเสริม “การที่เจ้าโทษตัวเองเช่นนี้ เจ้าได้นึกถึงเสด็จแม่บ้างหรือไม่ คนที่ทำร้ายเจ้าซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หากดวงตาของเจ้ายังไม่หายดี และเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาอีก เกรงว่าเสด็จแม่คงมิอาจทนรับความจริงได้ น้องสิบสาม หากเจ้าคิดว่าความโชคร้ายของน้องสิบสี่และน้องสิบห้ามีต้นเหตุมาจากเจ้า เจ้าถึงได้เศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลา และคนที่ทุกข์ทรมานใจก็คือเสด็จแม่ นั่นก็เท่ากับเป็นการช่วยคนร้ายทางอ้อม”
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงฝูชิงไม่เคยพิจารณาในมุมนี้ นางชะงักนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพึมพำ “งั้น…หม่อมฉันควรทำอย่างไร”
“ต้องหาตัวคนร้ายตัวจริง น้องสิบสี่และน้องสิบห้าจะได้ตายตาหลับ นี่คือเรื่องเดียวที่ต้องทำ”
“แล้วจะหาคนร้ายตัวจริงได้จริงๆ งั้นหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า “ได้สิ น้องสิบสามน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว ข้าและพี่เจ็ดของเจ้าจะสืบหาความจริงอย่างถึงที่สุด แต่สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ก็คือเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองกลับมา อย่าปล่อยให้ตัวเองพังทลายทั้งที่ยังหาตัวคนร้ายไม่พบอีกเลย”
องค์หญิงฝูชิงนิ่งเงียบไปหลายอึดใจแล้วจึงพยักหน้าหนักแน่น “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงเป็นคนสดใสร่าเริง หากความคับข้องใจถูกขจัดสิ้นแล้ว นางก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ฮองเฮากลับมาและรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในตัวธิดาสุดที่รัก ในวินาทีนั้นความปีติยินดีเปี่ยมล้น นางมองไปทางเจียงซื่อด้วยสายตาซาบซึ้ง
สมแล้วที่สะใภ้เจ็ดเป็นลูกสะใภ้ของนาง ทุกครั้งนางจะนำโชคดีมาให้นางเสมอ
หลังมื้อกลางวัน เมื่อองค์หญิงฝูชิงกลับไปที่ตำหนักของตนแล้ว ฮองเฮาก็ขอให้เจียงซื่ออยู่ต่ออีกหน่อย
การทำเช่นนี้ถือว่านางให้การยอมรับพระชายาไท่จื่อองค์ใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา
การถูกรั้งตัวให้อยู่ที่ตำหนักเป็นเวลานานหมายความว่าฮองเฮาโปรดปรานและให้ความสำคัญต่อพระชายาไท่จื่อ
“วันนี้ที่พวกเจ้าไปที่พระตำหนักฉือหนิง ไทเฮาทรงเป็นเช่นไรบ้าง”
หากฟังผิวเผินอาจคิดว่าฮองเฮากำลังถามถึงสุขภาพของไทเฮา แต่ทว่าคำถามนั้นหมายถึงท่าทีที่ไทเฮาปฏิบัติต่อเจียงซื่อและสามีต่างหาก
นัยน์ตาเจียงซื่ออับแสง ทว่ายังเอ่ยตอบ “ไทเฮาทรงดีเพคะ”
ท่าทีของฮองเฮาผิดแผกไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าสะใภ้เจ็ดปากไม่ตรงกับใจ นางมิได้เรียกไทเฮาว่าเสด็จย่าด้วยซ้ำ นางกำลังคงรู้สึกบางอย่างกับไทเฮา
ฮองเฮาส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป
เจียงซื่อเผยสีหน้าฉงนสงสัย
ฮองเฮาตบหลังมือของเจียงซื่อแผ่วเบา พลางถาม “ไทเฮาทรงทำให้พวกเจ้าลำบากใจใช่หรือไม่”
เจียงซื่อผงะไปเพราะไม่คาดคิดว่าฮองเฮาจะถามเช่นนั้น
