“ฉันเข้าใจ……” ปาจรีย์ตอบกลับ
วารุณีพยักหน้า “เข้าใจก็ดี ยังคงคำเดิม ลองยอมรับรพี จัดตั้งสถานะของตัวเอง ตอนนี้เธอคือแฟนสาวรพี ใช้สถานการณ์เป็นแฟนปฏิบัติต่อเขา อย่าใช้สถานะน้องสาวข้างบ้านอย่างเมื่อก่อน อีกอย่างการกระทำสนิทชิดเชื้อที่รพีมีต่อเธอ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ต่อต้านนะ ยุติธรรมกับเขาหน่อย”
ปาจรีย์ไม่ตอบตกลงในทันที แต่หลับตาด้วยความลังเล
หลังจากลังเลไปไม่กี่วินาที เธอก็เหมือนจะตัดสินอะไรบางอย่างได้ สูดหายใจลึกแล้วตอบตกลง “โอเค ฉันจะลองทำตามดู ลองยอมรับเขาดู”
“แบบนี้ก็ดี” วารุณียิ้มด้วยความชื่นใจ
ปาจรีย์เองก็ดึงมุมปากขึ้น แล้วยิ้ม จากนั้นก็อยากพูดอะไรบางอย่าง ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาอีก
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้น ยกขึ้นมาตรงหน้าแล้วมอง เมื่อเธอเป็นสายที่โทรมา ความซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในสายตา
แต่ในท้ายที่สุดก็นึกถึงคำพูดของวารุณี และที่ตัวเองรับปาก ความซับซ้อนในสายตาที่กระจายออกไป ก็เปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ขึ้นมา
วินาทีต่อมา เธอก็ยกโทรศัพท์กลับไปที่ข้างหู “วารุณี เลิกคุยกับเธอก่อนนะ พี่รพี……ไม่สิ รพีแฟนฉันโทรมา ฉันรับสายเขาก่อน มีอะไร เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ”
“โอเค เธอไปเถอะ” วารุณีพยักหน้า
ปาจรีย์วางสาย แล้วรับสายของรพี
คฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ภายในห้องอาหาร
วารุณีก็วางสายโทรศัพท์เช่นกัน มองไปที่ชายตรงหน้าของตัวเองพร้อมกับยิ้มและเอ่ยปาก “ปาจรีย์รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ตกลงคบกับรพีค่ะ อาจจะตอนนั้นรพีพูดอะไรบางอย่างกับเธอ ตอนนั้นคงจะพูดสะกิดใจเธอพอดี เธอเลยตอบตกลงอย่างไว แต่พอเย็นลง ก็เริ่มรู้สึกเสียใจทีหลัง เลยโทรมาหาฉัน แล้วก็อยากฟังความคิดเห็นของฉัน ฉันเลยให้เธอลองคบกับรพีดู แล้วเธอก็เห็นด้วยค่ะ”
“เธอควรเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าแค่เล่นๆ เอาความรู้สึกของรพีเป็นของเล่น” นัทธีดื่มซุปแล้วพูด
วารุณีพยักหน้า “ใช่สิคะ ปาจรีย์เองก็รู้เรื่องนี้ จากการโน้มน้าวของฉัน เธอก็กำจัดความคิดที่รู้สึกเสียใจทีหลังง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นเธอไม่โทรมาหาฉันหรอก แล้วก็จะโทรหารพี แล้วบอกเลิกรพี พูดตรงๆ สายนี้ ปาจรีย์แค่อยากจะมาเล่าความรู้สึกของเธอให้ฉันฟัง และให้ฉันโน้มน้าวเธอให้คบกับรพี เพราะมีคำโน้มน้าวของฉันแล้ว ถึงแม้ปาจรีย์จะเสียใจทีหลัง ก็จะกัดฟันอยู่กับรพีต่อไป”
“แต่หลังจากนั้นปาจรีย์ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับรพีเลย พวกเขาก็ต้องเลิกกันอยู่ดี” นัทธีเปิดริมฝีปากบางๆ
