บทที่ 672 การลงทัณฑ์ของพระแม่หวังหมู่ และปัญหาขององค์เง็กเซียน (2)
พระแม่หวังหมู่ตวาดลั่นออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ม่านระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ
ในขณะนั้น บรรดาเทพธิดาที่อยู่ตรงมุมศาลาอันอบอุ่น ต่างก็หวาดกลัว และก้มศีรษะกันด้วยความตกใจ พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
พระแม่หวังหมู่ทรงสวมมงกุฎหงส์และฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุม ในขณะนั้น พระนางลุกขึ้นยืน แสงสีทองกะพริบวิบวับและปิ่นปักผมหงส์ก็ส่งเสียงเบาๆ ในขณะที่ใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปเผยให้เห็นความสูงส่งสง่างามและยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่
“แม่ทัพตงมู่ เจ้าบอกข้ามาที ฝ่าบาททรงเข้าสู่โลกมนุษย์แล้วหรือไม่!?”
แม่ทัพตงมู่ตัวสั่นเทาเล็กน้อยและโค้งคำนับให้พระแม่หวังหมู่ เขาก้มศีรษะลงและร้องตะโกนว่า “เสนาบดีเฒ่าไม่รู้จริงๆ ฝ่าบาท!”
“เทพวารี!”
พระแม่หวังหมู่ชำเลืองมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว และความกดดันของหลี่ฉางโซ่วก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
นางถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าและฝ่าบาทวางแผนนี้หรือไม่?”
“องค์ราชินี” หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่พระแม่หวังหมู่ เขาอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล จากนั้น เขาก็ยิ้มขื่นและเผยความมุ่งมั่นออกมา!
“เทพน้อยยินดีรับโทษทัณฑ์กระหม่อม”
บัดนั้น แม่ทัพตงมู่ที่อยู่ข้างๆ เขา… ก็รู้สึกว่า เขารู้สึกเหมือนถูกเปรียบเทียบอย่างอธิบายไม่ถูก
ความโกรธบนใบหน้าของพระแม่หวังหมู่หายไปในทันที นางพึมพำและเอนกายลงบนเก้าอี้นุ่มๆ พร้อมกับแค่นเสียงกล่าวเบาๆ
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้ายินดีรับโทษทัณฑ์ แล้วหากข้าทำให้เจ้าสมหวังดังปรารถนาเล่า?
ใครก็ได้ มาเร็วเข้า!”
เทพธิดาที่อยู่ข้างๆ นางตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฝ่าบาท!”
“นำเทพวารีไปที่หอลงทัณฑ์สวรรค์l แล้วโบยแส้สายฟ้ายี่สิบครั้ง!”
“พระมารดา!”
หลงจี๋ปรี่มายืนอยู่ด้านหน้าของหลี่ฉางโซ่วและปกป้องเขา
“ท่านอาจารย์จะขัดคำสั่งของพระบิดาได้อย่างไร พระมารดาโปรดระงับอารมณ์ด้วยเถิด!”
“ฝ่าบาท” หลี่ฉางโซ่วตะโกน
หลงจี๋หันศีรษะไปมอง และเห็นหลี่ฉางโซ่วประสานมือราวกับว่าเขากำลังขอบคุณนางพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางอยู่บนริมฝีปากของเขา
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและเดินไปหาเทพธิดาที่เดินมาหาเขาจากทั้งสองด้านเงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไร แล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้า
ชั่วขณะหนึ่งนั้น เทพธิดาแห่งสระหยกก็รู้สึกประหลาดใจไม่มากก็น้อย
พวกนางเฝ้ามองไปที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วในขณะที่เขาขี่เมฆไปที่หอลงทัณฑ์สวรรค์ด้วยตัวเอง
พวกนางไม่รู้จะอธิบายถึง “เซียนชรา” ผู้นี้อย่างไร
ในขณะนั้น ดวงตาของหลงจี๋เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในขณะที่พระแม่หวังหมู่ทรงพึมพำและหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
ในอีกด้านหนึ่งนั้น แม่ทัพตงมู่ก็มีเครื่องหมายคำถามสองสามคำถามอยู่บนหน้าผากของเขา
เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบและตระหนักได้อย่างรวดเร็ว…
เทพวารีที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่ร่างจำแลงหรอกหรือ? แล้วแส้สายฟ้าจะมีประโยชน์อย่างไร?
เอ๋? “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่ามีแผนการมากมายเกี่ยวข้อง?
ดูเหมือนว่า พระแม่หวังหมู่และน้องชายเทพวารีจะบรรลุข้อตกลงบางอย่าง?
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ องค์เง็กเซียนได้ลงไปยังโลกมนุษย์จริงๆ หรือ? ไยข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้…
เฮ้อ เป็นเช่นนี้จริงๆ บัดนี้ ข้าได้ผ่านเลยช่วงเวลารุ่งโรจน์ของข้าไปแล้วจริงๆ
……
ในหอลงทัณฑ์สวรรค์
เทพธิดาทั้งสี่จงใจรออยู่นอกหอ
ในหอนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ระหว่างเสาหินสูงสิบจั้งสองต้นที่เต็มไปด้วยสายฟ้า และถูกถูกสายฟ้าฟาดลงมาใส่ร่าง
ทว่าในขณะนั้น แม่ทัพสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ควบคุมความรุนแรงของแส้สายฟ้าอย่างระมัดระวัง เขาพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย
พวกเขาจะไม่ทำร้ายใต้เท้าเทพวารีจริงๆ…
ทว่าแม้จะมาถึงขั้นนี้แล้ว แม่ทัพสวรรค์เหล่านี้ก็ยังไม่สบายใจ
พวกเขาจะกล้าทำร้ายเทพวารีได้อย่างไร!
“เทพวารี ท่านคิดอย่างไรกับความเร็วนี้?”
“ทุกคน โปรดลงทัณฑ์ให้หนักขึ้นกว่านี้” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงใจ
บรรดาแม่ทัพสวรรค์ต่างมองหน้ากันและเพิ่มพลังของแส้สายฟ้าขึ้นอีกสามถึงสี่ส่วน ทำให้เสาสายฟ้าทั้งสองเต็มไปด้วยแสงสีเขียวสีขาว
ทว่าความจริงแล้ว สายฟ้าที่ฟาดใส่หลี่ฉางโซ่วนั้น ก็น้อยลงกว่าเดิมถึงเก้าในสิบส่วน…
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็ดี”
จากนั้น เขาก็เริ่มสกัดกั้นการโคจรพลังเซียนในร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาและแสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
พระแม่หวังหมู่ทรงรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร
เพียงถ้อยคำไม่กี่คำ เขาก็ได้เติมเต็มภาพลักษณ์อมตะของเทพวารีผู้มีจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้
ศีรษะของเขาอาจขาด เลือดอาจรินไหล และทรงผมของเขาอาจยุ่งเหยิงได้
ทว่าเขาต้องมีความเข้าใจในตำแหน่งของเขาอย่างชัดเจน
ไม่เช่นนั้น เขาก็จะทำผิดพลาดได้ง่ายขึ้น
แม้องค์เง็กเซียน และพระแม่หวังหมู่จะเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า สหายศิษย์ร่วมสำนัก และคู่เหมยม้าไม้ไผ่[1]ที่ฝึกบำเพ็ญมาด้วยกัน พวกเขายังเป็นตัวอย่างของการแต่งงานระหว่างสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์
แต่การทำงานให้กับองค์เง็กเซียนนั้น ไม่เหมือนกับการทำงานให้กับพระแม่หวังหมู่ มันมีการพลิกผันปรับเปลี่ยนมากมายในนั้น
การกลับชาติมาเกิดใหม่ขององค์เง็กเซียนทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายมากเกินไป เขาไม่อาจปกปิดมันได้อย่างแน่นอน
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจเริ่มเอ่ยก่อนได้
ไม่เช่นนั้น จะเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจที่องค์เง็กเซียนมีต่อเขา
และหากเขาต้องการได้รับบุญในอนาคต เขาจะต้องได้รับการต่อต้านมากขึ้นอีกสองสามชั้นอย่างแน่นอน
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดการกับมันก็คือ การทำเฉกเช่นนี้
หลังจากที่ถูกพระแม่หวังหมู่ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก เขาต้องแสร้งทำตัวน่าสงสารเพื่อให้ศาลสวรรค์มองเห็นเขา
ในขณะที่เสริมสร้าง “อำนาจ” ของพระแม่หวังหมู่ เขาก็ต้องหาโอกาสเหมาะที่จะพูด
ในกรณีนั้น เทพวารีก็จะมีชื่อเสียง และองค์เง็กเซียนก็จะไม่ตำหนิเขาหลังจากกลับไปที่ศาลสวรรค์
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสูงที่เขาจะได้รับรางวัลตอบแทน
พระแม่หวังหมู่จะสามารถสร้างอำนาจของนาง และทำให้รากฐานของอำนาจศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลสวรรค์มั่นคงได้
บรรดาผู้เป็นเซียนทุกคนไม่ควรกลัวเสนาบดีที่ทรงอำนาจ
หลังจากถูกสายฟ้าฟาดยี่สิบสายแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คุกเข่าลงไปบนพื้น ทั่วทั้งร่างของเขาอ่อนแอ
เมื่อแม่ทัพสวรรค์หลายคนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รีบรุดไปช่วยพยุงร่างของหลี่ฉางโซ่วขึ้นมา และถามเสียงสั่น
“ใต้เท้า ท่านเป็นอันใดหรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจช้าๆ พลางแย้มยิ้มและพยักหน้าให้พวกเขา
จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ขอบคุณที่เมตตา ท่านแม่ทัพ โปรดส่งข้าออกจากหอด้วยเถิด”
แม่ทัพสวรรค์รับคำอย่างรวดเร็ว และพาหลี่ฉางโซ่วออกจากหอลงทัณฑ์สวรรค์
ที่ด้านนอกหอ เทพธิดาทั้งสี่ใช้พลังเซียนของพวกเขาเพื่อสร้าง “เปลเมฆา” และพาหลี่ฉางโซ่วโซซัดโซเซไปตามทาง ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในศาลสวรรค์และกลับไปที่สระหยก
เมื่อเขากลับมาที่ศาลาอันอบอุ่น หลี่ฉางโซ่วก็กำลังนอนเหมือนใกล้ตายอยู่บนก้อนเมฆ
ในขณะนั้น เขาหายใจแทบไม่ออก เสื้อคลุมสีขาวของเขาเต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม…
………………………………………………………………..
[1] คู่รักในวัยเยาว์