ฮองเฮากล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าย้ายเข้ามาอยู่ในตงกงแล้ว อีกหน่อยแม่สามีและลูกสะใภ้คงจะได้พบหน้ากันบ่อยๆ หากเจ้าลำบากใจเรื่องใดก็บอกข้าได้ตลอด”
นางสงสัยในตัวไทเฮามานานแล้ว แต่การอยู่ในวังหลวงที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ทำให้นางรู้สึกโดดเดี่ยว หากพระชายาไท่จื่อคิดเหมือนกันกับนาง ไม่แน่ว่าอาจมีความก้าวหน้าที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้
การผูกมิตรกับพระชายาไท่จื่อก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่นางวางแผนไว้แต่แรก มิใช่เพราะพระชายาไท่จื่อทำตัวมุทะลุบุ่มบ่ามไปเอง มิฉะนั้นแล้วนางคงไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อไทเฮาออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
คำพูดของฮองเฮาทำให้เจียงซื่อรู้สึกอุ่นใจ
นางเผยความรู้สึกออกไปเพียงเศษเสี้ยว เพื่อลองเชิงฮองเฮา และฮองเฮากลับไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครั้ง
การที่นางจงใจเร้าโทสะไทเฮาก่อนหน้านี้เพราะต้องการให้ไทเฮาลงมืออีกครั้ง เมื่อสืบหาเบาะแสได้มากขึ้น หน้ากากของไทเฮาก็จะถูกกระชากออกมา การลงมือคราวนี้มีความเสี่ยง แต่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนั้น ฮองเฮาอาจจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ
เจียงซื่อเอ่ยเสียงเบา “ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยเมตตา มิได้ทรงทำให้หม่อมฉันรู้สึกลำบากใจ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรรึ”
เจียงซื่อหลุบตา น้ำเสียงเจือไปด้วยความไม่สบายใจ “เพียงแต่ยามที่ลูกเข้าไปในพระตำหนักฉือหนิงลูกกลับรู้สึกแปลกๆ เพคะ อีกทั้งแย้มพระสรวลของไทเฮาก็ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกเพคะ เสด็จแม่ทรงทราบดีว่าลูกเป็นคนอ่อนไหวเพียงใด…”
ฮองเฮาจับมือเจียงซื่อแน่น แววตาเป็นประกาย “เจ้าคิดว่าไทเฮาผิดปกติอย่างนั้นหรือ”
นัยน์ตาเจียงซื่อสั่นไหว พยักหน้ารับแม้ลังเล
ฮองเฮาโล่งใจ นางสบตาเจียงซื่อ
เพียงชั่วครู่ ทั้งสองก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน
เมื่อพระชายาไท่จื่อองค์ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในตงกง ฮองเฮารู้สึกคล้ายกับว่าชีวิตได้รับความสงบที่หาได้ยากยิ่ง
เดือนเจ็ดผ่านพ้นไปไวราบกับพริบตาเดียว บรรยากาศการสอบชิวเหวยในเดือนแปดเป็นไปอย่างครึกครื้น
เรื่องที่ถูกกล่าวขานกันอย่างหนาหูคือ เจียงชังคุณชายใหญ่แห่งจวนตงผิงปั๋วสอบได้อันดับสาม นั่นยิ่งทำให้จวนตงผิงปั๋วได้รับการเชิดหน้าชูตา นายท่านรองเจียงเดินหน้าชื่นตาบานไปตามถนน ส่วนเฝิงเหล่าฮูหยินก็ไปถวายธูปด้วยตัวเองที่วัดไป๋อวิ๋น
เมื่อเข้าสู่ปลายเดือนเก้า อากาศเริ่มเย็นลง เจียงซื่อได้รับข้อความจากนอกวังหลวง นางอาศัยจังหวะเดินทางกลับไปที่จวนของมารดานัดพบกับผู้อาวุโสฮวา
ผู้อาวุโสฮวามาพร้อมกับคำตอบของหัวหน้าผู้อาวุโส
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสเลือกท่าน”
“เอะ แล้วบทสรุปของไทเฮาจะเป็นเช่นไร” เจียงซื่อถามเสียงนิ่ง