บทที่ 674 แม้ข้าจะเป็นเพียงเซียนจั๋ว… (1)
เมื่อองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่เสด็จลงสู่โลกมนุษย์แล้ว เหล่าเทพแห่งศาลสวรรค์ก็ไม่มีอะไรทำ
พวกเขาคัดเลือกคนเพื่อมารับตำแหน่งเทพและผลัดกันนั่งในหอทงหมิง
องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่เสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ยากและเฝ้าดูความทุกข์ยากของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
บัดนี้ อำนาจของศาลสวรรค์ก็ตกอยู่ในมือของหลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่
สหายเฒ่าสองพี่น้องพูดคุยกันอยู่สักพัก แม่ทัพตงมู่แนะนำให้พวกเขาทั้งสองต่างผลัดกันเฝ้าหอทงหมิง
หลี่ฉางโซ่วตกลงโดยไม่ลังเลทันทีและเสนอให้ใช้ระยะเวลาหนึ่งร้อยปี
แม่ทัพตงมู่ครองตำแหน่งเทพขั้นสูงกว่า และเขาจะนั่งเป็นประธานในศาลสวรรค์ในช่วงห้าสิบปีแรก
หลี่ฉางโซ่วนั้น มีตำแหน่งเทพระดับต่ำกว่า และเขาจะเป็นประธานในอีกห้าสิบปีหลังจากนั้น
ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ลืมบอกแม่ทัพตงมู่ว่า อายุขัยของการกลับชาติไปเกิดใหม่ขององค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ในคำราแห่งชีวิตและความตายนั้น ดูเหมือนว่า จะมีอายุได้หกสิบหกปี…
ทว่ามันก็ไม่สำคัญ แม่ทัพตงมู่ย่อมจะไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่างแน่นอน
หลี่ฉางโซ่วไม่เพียงแค่อยากพักผ่อนเท่านั้น แต่เขายังคงต้องรับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยในการกลับชาติไปเกิดใหม่ขององค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่
เขายังต้องคอยเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจและป้องกันไม่ให้พวกมันฉวยโอกาสนี้โจมตี…
เขามีความรับผิดชอบมากมายและยุ่งมาก
นอกจากเขาและจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ได้กลับชาติไปเกิดที่ใด
แม้คนอื่นๆ จะต้องการวางแผนทำร้ายพระแม่หวังหมู่ และองค์เง็กเซียน แต่หลี่ฉางโซ่วก็เพียงแค่ต้องลงมือ “ปลุก” องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่เท่านั้น
เช่นนั้นแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองก็จะปลอดภัยและสบายดีอย่างแน่นอน
องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่สามารถไปที่วังเมฆม่วงเพื่อบ่นกับบรรพาจารย์เต๋า ซึ่งทำให้พวกเขาต่างมีความสุขเพิ่มเป็นสองเท่า
มีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งภายนอกศาลสวรรค์
เมื่อปรมาจารย์เต๋าสวรรค์ได้ส่งสัญลักษณ์มงคลลงมา พวกมันก็กระจายไปทั่วโลกมนุษย์ในดินแดนเทวะทักษิณ มีมนุษย์และชนเผ่าต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนได้เห็นปรากฏการณ์เหล่านั้น
นอกจากนี้ มันยังเป็นเพราะปรากฏการณ์มงคลเหล่านี้ จึงก่อให้เกิดความโกลาหลแห่งสงครามขึ้นในส่วนต่างๆ ของดินแดนเทวะทักษิณ
เหล่าเสนาบดีและแม่ทัพที่มีความทะเยอทะยานหลายคน ซึ่งปรารถนาจะไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต ล้วนได้รับแรงบันดาลใจให้ไปสู่แนวคิดที่กล้าหาญต่างๆ จากสัญลักษณ์มงคลเหล่านั้น
มีข่าวลือสารพัดเรื่อง เช่น ‘จักรพรรดิองค์เก่าไม่มีคุณธรรม ควรสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่’ และ ‘สวรรค์กำลังส่งสัญญาณมงคล และเหมาะสมที่จะเคลื่อนทัพ’…
โลกมนุษย์ในดินแดนเทวะทักษิณนั้น มีมาช้านานและเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ดำรงอยู่มาเป็นเวลาหลายแสนปีตั้งแต่สมัยโบราณ
ทว่ามนุษย์นั้นโง่เขลายิ่งนัก และสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าและวาจายุยง
ดังนั้นการปรากฏของสัญลักษณ์มงคลเหล่านั้นจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความร่มเย็นเป็นสุข แต่มันกลับทำให้แดนยมโลกมีงานยุ่งวุ่นวายเป็นเวลานานหลายสิบปีแทน…
กลับไปเรื่องงานจริงจังกันเถิด
หลังจากที่เสี้ยววิญญาณของพระแม่หวังหมู่เข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีได้สำเร็จแล้ว หลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่ก็จัดเตรียมการเข้างานตามช่วงเวลาที่หอทงหมิง จากนั้น ก็รีบจัดการงานรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่
ความจริงแล้ว แม้เขาจะปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองสามตัวเฝ้าอยู่ห่างๆ แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรที่ไม่จำเป็น
หากเขาจะจัดวางค่ายกลเวท และจัดตั้งกองทหารสวรรค์ประจำการ แล้วจะไม่กลายเป็นว่า ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงหรือ[1]?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สนใจชีวิตเหมือนละครอันน่าทึ่งของพระแม่หวังหมู่ และองค์เง็กเซียน
แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับความรักครั้งที่สองขององค์เง็กเซียน และพระแม่หวังหมู่ อาจเป็นการดีกว่าที่เขาจะคิดว่าควรปลอบประโลมผู้นำแห่งศาลสวรรค์ที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจได้รับบาดเจ็บอย่างไรดีในขณะที่จักรพรรดิหยกได้เรียนรู้ความจริง…
“หือ?”
