บทที่ 676 แม้ข้าจะเป็นเพียงเซียนจั๋ว… (3)
“นักพรตเต๋า เจ้าอย่าเอ่ยอันใดอีกเลย”
เสี่ยวหลานค่อยๆ ถอยหลังออกไปครึ่งก้าว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน
“หัวใจของเสี่ยวหลานสับสนเล็กน้อย ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก”
ในขณะนั้น ฉีหยวนก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้จิ้งจอกสาวอย่างสุดซึ้ง
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เรื่องนี้ ย่อมทำให้สหายเต๋า สับสนอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้” ฉีหยวนกล่าว
“จากนี้ไป หากสหายเต๋าไม่รังเกียจ ข้ายังเป็นสหายของสหายเต๋า แต่โปรดอย่าเก็บงำความคิดใดๆ ในเรื่องการแต่งงานและการเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า
ประการแรก เป็นเพราะไม่เหมาะสม
ประการที่สอง เป็นเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ
ประการที่สาม เพราะมันเป็นของปลอม
ข้าจะ… สหายเต๋า ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด หากข้าทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองใจในทางใดทางหนึ่ง”
ดวงตาของเสี่ยวหลานเป็นสีแดงเล็กน้อยในขณะที่นางกล่าวเสียงต่ำว่า “วันนี้ เสี่ยวหลานขออำลาไปก่อน ไว้เมื่อมีความคิดกระจ่างชัดเจนแล้ว ก็จะ… ให้คำตอบแก่นักพรตเต๋าอย่างแน่นอน”
ฉีหยวนลุกขึ้นยืน เขายิ้มอย่างอบอุ่น และพยักหน้าช้าๆ
จิ้งจอกสาวเสี่ยวหลานก้มศีรษะลงและหันกลับไป นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวด้วยความงุนงงก่อนจะหยุด แล้วหันกลับมามองฉีหยวน
จากนั้น นางก็ขี่เมฆบินไปในสายพิรุณโปรยปราย ทำให้ชุดของนางเปียกโชกและนางก็ค่อยๆ บินจากไป
ฉีหยวนจัดโต๊ะเตี้ยตรงหน้าเขา และหยิบถุงเก็บสมบัติใบใหม่ออกมา จากนั้นเขาก็เก็บสิ่งของเหล่านั้นและแขวนเอาไว้บนกิ่งไม้
จากนั้น ก็ดูเหมือนว่า นักพรตเต๋าชราจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขามองไปรอบๆ แล้วทำหน้านิ่งๆ พลางกล่าว
“ออกมา”
หลี่ฉางโซ่วบีบตัวออกมาจากลำต้นของต้นไม้ห่างออกไปสิบจั้ง เขายิ้มให้อาจารย์เล็กน้อย และชูนิ้วโป้งให้
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ชื่นชมท่านยิ่งนัก ต่อหน้าสาวงาม ท่านช่างใจกว้างจริงๆ!”
“เจ้าแอบดูอยู่จริงๆ!”
ฉีหยวนอยากจะตำหนิเขาด้วยทำหน้านิ่งๆ ท่าทางเข้มงวดดุดัน แต่เขากลับรู้สึกถูกหลี่ฉางโซ่วขบขัน
เขายิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้า… ช่างเถิด ตามข้ามา”
“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วรับคำและกระโดดลงไปที่ด้านข้างของท่านอาจารย์ ของเขา
ทว่าเมื่อเขาเห็นว่า ท่านอาจารย์ ของเขาดึงแส้หางม้าออกมา เขาก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว
สายพิรุณโปรยปรายและข่ายอาคมที่สร้างจากพลังเซียนก็สว่างวาบด้วยแสงบางเบา
หลี่ฉางโซ่วเดินตามท่านอาจารย์ของเขาไปและรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่อีกโลกหนึ่ง[1]อย่างอธิบายไม่ได้
“ฉางโซ่ว”
“เอ่อ ศิษย์อยู่นี่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วหยุดคิดฟุ้งซ่านแล้วตอบพร้อมกับก้มหน้าลง
ฉีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ายังลังเล
หลังจากลังเลเล็กน้อย จากนั้น เขาก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้ารู้ว่า เจ้ามีพลังธรรมและพลังเวทที่น่าทึ่ง มีความสามารถที่โดดเด่น เจ้ากำลังทำงานให้กับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเรา และเจ้าก็ยังมีอำนาจขนาดฝ่ามือเดียวปิดฟ้า[2]ในศาลสวรรค์ได้อีกด้วย”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน
เป็นคำที่ดีหรือไม่?
นี่กำลังชมและยกย่องศิษย์ของตัวเองอยู่หรือไม่!?!
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ อย่าลืมนำหินหยกนั้นมาด้วยขอรับ”
“ข้าเอามันมาด้วย”
ฉีหยวนเปิดแขนเสื้อของเขาและผูกยันต์หยกที่ปิดกั้นการสำรวจจิตใจเอาไว้ที่แขนของเขา
ฉีหยวนยิ้มและกล่าวว่า “เรื่องนี้สำคัญ เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้าเช่นนี้ ข้าจะลืมได้อย่างไร
ทว่าฉางโซ่ว มีบางอย่าง…ช่างเถิด ข้าอาจจะคิดผิด”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเพียงสั่งสอนบทเรียนให้ศิษย์ หากท่านต้องการ ศิษย์ย่อมเชื่อฟังขอรับ”
“เฮ้อ” ฉีหยวนถอนหายใจและกล่าวว่า “ในฐานะอาจารย์ ข้าเพียงรู้สึกว่า ระดับฐานพลังและขอบเขตของข้าด้อยกว่าเจ้ามากนัก ข้าเกรงว่า ข้าอาจพูดอะไรผิดไปและส่งผลกระทบต่อหัวใจเต๋าและการฝึกบำเพ็ญของเจ้า ศิษย์ข้า”
“ศิษย์อยู่นี่แล้วขอรับ”
ฉีหยวนกล่าวช้าๆ ว่า “ระดับฐานพลังของเจ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และอำนาจในมือของเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
เจ้าสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ได้ตามต้องการ เป็นเพราะเช่นนี้หรือไม่ที่ทำให้เจ้าค่อยๆ สูญเสียความเคารพต่อผู้อื่น?”
