บทที่ 836 ควบคุมทุกธาตุ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 836 ควบคุมทุกธาตุ

บทที่ 836 ควบคุมทุกธาตุ

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าโชคดีอีกแล้วเหรอ?” หมี่ลี่ถามด้วยความสงสัย

ซูอันครุ่นคิดสักครู่แล้วเรียกต๋าจี่ออกมา หมี่ลี่จะได้เห็นต๋าจี่ไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว เพราะคิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะเรียกต๋าจี่ออกมาต่อสู้บ่อย ๆ ในอนาคต

แม้แต่หมี่ลี่ก็ตกใจเมื่อเห็นสาวงามอันน่าหลงใหลปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ “นี่มันอะไรกัน? อย่าบอกนะว่าในร่างกายของเจ้าสามารถเก็บคนเป็น ๆ เอาไว้ได้?”

“ไม่ใช่! เอ่อ…” แม้แต่ซูอันก็ไม่สามารถหาวิธีอธิบายการดำรงอยู่ของต๋าจี่ได้อย่างถูกต้อง “เอาเป็นว่า ท่านแค่มองเหมือนกับว่านางเป็นสิ่งของที่ข้าเรียกออกมาก็แล้วกัน”

“สิ่งของที่เจ้าเรียกออกมาได้?” หมี่ลี่ทำสีหน้าแปลก ๆ นางเคยได้ยินเรื่องการอัญเชิญสัตว์ร้าย วิญญาณ หรือแม้แต่มังกรยักษ์ แต่นางไม่เคยได้ยินใครที่เรียกสาวงามออกมาแบบนี้มาก่อน

จากนั้นใบหน้าของหมี่ลี่ก็แดงขึ้นทันที “เจ้ามันวิปริตไปแล้ว!”

นางเอ็ดตะโร

ซูอันตกตะลึงกับปฏิกิริยาของนาง

นี่มันบ้าอะไร? ตอนนี้ข้าทำอะไรผิด? มันเป็นเพราะระบบต่างหากไม่ใช่ข้า!

“นางไม่รู้สึกตัวเหรอ?” หมี่ลี่สังเกตเห็นข้อบกพร่องในตัวต๋าจี่อย่างรวดเร็วหลังจากการตรวจร่างกายสั้น ๆ

ซูอันพยักหน้า “นางสูญเสียทั้งจิตวิญญาณและความทรงจำเหลือเพียงสัญชาตญาณการต่อสู้เท่านั้น”

หมี่ลี่อยากรู้อยากเห็น “ดูจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะรู้ตัวตนในอดีตของนาง”

“นางคือต๋าจี่” ซูอันตอบ

“ต๋าจี่?” หมี่ลี่สะดุ้งด้วยความตกใจ “จากราชวงศ์ซาง?”

“มีต๋าจี่อีกกี่คนในโลกนี้ล่ะ?” ซูอันกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางได้รับการยกย่องว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่งดงามที่สุดแม้จะผ่านไปนับพันปีแล้วก็ตาม…นางเป็นผู้หญิงที่สวยจนน่าตะลึงจริง ๆ! แม้แต่ผู้หญิงอย่างข้าก็ยังต้องยอมรับในความงามของนาง” คำชมของหมี่ลี่พรั่งพรูออกมา “แต่สิ่งที่สำคัญคือนางสามารถต่อสู้ได้หรือไม่? ข้าไม่เคยได้ยินว่าต๋าจี่เคยออกรบหรือต่อสู้กับผู้คนเลยสักครั้ง”

ซูอันอดไม่ได้ที่จะแหย่นาง “แม้แต่จักรพรรดินีฉินอย่างท่านยังมีระดับการบ่มเพาะที่สูงเสียดฟ้า นางเองก็อาจจะแข็งแกร่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

หมี่ลี่หน้าแดง ฟังแล้วก็สมเหตุสมผลดี

นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ต๋าจี่เป็นผู้บ่มเพาะธาตุไฟหรือเปล่า?”

ซูอันหยุดนิ่งครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “น่าจะเป็นแบบนั้น”

ต๋าจี่สามารถเรียกจิ้งจอกเก้าหางได้ และหางทั้งเก้านั้นลุกโหมไปด้วยเปลวไฟ นางจะเป็นผู้บ่มเพาะธาตุอื่นได้อย่างไร?

หมี่ลี่พยักหน้า “นั่นสมเหตุสมผล จากสิ่งที่ข้ารู้ ผู้อัญเชิญมักจะแบ่งปันทักษะบางอย่างของผู้ถูกอัญเชิญ นางอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าสามารถใช้ธาตุไฟได้”

หมี่ลี่พูดพร้อมกับหัวเราะ “ข้าก็สงสัยว่าทำไมผู้บ่มเพาะระดับห้าอย่างเจ้ายังไม่ปลุกธาตุใดเลย ที่แท้เจ้ากลับมีความสามารถอัญเชิญได้เช่นนี้เอง ในอนาคตยิ่งเจ้าอัญเชิญตัวตนแบบนี้ได้มากขึ้นและตัวตนที่เจ้าสามารถอัญเชิญถัดไปเป็นธาตุอื่น ๆ เจ้าอาจกลายเป็นคนแรกในโลกนี้ที่สามารถใช้งานธาตุได้ทั้งหมด”

นางชะงักแล้วสีหน้าของนางก็แปลกขึ้น “เท่าที่ข้ารู้ เจ้าสูญเสียทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเด็ก และต่อมาได้รับการเลี้ยงดูจากลุงของเจ้า”

ซูอันรู้สึกงุนงง เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ นางถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

อย่างไรก็ตามเขายังคงตอบว่า “บอกตามตรง ข้ายังไม่รู้ว่าพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตจริง ๆ หรือว่าพวกเขาเพียงแต่หายตัวไป ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร?”

หมี่ลี่อ้าปากค้าง “ไม่จำเป็นต้องสับสนอีกต่อไป ข้าคิดว่าข้ารู้ว่าใครเป็นพ่อของเจ้า!”

“ใคร?” ซูอันตกตะลึง

หมี่ลี่มองเขาอย่างแปลกใจ “กฎธรรมชาติของโลก!”

ซูอันตกตะลึง บ้าบออะไรกัน?

หมี่ลี่แยกเขี้ยวใส่เขา “ถ้าเจ้าไม่ได้เกิดมาโดยกฎธรรมชาติของโลก แล้วทำไมเจ้าถึงมีโชคดีในเรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้? ‘จ้าวแห่งธาตุทั้งหมด’ เจ้ารู้ไหมว่าตัวตนแบบนี้มันมีแต่ในความฝัน!”

ซูอันจำได้ว่าเคยถามคำถามนี้มาก่อน คนส่วนใหญ่สามารถปลุกธาตุเดียวได้ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบ่มเพาะธาตุสองสามอย่างได้ ถึงอย่างนั้นคน ๆ นั้นก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงที่จะปรากฏตัวขึ้นสักคนในรอบพันหรือหมื่นปี!

หากมีคนที่สามารถควบคุมธาตุทั้งหมดได้อย่างเขา…

อืม…นี่ดูเหมือนเป็นการโกงจริง ๆ!

หมี่ลี่รู้สึกสั่นสะท้าน “คนอย่างพวกเราสามารถปลุกได้เพียงธาตุเดียวแม้จะบ่มเพาะตลอดชีวิต แต่เด็กไร้ยางอายอย่างเจ้ากลับมีโอกาสที่จะสามารถควบคุมธาตุทั้งหมด! ถ้าข้าได้พบคนเช่นเจ้าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันทีที่เจ้าเกิด!”