เหตุใดจิ้งจอกสาวตัวนี้ถึงมาที่นี่อีก?
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขามองดูสตรีมีครรภ์สองคนในเมืองใหญ่ในดินแดนเทวะทักษิณ แล้วเบนจิตสนใจคืนกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย
การแต่งงานของท่านอาจารย์…
เป็นเรื่องวุ่นวายอย่างน่าเป็นห่วงจริงๆ
ที่ประตูของสำนักตู้เซียน จิ้งจอกสาว ซึ่งเปลี่ยนมาสวมชุดสีฟ้าอ่อนกำลังพูดคุยอยู่กับผู้เป็นเซียนพิทักษ์ประตู
วันนี้ นางแต่งหน้าบางๆ และพยายามปกปิดกลิ่นอายปีศาจของนางอย่างเต็มที่ นางเผยเสน่ห์ที่งดงามเกินกว่าจะพรรณนาได้
ผู้เป็นเซียนพิทักษ์ประตูไม่อาจปล่อยให้นางเข้าไปได้ตามต้องการ เขาขอให้ศิษย์ลาดตระเวนบนภูเขาไปที่ยอดเขาหยกน้อย และถามฉีหยวนว่า ประสงค์จะพบนางหรือไม่
นักพรตเต๋าเฒ่าฉีหยวนครุ่นคิดในเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ และขี่เมฆออกไปนอกสำนักด้วยความกังวล
ท่านอาจารย์สนใจจริงๆ หรือ?
หลี่ฉางโซ่วไม่อยากสอดรู้สอดเห็นการสนทนาและเรื่องความรักของผู้อื่น แต่มันก็น่าตื่นเต้นเกินไปจริงๆ…
แค่กๆ นี่เป็นเพียงเพราะเขาห่วงเรื่องความปลอดภัยของท่านอาจารย์ของเขาเท่านั้น!
ด้วยเหตุผลบางอย่าง บัดนี้ จิ้งจอกสาวครองความแข็งแกร่งมาถึงขอบเขตเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว
และหลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกประหลาดใจกับพัฒนาการที่รวดเร็วยิ่งของนาง
ศักยภาพของนางนั้น เกือบจะเทียบเท่ากับโหย่วฉิน
หากนางใช้กำลังกับท่านอาจารย์ของเขาเล่า?
ในฐานะศิษย์ของท่านอาจารย์ แน่นอนว่า เขาต้องปกป้องร่างเต๋าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของท่านอาจารย์!
ในขณะนั้น ฉีหยวนได้ขี่เมฆมาถึงประตู เขาก้มศีรษะลงและออกจากประตูไป ภายใต้สายตาที่ใจดี อ่อนโยน และเย้าแหย่เล็กน้อยของผู้อาวุโสเซียนพิทักษ์ประตู
จิ้งจอกสาวโค้งคำนับให้ทันทีและตะโกนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “นักพรตเต๋าฉีหยวน!”
“สหายเต๋าหลาน”
ฉีหยวนโค้งคำนับและเริ่มกล่าวว่า “ไปคุยกันด้านข้างเถิด นี่เป็นสถานที่ที่สำคัญของสำนัก”
“ได้สิ” จิ้งจอกสาวตอบเบาๆ
จากนั้น นางก็ขี่เมฆไปข้างหน้าและเชิญฉีหยวนให้ขี่เมฆไปกับนาง
ฉีหยวนเป็นเซียนจั๋ว ในขณะนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรเลย
จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างจิ้งจอกสาวอย่างเปิดเผยและเริ่มรักษาระยะห่างจากนางมากกว่าสี่ฉื่อ และคิ้วสีขาวของเขาก็เผยท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย
จิ้งจอกสาวหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยขณะลอบชำเลืองมองเขาเป็นระยะๆ
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินอย่างสบายๆ และเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวัง…
เอ่อ ไฉนจู่ๆ ข้าถึงรู้สึกว่า นอกจากข้าแล้ว มีคนอื่นเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วยเล่า?
เสี่ยวหลานเอ่ยถามว่า “นักพรตเต๋า เราจะไปที่ใดกันหรือ?”
“ไปหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามกันเถิด” นักพรตเต๋าเฒ่าฉีหยวนกล่าวอย่างอบอุ่น
“หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ข้ายังอยากชี้แจงบางอย่างให้เจ้าฟังให้เข้าใจชัดเจน ไม่เช่นนั้น หัวใจเต๋าของข้าจะไม่สบายใจจริงๆ”
ในขณะนั้น เสี่ยวหลานอดจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยไม่ได้
นางรีบกล่าวว่า “นักพรตเต๋า เจ้ายังคิดว่า เสี่ยวหลานเป็นปีศาจอยู่หรือไม่…”
………………………………………………………………..
[1] หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น แต่กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
———————–