หลี่ฉางโซ่วตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ฉีหยวนกล่าวต่อว่า “หากเจ้าได้ชี้แจงให้สหายเต๋าหลานฟังเสียตั้งแต่แรก มันย่อมจะช่วยให้นางไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีไม่ใช่หรือ? แล้วมันจะไม่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรอกหรือ?
การเป็นอาจารย์ไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลย บางทีอาจเป็นเพราะระดับฐานพลังของอาจารย์ต่ำเกินไป จึงรู้สึกเช่นนี้…
ฉางโซ่ว เจ้าตัดสินใจเรื่องชีวิตและความตายของผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่?
เจ้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ?
กรรมและสังสารวัฏ หนึ่งกิน หนึ่งดื่ม[3] หากเจ้าไม่ใส่ใจในกรรมนี้ ข้าก็เกรงว่า มันจะทำให้เจ้าได้รับอันตรายที่ซ่อนอยู่
ครั้งหนึ่ง ข้าเคยได้ยินการบรรยายของเซียนเทียนที่ล่วงลับไปแล้วในสำนักที่อาจารย์ลุงสอนว่า อย่ารังแกผู้อ่อนแอและอย่าได้กลัวผู้แข็งแกร่งกว่า เมื่อนั้นพวกเราจะเป็นเซียนของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“ท่านอาจารย์… ศิษย์ไม่…”
“ฉางโซ่ว”
ฉีหยวนมองไปที่หลี่ฉางโซ่วและตบไหล่ของเขา
“ข้าไม่อาจสอนการฝึกบำเพ็ญให้แก่เจ้าได้อีกต่อไปแล้ว ข้าไม่รู้หลักการมากเท่าเจ้า ทว่าข้าก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหลาน
เมื่อก่อน ข้ากังวลมากที่สุดว่า เจ้าจะหลงเดินผิดทาง แต่ในฐานะอาจารย์ ข้าก็รู้สึกเสมอว่า เจ้ามีความซื่อตรงเที่ยงธรรมอยู่ลึกๆ ในใจ เพียงแต่เจ้าไม่กล้าแสดงออกและคุ้นเคยกับความปลอดภัย
เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าถึงพาหลิงเอ๋อร์กลับไปที่ภูเขาในตอนนั้น?”
หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ศิษย์ไม่รู้ขอรับ”
“เดิมทีข้าคิดว่า หลิงเอ๋อร์มีชีวิตชีวา และข้าอยากให้นางมีอิทธิพลต่อเจ้ามากกว่านี้ ไม่นึกเลยว่านางจะมีศักยภาพโดดเด่นเพียงนี้…
ทว่าดูจากรูปการณ์ในตอนนี้แล้ว อาจารย์คิดมากไปจริงๆ ในตอนนั้น
หากเจ้าคิดถึงสหายเต๋าหลานอย่างรอบคอบ และมันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคต มันย่อมจะดีที่สุด”
ฉีหยวนสะบัดแส้หางม้าและกวาดไปที่แขนของหลี่ฉางโซ่ว
“นี่ถือเป็นการลงโทษสำหรับเจ้าในเรื่องนี้
เฮ้อ จากนี้ไป เจ้าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในศาลสวรรค์ ข้าย่อมไม่อาจสอนบทเรียนให้เจ้าตามอำเภอใจในฐานะอาจารย์ได้”
นักพรตเต๋าเฒ่าฉีหยวนเผยสีหน้าค่อนข้างเสียใจและหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สร้างเมฆขึ้นมาและมุ่งหน้าตรงไปยังสำนักทันที
เขารู้สึกค่อนข้างสบายใจ
“เคารพ…กรรมและสังสารวัฏ…”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองและยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
ในช่วงเวลาหนึ่งนั้น เมฆดำบนท้องฟ้าก็กระจายตัวออกไป และหยาดฝนโปรยปรายก็ค่อยๆ หยุดลง
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วในป่า สายลมโชยกลิ่นหอมแห่งมวลบุปผา ลำแสงของแสงแดดสาดส่องผ่านช่องว่างในป่าให้สว่างไสว
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ และสายลมเย็นๆ
“มีอันใดผิดไปหรือ? หรือว่า เจ้าถูกอาจารย์ที่น่านับถืออบรมสั่งสอนหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วหันกลับมามองต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาเห็นลำแสงยาวหนึ่งฉื่อ แล้วตามด้วยเทพธิดาผู้นั้นกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นไม้
………………………………………………………………..
[1] ช่วงเวลาที่รู้สึกยาวนานคล้ายดั่งผ่านไปอีกชาติหนึ่ง หรือคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว
[2] อาศัยอิทธิพล หรือเล่ห์เหลี่ยมปิดบังความจริงทุกสิ่งได้
[3] โชคชะตาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครได้รับสิ่งที่โชคชะตาปฏิเสธไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม