เดิมทีเจียงซื่อไม่กังวลคำตอบของหัวหน้าผู้อาวุโสอยู่แล้ว นางกังวลว่าอูเหมียวจะเลือกใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้มากกว่า
ผู้อาวุโสฮวากระซิบแผ่วเบา “นางในที่ชื่อไฉ่สยาในตำหนักไทเฮาเป็นคนของเราเจ้าค่ะ”
แววตาสั่นไหวเล็กน้อยของเจียงซื่อจดจ้องไปที่ผู้อาวุโสฮวา
“ไฉ่สยาจะแจ้งไทเฮาว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ให้นางแกล้งตายตามแผนที่วางไว้เมื่อกาลก่อนและกลับไปอยู่ที่เผ่า…”
“แกล้งตาย?” เจียงซื่อขมวดคิ้วมุ่น
แม้การแกล้งตายจะไม่สาสมกับหญิงชราร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุของความไม่สงบทั้งปวง แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาก็ได้รับคำสั่งให้ทำภารกิจ ซึ่งก็หมายความว่านางไม่มีสิทธิ์เลือก
การที่หัวหน้าผู้อาวุโสสั่งให้ไทเฮาแกล้งตายและสลัดคราบไทเฮาถือเป็นการประนีประนอมมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรอูเหมียวก็ไม่มีทางยอมรับกับจักรพรรดิต้าโจวว่าส่งหมากของตัวเองเข้ามาแฝงตัว อีกทั้งยังเป็นไทเฮาของแผ่นดิน
เพราะการทำเช่นนั้นต้าโจวและอูเหมียวคงรบราฆ่าฟันกันไม่จบไม่สิ้น
ในมุมของต้าโจว อูเหมียวเป็นชนเผ่าลึกลับที่มิควรยุ่งด้วย ต่างคนต่างอยู่จะเป็นการดีที่สุด
ในมุมของอูเหมียว ต้าโจวเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดมหึมาน่าครั่นคร้าม ยามปกติจะเก็บตัวสงบเสงี่ยม ไม่สร้างปัญหา แต่หากต้าโจวตั้งมั่นจะจัดการอูเหมียวเมื่อใด อูเหมียวก็วันย่อยยับเป็นผุยผงได้เลย
ผู้อาวุโสฮวาเฝ้าพิจารณาท่าทีของเจียงซื่อพลางถาม “สตรีศักดิ์สิทธิ์มีความเห็นอย่างไรกับวิธีการนี้”
เจียงซื่อครุ่นคิด และพยักหน้าตอบตกลงในท้ายที่สุด “เอาตามนั้นก็แล้วกัน”
ไทเฮาแกล้งตายจากไปก็ไม่สามารถทำร้ายใครได้อีก ถือว่าพอรับได้
“แต่ข้ายังสงสัยอีกเรื่อง”
“เชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์ถามได้เลย”
เจียงซื่อใช้ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ถ้วยกระเบื้องสีขาว สายตายังคงจ้องตรงไปที่ผู้อาวุโสฮวา “ไทเฮาทราบหรือไม่ว่าข้าและอาซังหน้าตาเหมือนกัน”
ผู้อาวุโสฮวาผงะไปก่อนจะรีบสั่นศีรษะ “นางไม่ทราบ”
เจียงซื่อวางถ้วยชาลง และถามในสิ่งที่สงสัย “ในเมื่อตั่วหมัวมัวทราบ แล้วไทเฮาจะไม่ทราบอย่างนั้นรึ”
อาวุโสฮวาไขข้อสงสัย “ตั่วหมัวมัวเคยเห็นภาพวาดของอาซัง แต่ไทเฮาไม่เคยเห็นมาก่อน”
เจียงซื่อนิ่งคิดแล้วจึงคลี่ยิ้มพลางบอก “เช่นนั้นก็หมายความว่าสถานะของไทเฮาต่ำกว่าตั่วหมัวมัวงั้นหรือ ตั่วหมัวมัวเป็นคนคุมไทเฮาอีกที?”
ผู้อาวุโสฮวาเอ่ยกลบเกลื่อน “ตั่วหมัวมัวทำภารกิจร่วมกับไทเฮา ไทเฮายังเป็นตัวเอกในแผนการนี้ นางอยู่ในสถานะพิเศษ การรู้มากไปก็ไม่ดีเจ้าค่ะ”
“แล้วไทเฮาทราบเรื่องคำทำนายทั้งสามนั้นด้วยหรือไม่”
“นางไม่ทราบรายละเอียด หมากที่ถูกทิ้งไว้นานหลายสิบปี ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงมากเป็นธรรมดา ดังนั้นการให้นางล่วงรู้ความลับนี้ถือเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป”
เจียงซื่อดึงมุมปาก
หากเป็นเช่นนี้ ไทเฮาก็คงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งจริงๆ
คนที่ถูกใช้เป็นหมากยาวนานกว่าหลายสิบปี อีกทั้งยังนั่งอยู่ในที่สูงสุดที่ไม่อาจเอื้อมจะมีความคิดอย่างไร
เจียงซื่อกลับมาที่วังหลวง การไปน้อมทักไทเฮาหนนี้ นางสังเกตเห็นไฉ่สยานางในผู้นั้นตามที่ผู้อาวุโสฮวาเอ่ยถึง
เป็นเรื่องปกติที่นางในผู้มีใบหน้าสวยสดงดงามเช่นนี้จะได้อยู่ในวังหลวง
ยามไฉ่สยาเผชิญหน้ากับเจียงซื่อ นางไม่ส่อพิรุธใดให้เห็น ไร้แม้กระทั่งการแอบชำเลืองมอง ไม่แน่ใจว่านางแสดงได้สมบทบาท หรือว่านางยังไม่ทราบเรื่องตัวตนของเจียงซื่อกันแน่
เมื่อเจียงซื่อกลับไปแล้ว ไทเฮาจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมองอยู่นานหลายวัน
ย่ำเย็นวันนั้น ไฉ่สยาเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ไทเฮา พร้อมเอ่ยแผ่วเบา “มีสารจากท่านหัวหน้าผู้อาวุโสเพคะ”
ไทเฮาชำเลืองมองไปที่ไฉ่สยา น้ำเสียงผิดไปจากเดิม “ว่ามา”
“หัวหน้าผู้อาวุโสแจ้งว่า ถึงเวลาที่พระองค์ต้องกลับแล้วเพคะ”
ไทเฮาตกตะลึงสุดขีด ห้วงอารมณ์นั้นทอดยาวเนิ่นนาน
ไทเฮารวบรวมสติ จ้องลึกเข้าไปในตาของไฉ่สยา และเอ่ยกล่าวเนิบนาบ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะเตรียมตัว”
ไฉ่สยาพลันโล่งใจแล้วจึงกลับออกไป
ยามราตรี ไทเฮายังคงพลิกตัวไปมา มิอาจข่มตาหลับ
หัวหน้าผู้อาวุโสเรียกนางกลับอูเหมียวอย่างนั้นรึ
แสงย่ำค่ำสาดส่อง ไทเฮาเพ่งดูฝ่ามือของตัวเอง
ครั้งหนึ่งมือที่เคยนวลเนียนเต่งตึง บัดนี้กลับกลายเป็นมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มิอาจย้อนกลับไปเป็นดังเดิม
เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่นางเข้ามาอยู่ที่วังใหม่ๆ นางได้แต่เฝ้ารอวันที่จะกลับไปยังที่ที่นางจากมา
แม้สถานะในเผ่าของนางจะต่ำต้อย แต่ถึงอย่างไร นั่นก็คือบ้านของนาง นางมีบิดา มารดาและคนที่นางรัก ที่นั่นมีทุกสิ่งที่นางคุ้นเคย
แต่หลังจากที่นางเริ่มคุ้นชินกับความสูงส่ง คุ้นชินกับเกียรติยศที่ใครต่างเคารพนับถือ
แล้วจะให้นางกลับไปได้อย่างไร
ไทเฮากระแอมไออย่างไม่มีสาเหตุ
นางในที่นอนเฝ้าผุดลุกขึ้นทันใดพร้อมเอ่ยถามด้วยความกังวล “ไทเฮาทรงเป็นอะไรไปเพคะ ต้องการเสวยน้ำหน่อยไหมเพคะ”
“ไม่ต้อง” ไทเฮาส่งสัญญาณให้นางในกลับไปนอน
นางในมิกล้าส่งเสียง แต่ถึงกระนั้นเสียงลมหายใจของนางกลับว้าวุ่น นางไม่กล้านอนต่อ
ไทเฮาส่ายศีรษะเล็กน้อย
นางกลับไปไม่ได้แล้ว
นางเคยชินกับการเป็นไทเฮาผู้สูงศักดิ์เสียแล้ว นางคุ้นเคยกับอำนาจ หนึ่งประโยคของนางสามารถชี้เป็นชี้ตายมนุษย์อีกคนได้
นี่นางจะต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นหญิงชราธรรมดาที่อูเหมียวอย่างนั้นหรือ จะให้นางล้างเท้าด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ
เพียงแค่จินตนาการภาพตาม ร่างของนางก็สั่นสะท้าน
นางมีอายุจวนเจียนจะสิ้นอายุขัย หากนางต้องเลือก นางขอเลือกเป็นไทเฮาแห่งต้าโจวดีกว่าเป็นหญิงชราไร้นามที่อูเหมียว
ถัดจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ไฉ่สยา นางในในตำหนักฉือหนิงก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
แม้เจียงซื่อจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของตำหนักฉือหนิงอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่ามีเรื่องติดขัดเล็กน้อยทำให้นางทราบเรื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น
เมื่อได้ทราบข่าวนี้ เจียงซื่อมิได้รู้สึกประหลาดใจนัก
การจะให้คนที่เสพสุขอยู่กับชื่อเสียงและอำนาจหลายสิบปีกลับคืนสู่สามัญมิใช่เรื่องง่าย
เจียงซื่ออดทนรอเพียงไม่กี่วัน นางก็หาจังหวะและข้ออ้างออกไปพบผู้อาวุโสฮวาได้สำเร็จ
“ไฉ่สยาตายแล้ว” เจียงซื่อเอ่ยบอกทันทีที่พบหน้า
ผู้อาวุโสฮวาตกใจสุดขีด น้ำเสียงที่เปล่งเปลี่ยนไปในทันใด “ไฉ่สยาตายแล้วงั้นรึ”
เจียงซื่อผงกศีรษะรับพร้อมเอ่ยย้ำ “ไฉ่สยาตายแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเสียงสั่น “เป็นไปได้อย่างไร”
นอกจากไทเฮาแล้ว ไฉ่สยาเป็นหมากตัวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
การเสียชีวิตของไฉ่สยามีความหมายอย่างไร ผู้อาวุโสฮวาทราบคำตอบนั้นดี แต่เห็นได้ชัดว่านางมิได้เตรียมใจรับความจริงนี้
ดวงตาของเจียงซื่อจ้องตรงไปที่ผู้อาวุโสฮวาพร้อมเอ่ยฉะฉาน “การเสียชีวิตของไฉ่สยาเป็นเครื่องยืนยันว่าไทเฮาตัดความสัมพันธ์กับอูเหมียวโดยสมบูรณ์ นางทรยศอูเหมียว”
ใบหน้าของผู้อาวุโสฮวากระตุกสั่นอย่างรุนแรง นางยกมือขึ้น และลดมือลง วินาทีนั้นนางมิรู้ว่าควรวางมือไว้ที่ใด
ท่าทีของเจียงซื่อเย็นชา “ในเมื่อไทเฮาไม่ยอมแกล้งตาย เช่นนั้นผู้อาวุโสฮวาคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป”
ผู้อาวุโสฮวาอารมณ์แปรปรวนเข้าขั้น นางต่อสู้กับตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องรายงานให้หัวหน้าผู้อาวุโสรับทราบ หัวหน้าผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องทั้งหมด”
เจียงซื่อยืดแผ่นหลัง “ได้ งั้นข้าจะรอคำตอบจากหัวหน้าผู้อาวุโสอีกครั้งก็แล้วกัน”
อูเหมียวอยู่ห่างจากต้าโจวแสนไกล กว่าจดหมายหนึ่งฉบับจะเดินทางไปถึงกินเวลายาวนานแรมเดือน
ชั่วพริบตาเดียว รัชศกจิ่งหมิงปีที่ยี่สิบเอ็ดกำลังจะผ่านพ้นไป เทศกาลโคมไฟประจำปีเตรียมแวะเวียนมาอีกครา ร้านเครื่องหอมและร้านค้าเครื่องประดับกลับมาคึกคักอีกครั้ง
กิจการของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงรุ่งเรืองขึ้นปีแล้วปีเล่า เมื่อพระชายาไท่จื่อเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหา จึงมีเฉพาะกลุ่มลูกค้าเท่านั้นที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้
ตลอดหลายวันมานี้ ทันทีที่ป้าซิ่วและหลูฉูฉู่เปิดประตูร้าน ลูกค้าที่มารอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดก็แห่แหนเข้ามาจนแน่นขนัด
ภาพนั้นทำให้ป้าซิ่วรู้สึกสบายใจเกินบรรยาย
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวอย่างอดไม่ได้ “หากขยับขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นคงจะดีไม่น้อย”
กิจการรุ่งเรืองเพียงนี้ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับขยาย ปริมาณเซียงลู่ที่ขายก็มิได้ต่างจากเดิม หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อจะไม่ขาดทุนเอาหรือ
หลูฉูฉู่ขึงตาพลางหัวเราะเย้ยหยัน “มิใช่กงการอะไรของเจ้า เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
ความมั่นคง ปลอดภัย เรียบง่ายและสุขสงบจะน่าดึงดูดใจกว่าการได้เงินเป็นกอบเป็นกำได้อย่างไร
เมืองหลวงแห่งนี้ นางอยากอยู่ให้นานตราบเท่าที่จะทำได้
ทันใดนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าหลูฉูฉู่พร้อมปราดนิ้วไปที่นาง “เจ้า เจ้าคือจวิ้นจู่แห่งเป่ยฉี เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”