ตอนที่ 774 ไม่ทราบ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 774 ไม่ทราบ

พลทหารโล่แปรรูปขบวนเป็นกลุ่มละยี่สิบคนทันที ทุกคนถือโล่หนาป้องทางเบื้องหน้าและเหนือศีรษะ คุ้มกันทหารบุกเมืองทุกคนให้อยู่ภายใต้โล่หนาพลางส่งเสียงโห่ร้อง จากนั้นเดินฝ่าสายฝนไปด้านหน้าด้วยฝีเท้าที่มั่นคงตามจังหวะเสียงกลองศึกที่ดังขึ้น

ด้านหลังของพลทหารโล่คือรถยิงหินจำนวนยาวเหยียดจนมองไม่เห็นหัวขบวนซึ่งอยู่ท่ามกลางกลางคืนที่มืดมิด รองแม่ทัพของจ้าวเซิ่งใจสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ คงเป็นเพราะองค์หญิงเจิ้นกั๋วมาถึงแล้ว แม่ทัพหลิวที่ปกติมักเหลือทางรอดให้ตัวเองจึงกล้านำรถยิงหินมากมายขนาดนี้บุกมาโจมตีเมือง ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาทุ่มสุดแรงที่มีแล้ว

ลูกธนูลอยมาตกลงบนโล่หนา ไม่ก็พื้นดินที่เต็มไปด้วยโคลน ทหารโล่บางคนถูกธนูยิงจนล้มลงไปบนพื้น ทหารคนใหม่รีบเข้ามาแทนที่คนเก่าทันที ทุกก้าวที่เดินเข้าไปล้วนแลกมาด้วยชีวิต พวกเขาพยายามเดินไปใกล้จนถึงระยะที่รถยิงหินสามารถเล็งยิงหินไปโดนกำแพงเมืองของด่านชิงซีซานได้

รถยิงธนูคันใหญ่ทั้งสามคันที่อยู่บนกำแพงเมืองของด่านชิงซีซานยิงส่ายไปมา พลธนูที่เก่งกาจที่สุดง้างสายธนูจนเต็มเหนี่ยว ธนูไม้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งบรรดาลูกธนูพุ่งออกไปกลางอากาศราวกับกระสุนปืนปักลงบนพลทหารโล่ของต้าจิ้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงม ทว่า กองทัพจิ้นไม่มีทีท่าว่าจะถอยทัพ พวกเขายังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

ทหารโล่คนใหม่เข้ามาแทนที่ทหารคนเก่าท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ ปกป้องทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากธนูให้อยู่ภายใต้โล่หนา ไม่นานทหารที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกสหายร่วมรบลากออกไปจากสนามรบ

ไม่นานแม่ทัพที่รับผิดชอบควบคุมรถยิงหินจึงเร่งม้าเข้ามาแล้วตะโกนเสียงดังลั่น

“ท่านแม่ทัพ เราอยู่ในระยะใกล้พอที่จะยิงหินไปบนนกำแพงด่านชิงซีซานแล้วขอรับ!”

หวังสี่ผิงรีบขี่ม้าไปหยุดอยู่หน้ารถม้าศึกของหลิวหง “ท่านแม่ทัพ พร้อมยิงหินแล้วขอรับ!”

แม่ทัพหลิวหงยืนกำดาบแน่นอยู่บนรถม้าศึก จากนั้นตะโกนลั่น “ยิง!”

หวังสี่ผิงรีบหันม้ากลับพลางตะโกนลั่นท่ามกลางสายฝน “ยิง!”

สิ้นเสียงของหวังสี่ผิง เสียงวัตถุขนาดใหญ่ลอยผ่านหูของเขาไปยังกำแพงด่านชิงซีซานท่ามกลางสายฝนอย่างรวดเร็ว ก้อนหินเล็กและหินใหญ่ตกลงบนรถยิงธนูขนาดใหญ่ทั้งสามคันราวกับสายฝนจนรถยิงธนูทั้งสามคันกลิ้งตกลงมาจากกำแพงด่านชิงซีซาน บนกำแพงด่านชิงซีซานเต็มไปด้วยเลือดสด

เมื่อหินชุดแรกหยุดลง ไม่รอให้กองทัพต้าเหลียงได้ทันตั้งตัว พวกเขาก็เห็นก้อนหินก้อนใหญ่หล่นลงมาอีกครั้งท่ามกลางพายุฝน

“ท่านรองแม่ทัพระวังขอรับ!” องครักษ์ข้างกายของรองแม่ทัพของจ้าวเซิ่งรีบผลักร่างของรองแม่ทัพออก ทว่า ตัวเขากลับถูกหินก้อนใหญ่หล่นทับแนบไปกับกำแพง จากนั้นสิ้นลมหายใจลงทันที

หมวกเกราะของรองแม่ทัพหล่นลงบนพื้น เขาหยัดกายลุกขึ้นพลางมองไปที่องครักษ์ของตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปยังหินก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาไม่ขาดสาย เขาตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ครั้งนี้หลิวหงทุ่มสุดชีวิตจริงๆ เลือดร้อนในกายรองแม่ทัพที่ถูกคนประคองให้ลุกขึ้นเดือดพล่านขึ้นทันที เขาทิ้งดาบในมือของตัวเองลง จากนั้นไปหยุดยืนอยู่หน้ารถยิงธนู หมุนหัวคันธนูไปยังเบื้องหน้า จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น

“ยิงเดี๋ยวนี้! ห้ามให้ทหารกองทัพจิ้นเข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว คุ้มกันด่านชิงซีซานไว้ให้ได้!”

วันนี้มีพายุฝน ไฟจึงไม่มีประโยชน์สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถจุดไฟเผารถยิงหินของกองทัพจิ้นได้ บรรดาแม่ทัพที่อยู่บนกำแพงด่านชิงซีซานจึงได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่เช่นนี้

เมื่อหลิวหงเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว เขาจึงตะโกนขึ้น “รถกระทุ้งประตูเมืองบุก!”

พลทหารโล่รีบหลีกทาง เหล่าทหารช่วยกันดันรถกระทุ้งประตูเมืองที่มีโล่หนากำบังอยู่รอบตัวรถพุ่งไปชนประตูเมืองอย่างแรง พลทหารเท้าแบกบันไดกระแทกตามไปติดๆ แรงกระแทกรุนแรงราวกับสัตว์ป่าที่เพิ่งตื่นขึ้นมา เป็นภาพที่น่าหวาดสะพรึงในคืนที่มืดมิดเช่นนี้เป็นอย่างมาก

ต้าเหลียงมีด่านสำคัญอยู่สองแห่ง ด่านอวี้ซานตกอยู่ในมือของต้าจิ้นนานแล้ว

ด่านชิงซีซานที่ใกล้จะถูกทำลายคือด่านที่ได้รับสมญานามว่าเป็นด่านที่แกร่งที่สุดในใต้หล้า แม่ทัพมีชื่อเสียงมากมายนำทัพบุกมาถึงด่านนี้ ทว่า มาเคยมีผู้ใดผ่านด่านชิงซีซานนี้เข้าไปได้เลย

เพราะภูมิประเทศโดยรอบของด่านชิงซีซานเต็มไปด้วยอันตรายที่เกิดจากธรรมชาติ กำแพงของด่านถูกสร้างขึ้นสูงจนยากจะปีนขึ้นมาได้ด้วยหินขนาดใหญ่

ครั้งนี้หลิวหงใช้ทรัพยากรและกำลังคนมากมายของแคว้นจนขุนนางในราชสำนักต่างวิพากษ์วิจารณ์จึงสามารถยึดด่านชิงซีซานได้ในที่สุด หากครั้งนี้เขาปกป้องด่านชิงซีซานไว้ไม่ได้ เขาไม่เพียงแต่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ไม่ได้ เขายังทำผิดต่อบรรดาทหารที่สละชีพของตัวเพื่อยึดด่านชิงซีซานมาอีกด้วย

ไป๋เวยถิงเคยกล่าวไว้ว่าหากต้องการยึดครองต้าเหลียง อันดับแรกต้องยึดด่านอวี้ซานมาให้ได้ ต่อมาค่อยยึดด่านชิงซีซานที่แกร่งที่สุดในใต้หล้า

หลิวหงไม่เคยสงสัยในตัวไป๋เวยถิงเกี่ยวกับเรื่องทางทหาร เมืองอื่นที่พวกเขาสูญเสียไปไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทว่า เขาจะสูญเสียด่านชิงซีซานไปไม่ได้เด็ดขาด เขาจะต้องยึดด่านนี้กลับมาให้ได้!

จู่ๆ ไป๋ชิงเหยียนที่นำทหารขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังต้าเหลียงท่ามกลางสายฝนก็กระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลง จากนั้นยกมือขึ้น

“หยุด!”

กองทัพทั้งหมดสองหมื่นแปดพันนายซึ่งรวมทหารค่ายผิงอันแล้วต่างหยุดลงตามคำสั่ง พวกเขายืนปล่อยให้น้ำฝนชำละล้างเกราะเหล็กของตัวเองนิ่งอยู่กับที่อย่างรอฟังคำสั่ง

ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปทางหุบเขาชิงซีนิ่ง รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมาจากทางนั้น ม้าศึกสีขาวของหญิงสาวพ่นไอขาวออกมาทางจมูก สะบัดขนที่เปียกลู่ของตัวเอง ไป๋ชิงเหยียนกระตุกบังเหียนอย่างแรง ลูบคอของม้าขาวอย่างปลอบโยน จากนั้นตะโกนถามเสียงดัง “สายสืบกลับมาแล้วหรือไม่”

เสิ่นเยี่ยนฉงรีบควบม้าไปด้านหน้า จากนั้นเอ่ยตอบ “ยังพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงเจิ้นกั๋ว”

ไป๋ชิงเหยียนเดาเหตุการณ์ของด่านชิงซีซานในตอนนี้…หากแม่ทัพหลิวหงไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพจ้าวที่จ้าวเซิ่งนำมาเสริมทัพเพื่อคุ้มกันด่านชิงซีซานไว้ให้ได้แม้ตัวตาย เช่นนั้นก็แสดงว่าเมื่อทัพหลิวหงแสร้งถอยทัพออกจาด่านชิงซีซานก่อนให้กองทัพจ้าวที่นำทัพโดยจ้าวเซิงตายใจ จากนั้นค่อยนำทัพลอบโจมตีอีกครั้งในกลางดึก

“รายงาน…”

สายสืบที่ไป๋ชิงเหยียนส่งไปสำรวจสถานการณ์ขี่ม้ากลับมาอย่างรวดเร็ว เขาลงมาจากหลังม้า จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนพลางกำหมัดรายงาน

“ทูลองค์หญิงเจิ้นกั๋ว แม่ทัพหลิวหงกำลังนำกองทัพจิ้นไปยึดด่านชิงซีซานกลับคืนมาพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพหลิวหงให้กระหม่อมมทูลองค์หญิงเจิ้นกั๋วว่าเกาอี้จวิ้นจู่นำทัพอ้อมไปโจมตีกองทัพต้าเหลียงจากทางด้านหลังด่านชิงซีซานเพื่อล่อให้กองกำลังส่วนใหญ่ไปทางด้านหลัง ตอนนี้ประตูด่านใกล้ถูกทำลายแล้ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้งนี้หลิวหงไม่อยากให้ไป๋ชิงเหยียนเข้ามายุ่ง เขากุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว เขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพที่ไม่มีทางรบชนะหากปราศจากองค์หญิงเจิ้นกั๋ว

ไป๋ชิงเหยียนกำบังเหียนม้าแน่นพลางเอ่ยถาม “เกาอี้จวิ้นจู่นำทหารกี่นายบุกไปโจมตีทางด้านหลัง”

“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” สายสืบตอบ

“เสิ่นเยี่ยนฉง หลิ่วผิงเกาฟังคำสั่ง!” ไป๋ชิงเหยียนตะโกนเสียงดังลั่น

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เสิ่นเยี่ยนฉงและหลิ่วผิงเกาก้าวไปด้านหน้า

“ควบคุมทหารซั่วหยางและทหารค่ายผิงอันรอฟังคำสั่งอยู่ที่นี่ คนที่เหลือตามข้ามาโดยไม่ต้องนำธงติดตัวไปเด็ดขาด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบจึงควบม้าทะยานจากไปทันที

ไช่จื่อหยวนอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้เขาจะเป็นบัณฑิตอ่อนแอ แม้ร่างกายของเขาตอนนี้แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ทว่า เขายังคงกัดฟันขี่ม้าตามหลังไป๋ชิงเหยียนไปติดๆ

ไป๋ชิงเหยียนไม่พาทหารซั่วหยางและทหารค่ายผิงอันไปด้วย หญิงสาวพาไปเพียงทหารที่ได้รับการฝึกฝนจากจี้ถิงอวี๋เท่านั้นเพราะต้องการให้พวกเขาได้เห็นว่าสนามรบจริงเป็นเช่นไรและเพื่อความไม่ประมาทด้วยเช่นเดียวกัน

หากหลิวหงพังประตูเมืองเข้าไปไม่ได้ ไป๋จิ่นจื้อต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

หลิวหงกล้าปล่อยให้ไป๋จิ่นจื้อเสี่ยงอันตรายได้ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนจะไม่ยอมให้ไป๋จิ่นจื้อเป็นอันใดไปแม้แต่นิดเดียว

ทหารยอดฝีมือสามพันนายที่ไป๋ชิงเหยียนพามาด้วยไม่ได้อยู่ในรายชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ไป๋ชิงเหยียนก็ไม่อยากให้หลิวหงเห็นความสามารถของพวกเขา มิเช่นนั้นด้วยใจที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ของหลิวหง เขาอาจรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบได้ ถึงเวลานั้นฮ่องเต้และรัชทายาทต้องหวาดระแวงในตัวนางและหาทางส่งคนไปควบคุมคนที่ซั่วหยางให้อยู่ในกำมือของพวกเขาอย่างแน่นอน เช่นนั้นนางจะต้องเดินไปในเส้นทางที่ไม่มีทางหันหลังกลับได้ก่อนเวลาที่นางเตรียมการไว้