วารุณีตอบอืม “นี่ก็ไม่ผิด แต่คุณบอกว่าหลังจากนั้น ในเมื่อเป็นเรื่องหลังจากนั้น งั้นก็หลังจากนั้นค่อยว่ากัน หลังจากที่พวกเขาคบกันไปสักระยะ แล้วไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน นั่นก็พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาเข้ากันไม่ได้จริงๆ เชื่อว่าถึงตอนนั้น ถึงปาจรีย์จะเลิกกันรพี ก็จะไม่แค้นเคืองใจ เพราะยังไงซะก็ไม่ลองแล้ว ไม่เหมาะก็คือไม่เหมาะ รพีทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมไป”
“เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว ทานข้าวเถอะ คุณไม่ค่อยกินเลยนะ” นัทธีหยิบตะเกียบขึ้น แล้วคีบเนื้อปลาวางลงในชามของเธอ
วารุณีมองเนื้อปลาในชาม เนื้อปลานั้นสีขาวอ่อน เป็นส่วนท้องที่นุ่มและอร่อยที่สุด และเป็นจุดที่ไม่มีก้าง
เขาตั้งใจเหลือไว้ให้เธอสินะ
ไม่อย่างนั้น เด็กสองคนนี้กินไปนานแล้ว จะเหลือที่ไหนกัน
“ขอบคุณค่ะที่รัก” วารุณียิ้มให้นัทธีอย่างซาบซึ้ง แล้วหยิบตะเกียบ คือเนื้อปลาในชามมากิน
หลังทานเสร็จ เล่นกับเด็กสองคนเสร็จ กล่อมเด็กสองคนนอนเสร็จก็กลับห้อง
ประตูที่เพิ่งจะปิด นัทธีก็คว้าวารุณีมากอด
วารุณีถูกกอดเข้าอย่างกะทันหัน ตัวแข็งทื่อ เพราะถูกทำให้ตกใจ
แต่ไม่นาน เธอก็ตั้งสติได้หลังจากการตกใจ ร่างกายผ่อนคลายลง หันไปมองชายที่อยู่ด้านหลัง “ทำไมอยู่ๆมากอดฉันคะ?”
“ผมคิดถึงคุณ” นัทธีซุกหัวเข้าไปที่ไหล่ของเธอ แล้วใช้หน้าผากคลอเคลียที่ไหล่ของเธอ เสียงแหบพูด
วารุณีขมวดคิ้ว
คิดถึงเธอ?
คือต้องการเธอใช่ไหม?
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วพูด “ฉันยังไม่ได้อาบน้ำค่ะ”
“ทำเสร็จค่อยอาบ” นัทธีเห็นว่าเธอเข้าใจความหมายของตัวเอง ตาจึงเป็นประกาย หลังจากนั้นก็ตรงขบเข้าที่ติ่งหูของเธอ
ติ่งหูนุ่มๆ ของเธอ และเย็นๆ ถูกอมไว้ในปาก เหมือนกับกินองุ่นเย็นๆ ที่มีรสชาติดีเป็นพิเศษ
แต่วารุณี ที่ถูกเขากัดอยู่กลับรู้สึกจั๊กจี้ จนต้องหดคอ “โอเคนัทธี เลิกกัดได้แล้ว”
“ไม่” นัทธียอมตกลงที่ไหนล่ะ
เขาไม่ได้จับต้องเธอมาตั้งสองสามวัน
ในที่สุด วารุณีก็ไม่สามารถขัดชายหนุ่มได้ แล้วถูกเขาอุ้มไปที่เตียง
สงครามครั้งใหญ่ได้เปิดม่าน สงครามดำเนินไปอย่างยาวนาน จนหลังเที่ยงคืน จึงดึงม่านลง
ทุกอย่างสงบลง
วารุณีหอบเหนื่อยเล็กน้อย พิงเข้าที่อกของชายหนุ่ม หลับตาลง ท่าทางกึ่งหลับกึ่งตื่น
และนัทธี ก็โอบเธอเบาๆ ลืมตาอยู่ นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองไปที่เพดาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปไม่นาน ลมหายใจขอวารุณีก็ค่อยๆ มั่นคง และเปลี่ยนเป็นยาวเหยียดขึ้น
นัทธีค้มศีรษะลงมองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอหลับแล้ว ก็โค้งตัวลงไปจูบที่หน้าผากของเธอ หลังจากนั้นก็ยกผ้าห่มขึ้น แล้วอุ้มเธอไปที่ห้องอาบน้ำ
วันที่สอง เมื่อวารุณีตื่นขึ้น นัทธีก็ไม่อยู่แล้ว
เธอคลำตำแหน่งที่เขานอน ตรงนั้นก็เย็นแล้ว แสดงว่าเขาตื่นนานแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าออกไปกี่โมง
วารุณีจาม หลังจากนั้นก็บิดขี้เกียจ แล้วลุกจากเตียงเพื่อนั่ง แล้วหยิบโทรศัพท์จากหัวเตียงขึ้นมาดู จึงพบว่าสิบโมงแล้ว
นี่เธอหลับนานขนาดนี้เลย!
