ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าที่ตั้งใจมาซื้อเซียงลู่ เสียงจ้อกแจ้กจอแจเงียบลงทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ตาทุกคู่หันไปมองหลูฉูฉู่เป็นตาเดียว คนที่เดินผ่านไปเดินย้อนกลับมาประหนึ่งพบเห็นฉากน่าตื่นเต้น
มีคนล้วงของว่างอย่างถั่วลิสงหรือเม็ดแตงจากเหอเปา เสียดายก็แต่ร้านลู่เซิงเซียงเป็นร้านค้าขายเซียงลู่ มิใช่โรงเตี๊ยมโรงน้ำชา การจะหาม้านั่งสักตัวสำหรับหย่อนก้นนั่งชมจึงเป็นไปไม่ได้เลย
หลูฉูฉู่ชะงักงันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ใบหน้าของคนผู้นั้นย่ำแย่เหลือเกินจะกล่าว เปล่งวาจาเอ่ยถามเสียงดังฟังชัด “เป่ยฉีจวิ้นจู่มาอยู่ในร้านเซียงลู่ในต้าโจวของพวกข้าได้อย่างไร เจ้ามีเป้าหมายใดกันแน่ หรือว่าเจ้าเป็นไส้ศึกที่เป่ยฉีส่งให้มาสืบความเคลื่อนไหวอาณาจักรของพวกข้า”
มีไส้ศึกงั้นรึ
บรรดาผู้ชมแตกตื่น สายตาดุร้ายคล้ายพยัคฆ์จ้องเหยื่อพุ่งตรงไปที่หลูฉูฉู่ แววตาอยากรู้อยากเห็นเมื่อครู่เปลี่ยนไปแล้ว
หลูฉูฉู่ที่ตกตะลึงในคราวแรกพยายามกุมสติ ใบหน้าแดงระเรื่อ ฝีเท้าพลันก้าวถอยครึ่งก้าว นางแผดเสียงถาม “เจ้าเป็นใคร มาพูดพร่ำไร้สาระอะไรตรงนี้”
คนผู้นั้นยกมือประสาน “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ในหงหลู่ซื่อ ข้าเคยได้รับคำสั่งของฮ่องเต้ให้เดินทางไปทำงานที่เป่ยฉี ในงานเลี้ยงคราวนั้น ข้าเคยเห็นจวิ้นจู่มาแล้วหนหนึ่ง”
“ข้าไม่รู้จักเจ้า และข้าก็มิใช่จวิ้นจู่อะไรด้วย เจ้าจำผิดคนแล้ว!” หลูฉูฉู่กำมือโดยไม่รู้ตัว
คนผู้นั้นหัวเราะเย้ยหยัน “การที่จวิ้นจู่ไม่รู้จักข้า ข้าก็พอจะเข้าใจได้ เพราะข้าเป็นเพียงทูตที่มิได้สะดุดตา อยู่เงียบๆ ในมุม จวิ้นจู่จึงไม่ทันสังเกตเห็นข้า แต่ข้าจำเป่ยฉีจวิ้นจู่ได้ขึ้นใจ ไม่มีทางจำคนผิดอย่างแน่นอน”
คนผู้นั้นกล่าวในขณะที่กวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกับยกมือคารวะฝูงชน “จวิ้นจู่ผู้นี้มีนามว่า ฉี่หลัว เป็นที่รู้จักทั่วแผ่นดินเป่ยฉี และเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาแห่งเป่ยฉี การที่ข้าชี้ตัว แต่กลับไม่ยอมรับความจริงคงเป็นเพราะมีเจตนาแอบแฝง หมายจะทำร้ายต้าโจวของพวกเราอย่างแน่นอน!”
สิ้นเสียง ปฏิกิริยาของฝูงชนก็ลุกฮือ
“ท่านใต้เท้าผู้นี้กล้าเอ่ยนามของจวิ้นจู่ แสดงว่าเขามิได้โกหก”
“จริงด้วย ใต้เท้าไม่มีเหตุผลใดต้องใส่ร้ายสตรีผู้นี้ อีกอย่าง เมื่อเป็นเรื่องเป่ยฉีก็ต้องให้ความสำคัญ ถึงอย่างไรก็ต้องสืบประวัติของสตรีผู้นี้ให้จงได้ หากเป็นความเข้าใจผิดก็ขอโทษขอโพยกันไป แต่หากปล่อยไส้ศึกจากเป่ยฉีไปเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
มีคนพิจารณารูปลักษณ์ของหลูฉูฉู่พลางกล่าว “พวกเจ้าดูสิ สตรีนางนี้มีเบ้าตาลึก จมูกโด่งเป็นคมสัน หากเทียบกับหน้าตาของพวกเรา นางละม้ายคล้ายคนป่าเถื่อนเป่ยฉีมากกว่า…”
ในขณะที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ สีหน้าของหลูฉูฉู่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า นางยกเก้าอี้กลมตัวหนึ่งขึ้นค้างกลางอากาศพลางถาม “เจ้าเห็นว่ากิจการร้านลู่เซิงเซียงกำลังรุ่งเรืองเลยจงใจจะหาเรื่องใช่หรือไม่ ข้าจะบอกอะไรให้ มิใช่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยมีใครมาหาเรื่อง แต่เจ้าลงไปสืบดูก็ได้ว่า ชะตากรรมของคนที่เคยมาหาเรื่องเป็นอย่างไร!”
ในนาทีนั้น หลูฉูฉู่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นางทำได้เพียงยกเรื่องร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงมาแก้ต่าง
คนส่วนในที่อยู่ในฝูงชนล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าเก่า นางยังจำหน้าสตรีที่เคยมาสร้างสถานการณ์ที่ร้านคราวนั้นได้ขึ้นใจ
บางคนที่เห็นร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงแล้วอิจฉาตาร้อนก็พอรับได้
แต่ทว่าคนผู้นั้นมิได้หวั่นไหวกับคำของหลูฉูฉู่ เขายังคงกล่าวเสียงดังฟังชัด “ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน ใครต่างก็รู้ว่าเจ้าของตัวจริงของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงคือพระชายาไท่จื่อองค์ปัจจุบัน แล้วจะมีใครกล้าก่อเรื่องกันเล่า ฉี่หลัวจวิ้นจู่ปิดบังตัวตนและแฝงตัวอยู่ที่ต้าโจว หนำซ้ำยังพยายามเข้าหาพระชายาไท่จื่อ เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่”
ครั้นหลูฉูฉู่ได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยถึงเจียงซื่อ นางก็ยิ่งร้อนใจ ฟาดเก้าอี้กลมในมือเต็มแรง “เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ นะ!”
คนผู้นั้นไม่ได้หลบ ร่างรับแรงปะทะเข้าเต็มเปา
สตรีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าซีด “นายท่าน เป็นอะไรไหมเจ้าคะ”
เขาเผยสีหน้าเจ็บปวด ทว่าน้ำเสียงยังคงแข็งกร้าว “นี่ฉี่หลัวจวิ้นจู่คงหมายจะฆ่าปิดปากขุนนางในราชสำนักต้าโจวต่อหน้าธารกำนัลงั้นสิ หากเจ้าคิดว่าข้าจำคนผิด เจ้าก็ควรไปหยาเหมินกับข้าเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเจ้า และเพื่อพิสูจน์คำกล่าวของข้า มิใช่กระทำการเหมือนคนร้อนตัวเช่นนี้!”
อารมณ์โกรธของฝูงชนเดือดพล่าน เบียดเสียดร่างเข้าไปหาหลูฉูฉู่พลางร้องตะโกน “เป่ยฉีคนเถื่อนทำร้ายขุนนางในราชสำนักต้าโจว…”
“มีไส้ศึกเป่ยฉีอยู่ในร้านลู่เซิงเซี่ยง!”
ท่ามกลางเสียงเอะอะอื้ออึง มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่แน่พระชายาไท่จื่ออาจให้ท้าย เป่ยฉีจวิ้นจู่ถึงได้เหิมเกริมเพียงนี้!”
เสียงนั้นดังมาจากที่ใดมิอาจทราบได้ แต่ได้ทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความเคลือบแคลงไว้ในใจฝูงชนเป็นที่เรียบร้อย
บางคนล้วงเอาของติดตัวชิ้นเล็กชิ้นน้อยขว้างใส่หลูฉูฉู่ บ้างก็เอาเปลืองถั่วลิสงปาใส่นาง และสมทบด้วยถ้อยคำด่าทอ
“ใครปาเปลือกถั่ววะ เข้าตาหมดแล้วเนี่ย!”
อุตส่าห์มีเรื่องสนุกทั้งที ดันมีเปลือกถั่วเข้าตาเสียได้
หลูฉูฉู่ถือเก้าอี้ในมือไว้แน่น ทว่าหนนี้ไม่กล้าขว้างอีกแล้ว นางทำได้เพียงหนีออกจากตรงนั้น
ป้าซิ่วคุ้มกันหลูฉูฉู่พลางร้องตะโกน “หยุดทำลายข้าวของเดี๋ยวนี้ ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ…”
ทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล
ผู้คนที่สัญจรอยู่ด้านนอกเข้ามาถามเหตุการณ์ภายในร้าน ครั้นได้ยินว่ามีไส้ศึกเป่ยฉีแฝงตัวอยู่ในร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงก็สนอกสนใจขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ
เมื่อฝูงชนเห็นคนของทางการก็สลายตัวไปหลบอยู่ด้านข้าง เผยให้เห็นหลูฉูฉู่และขุนนางจากหงหลูซื่อที่อยู่กลางวง
หัวหน้าเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นเดินดุ่มเข้ามา “นี่มันเรื่องอะไร ใครเป็นคนก่อเรื่อง”
ป้าซิ่วรีบตอบ “นายท่าน คนผู้นี้กล่าววาจาโป้ปด ส่งเสียงเอะอะสร้างความวุ่นวายในร้านเจ้าค่ะ”
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนประจำอยู่แถวนี้จึงคุ้นหน้าป้าซิ่วเป็นอย่างดี อีกทั้งยังทราบด้วยว่าเจ้าของตัวจริงของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงคือพระชายาไท่จื่อ ฉะนั้นเมื่อได้ดังนั้นจึงยกมือออกคำสั่งทันที “เอาตัวไป!”
คนผู้นั้นหัวเราะเย็นเยียบ “ข้าคือขุนนางในราชสำนัก พวกเจ้าเล่นจับคนโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ ร้านนี้คงจะเกี่ยวข้องกับพระชายาไท่จื่อ?”
เจ้าพนักงานนิ่งไปชั่วขณะ ฝูงชนร้องตะโกน “นายท่านอย่าจับคนซี้ซั้ว ใต้เท้าผู้นี้กำลังกระชากหน้ากากไส้ศึกเป่ยฉี!”
“ไส้ศึกเป่ยฉี?” เจ้าพนักงานตะลึงหนักกว่าเก่า “ไส้ศึกอยู่ที่ไหน”
หลายมือชี้นิ้วไปที่หลูฉูฉู่ที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังป้าซิ่ว “สตรีผู้นี้ นางคือเป่ยฉีจวิ้นจู่!”
เป่ยฉีจวิ้นจู่?
เจ้าหน้าที่เกือบจะยกมือขึ้นมาลูบคาง
เขาช่างโชคดีอะไรปานนี้ พอถึงเวรเขาปุ๊บก็เกิดเรื่องที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียง หนำซ้ำยังมาข้องเกี่ยวกับเป่ยฉีจวิ้นจู่
ในวินาทีนั้น หัวหน้าเจ้าหน้าไม่รู้ว่าตนควรออกคำสั่งเช่นไร
ในช่วงเวลาแห่งความลังเลใจ บุรุษกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในร้าน หัวหน้าบุรุษผู้นั้นยกป้ายห้อยเอวขึ้นมาอวดแก่สายตา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “พาตัวไปให้หมด”
ไม่นานหลูฉูฉู่ ขุนนางหงหลูซื่อและภรรยาก็ถูกนำตัวออกไปจากร้าน ฝูงชนที่เหลือได้แต่ส่งเสียงโจษจันเอ็ดอึง
“ใต้เท้าผู้นั้นคงเป็นหน่วยองครักษ์จิ่นหลินใช่หรือเปล่า”
“ไม่ผิดแน่ ข้าเคยเห็นป้ายห้อยเอวแบบนั้น”
“ดีจริงๆ องครักษ์จิ่นหลินต้องแจ้งให้เบื้องบนรับทราบ ไส้ศึกเป่ยฉีอย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้”
“ก็ไม่แน่นะ เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเจ้าของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงคือผู้ใด”
“พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้สูงศักดิ์อาจไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของไส้ศึก”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงผู้สูงศักดิ์!”
ถึงกระนั้น ข่าวลือเรื่องพระชายาชุบเลี้ยงไส้ศึกเป่ยฉีไว้ในร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงก็แพร่สะพัดไปไกลประหนึ่งติดปีก
หันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงได้เชิญเหล่าทูตที่เดินทางเยือนเป่ยฉีมาช่วยยืนยันตัวตนของหลูฉูฉู่ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระพระชายาไท่จื่อลับๆ ถึงแม้เจตนาจะดี แต่ถึงกระนั้นก็ช่วยอะไรมากไม่ได้
ไท่จื่อย้ายเข้าไปอยู่ในตงกง การส่งข่าวจึงทำได้ยากยิ่ง อีกทั้งเรื่องราวใหญ่โตปานนี้ เขาจำเป็นต้องรายงานให้ฝ่าบาทรับทราบ
ไท่จื่อก็อธิษฐานเอาแล้วกัน