บทที่ 675 แม้ข้าจะเป็นเพียงเซียนจั๋ว… (2)
“ไม่ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นมนุษย์และปีศาจ” ฉีหยวนยิ้มและกล่าวว่า “เทพวารีจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเรานั้นพูดถูก
ความจริงแล้ว ในโลกนี้ สิ่งที่ตรงกันข้ามนั้น หาใช่มนุษย์และปีศาจไม่ แต่เป็นความดีและความชั่ว
ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าก็ออกจะดื้อรั้นอยู่สักหน่อย ทว่าหลังจากที่ข้ารับศิษย์สองคนแล้ว ข้าก็ค่อยๆ เข้าใจบางสิ่ง”
จิ้งจอกสาวฟังอย่างตั้งใจ
ดวงตาของนางฉายแววลุ่มหลงเล็กน้อยในขณะที่นางจดจำถ้อยคำเหล่านั้นเอาไว้เและฝังลึกอยู่ในใจของนาง…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วที่อยู่ใต้ดิน ก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยประสบมาฉากแล้วฉากเล่า บน “ยอดเขาหยกน้อย” ในช่วงร้อยปีแรกของการฝึกบำเพ็ญอยู่ในใจ
การเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของท่านอาจารย์ได้มาจากการทุบตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
ทว่าเมื่อเขาได้พบท่านอาจารย์ครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ไม่ได้เข้าใจข้อความบางตอนในพระคัมภีร์ดีนัก แต่สีหน้าท่าทางที่จริงจังในยามที่ท่านอาจารย์สอนนั้น ก็ชวนให้นึกถึงอดีตจริงๆ…
ในเวลานั้น ฉีหยวนและจิ้งจอกสาวขี่เมฆไปที่ไหล่เขา
มีต้นไม้วิญญาณสีขาวซีดเติบโตที่นี่ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์วิญญาณและแมลงวิญญาณที่ไม่เป็นอันตรายมากมายนัก
ครั้งนี้จิ้งจอกสาวได้เตรียมการมาอย่างพิถีพิถัน
นางยุ่งอยู่พักหนึ่ง นางจัดโต๊ะเตี้ย ผ้าห่มอมตะ และขนมสองสามอย่างที่นางทำเอง
จากนั้น นางก็หยิบสุราผลไม้ที่มีชื่อเสียงในเผ่าชิงชิวออกมา
ความจริงแล้ว แม้แต่ท่าทางของนางที่นั่งลงด้วยเท้าหยกของนางด้วยกันก็น่าจะผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้งแล้ว
มันดูตั้งใจไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้ว มันก็งดงามทีเดียว
หรือว่า เผ่าชิงชิวมีหลักสูตรการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับมารยาท?
ฉีหยวนนั่งข้างโต๊ะเตี้ยอย่างว่าง่าย และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
ครั้งนี้เขาใช้พลังเซียนปิดจมูกของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องขายหน้าอีกต่อไป
จากนั้นนักพรตเต๋าชราและจิ้งจอกสาวก็สนทนากันโดยไร้คำพูดใต้ร่มเงาของป่า
จิ้งจอกสาวเชี่ยวชาญการร่ายรำ วันนี้ นางยังได้แสดงการร่ายรำที่นางเตรียมมาอย่างพิถีพิถันด้วยเช่นกัน นางมีเสน่ห์น้อยลงแต่ดูมีตัวตน บริสุทธิ์และสดชื่นมากขึ้น เห็นได้ชัดว่า นางกำลังทำมันเพื่อให้ฉีหยวนพอใจ
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัว
จะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง นักพรตเต๋าเฒ่าฉีหยวนนั้นสงบและเยือกเย็นลงกว่าคราวก่อนมาก
ดวงตาของเขาเผยแววครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้ลุ่มหลงในความงามของนางอีก
นั่นก็เป็นเพราะว่า ในวันนี้ จิ้งจอกสาวเสี่ยวหลานจงใจระงับเสน่ห์ของนาง
หลังจากการร่ายรำแล้ว จิ้งจอกสาวก็ก้าวเท้าเบาๆ ขณะเดินกลับไปที่โต๊ะเตี้ย และกำลังจะกล่าวออกมาอย่างเขินอาย
แต่ดูเหมือนว่า ฉีหยวนจะได้ตัดสินใจแล้ว และเงยหน้าขึ้นเพื่อเอ่ยคำพูดออกมา
“นักพรตเต๋า…”
“สหายเต๋า?”