แถมโทรศัพท์ยังมีสายโทรเข้าขึ้นสองสามสาย แต่ไม่ได้ปลุกเธอเลย แปลกไปแล้ว
วารุณีรีเช็กว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
หลังจากที่เช็ก ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเพราะอะไร โทรศัพท์เธอ มีคนเปิดโหมดปิดเสียง
และในห้องนี้ ก็มีแค่เธอกับนัทธี ตัวเธอไม่ได้ทำแน่ งั้นก็มีแค่นัทธีแล้วล่ะ
วารุณีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ เดารู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เพราะเห็นว่าเธอยังหลับอยู่ อีกอย่างเมื่อคืนนี้ก็เหนื่อยมาก ดังนั้นจึงอยากให้เธอนอนเยอะหน่อย เลยเปลี่ยนโทรศัพท์ของเธอเป็นโหมดเงียบ
ส่ายหัวอย่างจำใจ วารุณีเช็กสายโทรศัพท์ ในนั้นมีสองอย่าง คือปาจรีย์โทรมา และมีอีกหนึ่งข้อความ ถามว่าทำไมถึงไม่ไปบริษัท
และอีกสองสาย หนึ่งสายเป็นของลีน่าที่โทรมา อีกหนึ่งสายเป็นสายของสถานีตำรวจ
วารุณีอัดเสียงตอบกลับปาจรีย์ก่อน “ขอโทษทีปาจรีย์ เมื่อคืนนอนดึก ฉันจะเข้าไปตอนบ่ายนะ มีอะไรที่ฉันต้องเซ็นหรือแก้ผัง เธอก็เอาไปวางไว้ที่ห้องทำงานฉันก็พอ”
หลังส่งเสร็จ วารุณีก็โทรไปหาสถานีตำรวจ
ตอนนี้ สถานีตำรวจโทรมาหาเธอ เธอจึงอยากรู้มาก ว่ามันคือเรื่องอะไร
ไม่ช้า สถานีตำรวจก็มีคนรับสาย
วารุณีบอกชื่อตัวเอง ตำรวจก็รู้จุดประสงค์ที่เธอโทรเข้ามา ตอบ “แบบนี้ครับคุณวารุณี เกี่ยวกับวันก่อนโน้น คุณจุ๊บแจงปล่อยข่าวลือของคุณบนเครื่องบิน ด้านตำรวจพวกเราก็เลยตัดสินให้คุมขังเป็นเวลาห้าวันครับ ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ตอนนี้คุณจุ๊บแจงได้รับการปล่อยตัวแล้วครับ ดังนั้นพวกเราเลยตั้งใจมาแจ้งคุณหญิงครับ”
วารุณีหรี่ตา
ไม่คาดว่าจะเป็นเรื่องนี้
นึกไม่ถึงเลยว่าแป๊บเดียว ก็ครบห้าวันแล้ว
วารุณีนึกถึงจุ๊บแจงผู้หญิงคนนี้ สายตาก็มีแววตาของความเกลียดชัง “โอเคค่ะฉันรู้แล้ว ขอบคุณพวกคุณที่แจ้งให้ทราบนะคะ”
“ยินดีครับ”
พูดจบ สายของตำรวจก็ถูกวางลง
วารุณีวางโทรศัพท์แล้วขมวดคิ้ว แล้วโทรหาลีน่า