บทที่ 671 การลงทัณฑ์ของพระแม่หวังหมู่ และปัญหาขององค์เง็กเซียน (1)
ม่านบางๆ สะท้อนเงาเมฆและบดบังจันทราในศาลาอันอบอุ่นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่น
สระหยกเป็นสถานที่ที่มีกฎห้ามมากที่สุดบนเกาะอมตะ
มันอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของของแดนสวรรค์ที่ปกคลุมด้วยหมอก และมีศาลาอมตะที่พระแม่หวังหมู่[1]ประทับอยู่มาเป็นเวลานาน
ในขณะนั้น พี่น้องสองคน ทั้งหลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวา ตรงหน้าม่าน พวกเขาก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟังแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้สักคำ…
พระแม่หวังหมู่ ซึ่งอยู่ด้านหลังม่าน ยกมือขึ้นแตะหน้าผาก เห็นได้ชัดว่า นางรู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์หนักหน่วงเล็กน้อย
แค่กๆ นางรู้สึกโกรธ “ตอ” สองต้นที่นิ่งเงียบของศาลสวรรค์ โกรธจัดจนอยากตวาดด่าเทพ
แต่ไม่มีทาง หลี่ฉางโซ่วรู้ดีว่า ในยามนี้ พูดให้น้อยลงจะเป็นการดีกว่า
ส่วนแม่ทัพตงมู่…
เหตุใดเทพวารีถึงไม่ตอบกลับไป?
องค์เง็กเซียนอยู่ในหอสมบัติหลิงเซียวไม่ใช่หรือ? เกิดอันใดขึ้น?
“หึ!”
เสียงคำรามเย็นชาดังมาจากด้านหลังม่าน แล้วทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่ก็ยิ่งก้มศีรษะให้ต่ำลงไปอีก
ในขณะนี้ องค์หญิงหลงจี๋ ซึ่งยืนอยู่เงียบๆ ข้างเก้าอี้เบาะนุ่มๆ ก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดเช่นกัน
นางกำลังพยายามคาดคะเนว่า ท่านอาจารย์ “จอมวางแผน” ของนางได้พิจารณาเรื่องนี้มากมายกี่ชั้นแล้ว…
ไม่กี่ชั่วยามก่อน
ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็ตกลงมาจากยอดเขาหยกน้อย มันเป็นบุญที่เต๋าสวรรค์ได้มอบให้หลี่ฉางโซ่ว
ในขณะนั้น ค่ายกลอำพรางขนาดใหญ่บนยอดเขาก็เปิดใช้งานด้วยตัวของมันเอง
มันใช้วิธีการก่อตัวร่วมกับการสร้างค่ายกลด้านนอก เพื่อสร้างภาพลวงตาว่า ลำแสงสีทองนั้น กำลังมุ่งสู่ท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ใช้ประโยชน์เพื่อปล่อยให้พลังวิญญาณและพลังเซียนบางส่วนพุ่งเข้าหาส่วนต่างๆ ของสำนัก
มันดูเหมือนกับสถานการณ์ที่เขาไม่อาจระงับพลังวิญญาณของเขาได้เมื่อเขากำลังสร้างค่ายกล และส่งผลให้พลังวิญญาณของเขารั่วไหลออกมา
เพื่อให้ได้รับบุญเงียบๆ อย่างเรียบง่ายและราบรื่น หลี่ฉางโซ่วจึงได้ทุ่มเทพยายามอย่างมาก
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วอารมณ์ดีหลังจากได้รับบุญที่คาดไม่ถึงโดยไม่มีเหตุผล
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้จับภาพปรากฏการณ์อันเป็นมงคลที่ปรากฏขึ้นในสามอาณาจักรผ่านการใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่วางอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ในขณะนั้นเขาเข้าใจแล้วว่า
ปัญหาเล็กๆ ได้เพิ่มพูนขึ้นจนถึงบัดนี้ เขากำลังมีปัญหาใหญ่
ปรมาจารย์ในโลกบรรพกาลคนใดก็ตามที่เก่งกาจในเรื่องการหยั่งรู้ ย่อมพอคาดคะเนได้ว่าปรากฏการณ์แห่งสวรรค์และปฐพีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้…
องค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์ได้ลงมายังโลกมนุษย์แล้ว
เรื่องนี้ย่อมสร้างแรงกดดันให้กับศาลสวรรค์มากขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับความปลอดภัยในการกลับชาติมาเกิดขององค์เง็กเซียนในภายหลังอีกด้วย และเขาก็ปิดบังเรื่องนี้กับพระแม่หวังหมู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้จะว่ากันตามเหตุผลแล้ว การกลับชาติมาเกิดใหม่ขององค์เง็กเซียนควรได้รับการคุ้มครองจากเต๋าสวรรค์
ทว่ามันก็ยังมีตัวแปรต่างๆ ในโลกนี้ ยังมี “การหลบหนี” ที่เต๋าสวรรค์ไม่อาจควบคุมได้[2]!
เมื่อหลี่ฉางโซ่วกลับมาที่ศาลสวรรค์ เขาก็คิดว่า หากพระแม่หวังหมู่จะเรียกตัวเขาไปพบ ก็จะต้องรอเวลาอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดเดือนกว่าที่องค์เง็กเซียนจะกลับชาติมาเกิดในโลกจริงๆ[3]
แต่ไม่คาดคิดว่า ทันทีที่เขากลับมาที่ตำหนักเทพวารี หลงจี๋ก็รีบมา ‘ฆ่า’ เขาด้วยขาหลังแล้ว…
เฮ้อ ในโลกบรรพกาลนี้ ไม่มีผู้ใดที่มีคำลงท้ายด้วยเหนียง[4] จะรับมือได้ง่ายๆ เลย!
ใช่แล้ว… ในช่วงเริ่มต้นของมหาทัณฑ์สวรรค์ปรบดาเทพ ไท่อี่เจินเหรินได้ทำร้ายราชินีสือจี[5]จนตายอย่างไร้เหตุผล
โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น นำอ๋าวอี่ และเหล่าทหารสวรรค์ไปยังแดนยมโลก
นั่นหมายความว่า เขา เทพวารี กำลังจัดการเรื่องงานอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องงานอย่างเป็นทางการที่องค์เง็กเซียนมีบัญชาให้เขาทำด้วย
และหากพระแม่หวังหมู่ทรงรู้เรื่องนี้และสร้างปัญหาให้เขาลำบาก เขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงได้
หลี่ฉางโซ่วยังใช้ผลึกบันทึกเหตุการณ์เพื่อบันทึกปรากฏการณ์เหล่านั้นเอาไว้
หากองค์เง็กเซียนต้องรับผิดชอบพวกเขาในอนาคต เขาจะมอบผลึกบันทึกเหตุการณ์ให้กับองค์เง็กเซียน
จากนั้นเขาก็จะกล่าวว่า “ฝ่าบาท เมื่อพระองค์เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ พระองค์ทรงก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายยิ่งนัก”
แน่นอนว่า มันหาใช่กงการอันใดของเขาไม่ การเตรียมการที่สำคัญที่สุดคือ ช่วงเวลานี้ สถานที่นี้ และเหตุการณ์นี้
ไม่ว่าพระแม่หวังหมู่จะโจมตีเขาโดยตรง หรือพระนางจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดง่ายๆ!
เขาจะยึดมั่นในค่ายเทพชายแห่งศาลสวรรค์โดยไม่หวั่นไหวเป็นเวลาหมื่นปี!
“พระองค์เข้าปิดด่านจริงๆ หรือ?” เสียงของพระแม่หวังหมู่ที่ด้านหลังม่านเปลี่ยนเป็นเย็นชา
บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่ ต่างก็ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำจนเกือบจะเป็นโค้งคำนับไปแล้ว
หลี่ฉางโซ่วสามารถสัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่พลุ่งพล่านรอบกายพระแม่หวังหมู่ได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่า ชั่วขณะหนึ่งนั้น พระแม่หวังหมู่ทรงปรารถนาจะตบเซียนเฒ่าทั้งสองออกไปจากสระหยก
“วันนี้ พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นใบ้ไปแล้วหรือไม่?”
แม่ทัพตงมู่แอบเหลือบมองหลี่ฉางโซ่วและสบตาเขาโดยบังเอิญ แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ปึ้ง!
พระแม่หวังหมู่ทรงปาพัดหยกในมือของนางลงไปบนพื้นและก่นด่าสาปแช่งทันที
“พวกเจ้าคนหนึ่งคือ เสนาบดีคนสำคัญดั่งกระดูกต้นแขนแห่งศาลสวรรค์ที่อยู่ในศาลสวรรค์มาตั้งแต่ก่อตั้งศาลสวรรค์
ส่วนอีกคนก็คือ กุนซือผู้ฉลาดปราดเปรื่องแห่งศาลสวรรค์ เป็นจอมวางแผนที่ดีและเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยนัก!
แล้วไฉนเมื่อมาถึงสระหยก พวกเจ้าทั้งสองคนถึงเอาแต่เงียบ และเงียบเช่นนี้?
พลังใจที่ฮึกเหิม และหยิ่งยโส เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินตามปกติของเจ้าไปอยู่ที่ใด?
แล้ววิธีที่พวกเจ้ากำจัดปีศาจ พิฆาตผีร้ายด้วยการสะบัดนิ้วของพวกเจ้า และวิธีที่พวกเจ้าปกป้องเต๋าเล่า!?!”
ทันใดนั้นแม่ทัพตงมู่และหลี่ฉางโซ่วก็ก้มศีรษะของพวกเขาลงต่ำมากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วพวกเขาก็ส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
“เอ้อ”
“เจ้าพวกสารเลว!”
………………………………………………………………..
[1] คือ องค์ราชินีในองค์เง็กเซียน หรือเรียกเป็น หวังหมู่เหนียงเหนียง
[2] ความหมายนี้มาจากเต๋าใหญ่ห้าสิบ สวรรค์ใช้สี่สิบเก้า หนึ่งลี้หนีหาย โดยรวมแล้ว หมายถึง ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน เราคิดว่าทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และปฐพีล้วนมีสมดุลของมันมาแต่แรกหรือเป็นไปตามวิถีและกฎการดำเนินการ การพัฒนาของสิ่งต่างๆ ของมันเอง แต่มักจะมีหนึ่งลี้หนีหายจากลิขิตที่เป็นตัวแปรลึกลับคาดเดาไม่ได้ และหนึ่งนี้คือ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งสรรพอย่างไร้ที่สิ้นสุด นั่นไม่ได้หมายเพียงหนึ่งนี้คือ ผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง แต่ยังหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการขาดหายไปของหนึ่งนี้อีกด้วย
[3] คือระยะเวลาที่สตรีมีครรภ์ นั่นหมายถึง ให้รอคลอดหรือถือกำเนิดจริงเสียก่อน
[4] หมายรวมถึงพระแม่หวังหมู่ ซึ่งเรียกได้ว่า หวังหมู่เหนียงเหนียง
[5] เรียกได้ว่า สือจีเหนียงเหนียง