จิ้งจอกสาวรีบกล่าวว่า “นักพรตเต๋า โปรดพูดก่อนเถิด”
“สหายเต๋า เจ้านั่งลงก่อนเถิด” ฉีหยวนยิ้มพลางกล่าว
รอยยิ้มนั้นเหมือนกับการแสดงออกของเขาเมื่อเขาเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาจากยอดเขาอื่นๆ ในสำนัก
ไม่ว่าเขาจะต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติมากเพียงใด เขาก็จะแสดงความยับยั้งชั่งใจอยู่เสมอ
เสี่ยวหลานจัดปอยเส้นผมที่ข้างหูของนาง แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “นักพรตเต๋า เจ้าพยายามจะเกลี้ยกล่อมข้าอีกแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว” ฉีหยวนตอบอย่างตรงไปตรงมา
“นักพรตเต๋า เหตุใด…”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหลานกังวลเล็กน้อยที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเขา ฉีหยวนก็รีบกล่าวว่า “สหายเต๋า ไม่ต้องกังวลไป ก่อนหน้านี้ เจ้าและข้าต่างก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน
นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเพิ่งคิดอยากจะบอกเจ้าในวันนี้ สหายเต๋า วันนี้ ข้าอยากจะพูดสองเรื่อง และหนึ่งในนั้นก็คือ ข้าเป็นเซียนจั๋ว และตั้งแต่นั้นมา วิถีเซียนของข้าก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
หากไม่เป็นเพราะศิษย์ของข้าเกลี้ยกล่อมข้า ข้าก็คงผ่านการกลับชาติมาเกิดแล้ว”
เสี่ยวหลานกัดริมฝีปากล่างของนาง และกล่าวอย่างเสน่หาว่า “ไม่ว่าจะเป็นเซียนพิภพ หรือเซียนเทียน สิ่งมีชีวิตก็กำลังเดินท่องไปในระหว่างสวรรค์และปฐพี
ข้ายินดีรับใช้เจ้าไปตลอดชีวิตที่เหลือของเจ้า”
“สหายเต๋า” ฉีหยวนหน้าแดง “อย่าพูดเช่นนั้นก่อน มันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดบางอย่างได้
ส่วนเรื่องที่สอง…”
“พูดมาเถิด นักพรตเต๋า”
หลี่ฉางโซ่วที่อยู่ใต้ดินเลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ เขารู้ว่า ท่านอาจารย์ของเขาประสงค์จะเอ่ยอะไร
ในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีเมฆสองสามก้อนมาจากที่ใดก็สุดรู้ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมา และมีเสียงกรอบแกรบเบาๆ ดังขึ้นทั่วป่า
ฉีหยวนมีท่าทีจริงจัง เขาจ้องมองไปที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเสี่ยวหลาน
จากนั้น เขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “สหายเต๋า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เจ้าจำผิดคนมาตลอดจริงๆ”
เสี่ยวหลานผงะงัน
ฉีหยวนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ความจริงแล้ว การทำสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนนั้น ย่อมดีกว่ามาก
สหายเต๋า ตอนที่เจ้าติดอยู่ในคุกใต้ดิน ผู้ที่ไปหาเจ้านั้น หาใช่ข้าไม่ ทว่ากลับเป็น…ปรมาจารย์คนหนึ่งที่ดูเหมือนข้า
ปรมาจารย์ผู้นี้ ไม่ต้องการให้เป็นที่รู้จัก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาใช้รูปลักษณ์ของเซียนจั๋วเช่นข้า ซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก
และแน่นอนว่า ข้าก็อนุญาตให้เขาทำเช่นกัน
เมื่อเจ้าหลบหนีไปและมาถึงยอดเขาหยกน้อย ปรมาจารย์ผู้นี้ ก็รู้สึกว่า เจ้าจะสร้างปัญหาให้ข้า
ดังนั้นเขาจึงใช้รูปลักษณ์ของข้าเพื่อยั่วยุเจ้าโดยหวังว่าจะทำให้เจ้าเลิกคิดถึงข้า…
เอ่อ ข้าไม่เคยคิด…
สหายเต๋า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าไม่ได้มองหาข้า ทว่าเป็นคนที่ดูเหมือนข้าเท่านั้น”
จิ้งจอกสาวตะลึงงันอย่างสมบูรณ์
ในคราแรก นางขมวดคิ้วด้วยความสับสน จากนั้น นางก็ก้มศีรษะลงและครุ่นคิด ใบหน้าของนางซีดเผือดลงอย่างไม่เชื่อ และจากไม่เชื่อก็กลายเป็นว่า นางไม่เต็มใจที่จะเชื่อความจริง …
“นักพรตเต๋า เจ้ากำลังปดเสี่ยวหลานใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้ปดเจ้า”
ฉีหยวนกล่าวพลางยิ้มขื่น
“สหายเต๋า โปรดมองตาข้า ข้ามีดวงตาเดียวกันกับนักพรตเต๋าที่อยู่ในใจของเจ้าหรือไม่?
สิ่งนี้ไม่อาจปลอมแปลงได้”
จิ้งจอกสาวอดจะสังเกตดูอย่างระมัดระวังไม่ได้
จากนั้น นางก็ตกอยู่ในความงุนงง
“ทว่านักพรตเต๋า ข้า ข้าสนใจเพียงฉีหยวน และเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของข้า”
“ในที่สุด ของปลอมก็คือ ของปลอม สหายเต๋า เจ้าถูกหลอกแล้ว”
ฉีหยวนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าได้อ่านพระสูตรในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาและเห็นประโยคหนึ่งที่ได้กล่าวว่า “แม้ภายนอกสกปรก แต่หากจิตใจบริสุทธิ์ ท่านก็ปลูกผลไม้ประเสริฐได้เช่นกัน”
ความหมายของประโยคนี้คือ วิญญาณแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ควรตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ควรตัดสินด้วยหัวใจและวิญญาณ
เวทลวงตา วิชาแปลงร่าง และแม้แต่ผงสีแดงของสตรีก็สามารถทำให้คนผู้หนึ่งมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกับคนอีกผู้หนึ่งอย่างยิ่งได้
ทว่าหัวใจเต๋าและตัวตนแห่งเต๋าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง สหายเต๋า เจ้ามองหาคนผิดแล้ว
ข้ายอมตายดีกว่าจะบอกว่า ปรมาจารย์ผู้นั้นคือใคร สหายเต๋า ไยเจ้าจึงไม่ปล่อยวางความกังวลของเจ้า และมุ่งเน้นไปที่เต๋าอายุยืน … ”
………………………………………………………………..