ซูอันหัวเราะด้วยความอับอาย “ข้าไม่ได้โกงขนาดนั้นสักหน่อย ท่านก็รู้นี่นาว่าระดับการบ่มเพาะของข้ามันก้าวหน้ายากกว่าคนธรรมดาทั่วไปจริงไหม? นอกจากนี้ข้าต้องจ่ายราคาสูงกว่า ถึงจะสามารถอัญเชิญตัวตนอย่างต๋าจี่ออกมาได้ ซึ่งถ้าจะพูดถึงเรื่องการอัญเชิญตัวตนอื่น ๆ อีก ข้าคิดว่าข้าคงไม่สามารถหาตัวตนที่สามารถอัญเชิญได้ใหม่ไปอีกพักใหญ่ ๆ ดังนั้นแล้วไม่มีทางที่ข้าจะสามารถใช้ธาตุทั้งหมดได้ง่ายขนาดนั้น”

หมี่ลี่มีท่าทีพอใจ “ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ก็ช่างเถอะเพราะไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไรก็ยิ่งดีสำหรับข้าเท่านั้น เจ้าจะสามารถสร้างร่างกายให้ข้าได้เร็ว…”

จู่ ๆ หมี่ลี่หยุดที่กลางประโยคนี้ และหันไปทางต๋าจี่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “เดี๋ยวนะ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่านางเป็นร่างไร้วิญญาณใช่ไหม?”

ซูอันพยักหน้าตามสัญชาตญาณ “ใช่แล้ว”

ทว่าเขาสะดุ้งโหยงทันทีและรีบหยุดความคิดของหมี่ลี่ “ไม่ได้! นางเป็นของข้า…!”

ก่อนที่เขาจะพูดจบหมี่ลี่ก็พุ่งเข้าหาต๋าจี่ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “อย่าขี้เหนียวนักสิ! ข้าแค่ขอยืมร่างกายของนางชั่วคราวเท่านั้นเอง ต่อไปนางก็ยังคงเป็นของเจ้าอยู่ดี!”

หลังจากใช้เวลายาวนานในฐานะวิญญาณ หมี่ลี่จึงอยากมีร่างเนื้อซึ่งจะได้เดินเล่นเหมือนคนปกติบ้าง นางเหนื่อยกับการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอนหลับ และต้องการมองโลกใหม่นี้ด้วยตาของตัวเอง

แม้ว่าซูอันจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่านางเคยช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดี เขาได้ตกลงที่จะช่วยให้นางสร้างร่างกายของนางขึ้นใหม่ ตอนนี้เป็นโอกาสสำหรับหมี่ลี่ที่จะมีร่างกายเป็นของตัวเองแล้ว มันไม่สมควรที่จะหยุดนาง เขาปล่อยให้ร่างวิญญาณของนางบินไปที่ต๋าจี่

หมี่ลี่เข้าไปในร่างของต๋าจี่ ซูอันกำลังจะถามนางว่านางรู้สึกอย่างไร แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช วิญญาณของหมี่ลี่กระดอนออกจากร่างของต๋าจี่และจ้องกลับไปด้วยความหวาดกลัว

“เป็นอะไรไปพี่หญิงใหญ่?” ซูอันถามอย่างเร่งด่วน เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดพลาด

หมี่ลี่จ้องมองที่เขา “ไหนเจ้าบอกว่าร่างนี้ไม่มีวิญญาณ!?”

“ก็มันไม่มีจริง ๆ!” ซูอันยืนยัน นี่คือสิ่งที่ระบบบอกเขาอย่างสังเขป

หมี่ลี่ดูสับสนกับความซื่อสัตย์ในน้ำเสียงของเขา “แปลก…”

“มีอะไรเหรอ?” ซูอันถามด้วยความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าร่างวิญญาณของหมี่ลี่กำลังสั่นและค่อย ๆ จางลงราวกับว่ากำลังจางหายไป เห็นได้ชัดว่านางได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง