พระชายาไท่จื่อส่งผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นคือส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์รัชทายาท ฉะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเฝ้าติดตามข่าวลือที่แพร่สะพัดที่นอกวังหลวงอย่างใกล้ชิด
เดิมทีเขาตั้งใจสั่งให้หันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินพาหลูฉูฉู่กลับไปส่งเพื่อสยบข่าวลือดังกล่าว ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นจวิ้นจู่ตัวจริงหรือตัวปลอม การยอมรับผิดเพียงประโยคเดียวก็จะสามารถทำให้ราษฎรกลับสู่ความสงบ
ในเมืองหลวงมีข่าวลือมากมาย ไม่นานชาวบ้านก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปเอง
ผู้ใดจะคาดคิดว่าเมื่อทูตเป่ยฉีที่ประจำอยู่ที่ต้าโจวได้ยินข่าวนี้จะรีบแจ้นมายืนยันตัวตน คุกเข่าลงร่ำไห้ต่อหน้าหลูฉูฉู่ ซึ่งถือเป็นการยืนยันขั้นสุดท้ายว่านางคือเป่ยฉีจวิ้นจู่ตัวจริง
ในเมื่อเรื่องดำเนินไปเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำได้เพียงยอมรับ อีกทั้งยังต้องตอบรับคำขอของทูตเป่ยฉีด้วย กล่าวคือ ขอให้ต้าโจวจัดกองกำลังคุ้มครองฉี่หลัวจวิ้นจู่ให้เดินทางไปถึงเป่ยฉีโดยสวัสดิภาพ
ในแง่ของความแข็งแกร่ง ต้าโจวย่อมมีชัยเหนือกว่า แต่ถึงกระนั้นคนเป่ยฉีก็เชี่ยวชาญในศาสตร์การรบไม่น้อย ดังนั้นหากเกิดการปะทะ ต้าโจวจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกทั้งยังต้องสูญทุนทรัพย์มหาศาล
โชคดีที่สองปีที่ผ่านมา แม้ทั้งสองประเทศจะมีการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับไม่เคยแผ่ขยายเป็นสงครามใหญ่โตเลยสักครั้ง ต้าโจวถึงได้มีกองกำลังเพียงพอที่จะรับมือกับหนานหลาน
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่ต้องการจุดชนวนความขัดแย้งกับเป่ยฉี หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจส่งเจียงจั้นไปคุ้มกันกองขบวนฉี่หลัวจวิ้นจู่ มันฝรั่งร้อนนี้จะผ่านพ้นไปมือเสียที
แม้กองขบวนคุ้มกันฉี่หลัวจวิ้นจู่จะไม่มีการชักธงแสดงสถานะ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาแหลมคมของชาวเมืองได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้จึงแพร่กระจายไปได้ไกลกว่าเดิม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนไม่ทันสังเกตคือ ป้าซิ่วซึ่งผู้ดูแลร้านหลักของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงได้ส่งหนังสือร้องทุกข์ไปถึงศาลาว่าการพระนคร
คำร้องนั้นดูแปลกอย่างไรชอบกล มีใจความว่า มีคนจงใจปล่อยข่าว กล่าวหาโดยมีเจตนาแอบแฝงเป็นเหตุให้ชื่อเสียงเจ้าของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงเสื่อมเสีย ส่งผลร้ายแรงถึงขั้นต้องปิดกิจการ
แต่ทว่าคำร้องทุกข์นั้นไม่มีจำเลย
เป็นเพียงหนังสือร้องทุกข์ธรรมดา แต่เมื่อเจินซื่อเฉิงผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครได้รับหนังสือนั้นแล้ว เขาก็ยังดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง
เวลาหนึ่งเดือนล่วงเลยไปในชั่วพริบตาเดียว ฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นในเดือนสามแวะเวียนมาถึง แม้แต่การสอบชุนเหว่ยที่จัดขึ้นทุกๆ สามปียังเสร็จสิ้นไปแล้ว
ตามหลักแล้วสิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดในขณะนี้คือจ้วงหยวนจะเดินไปตามถนนหนใด ทั่นฮวา[1]จะพับกระดาษเป็นรูปบุปผาใด หรือบ้างก็ถกกันเรื่อง คุณชายใหญ่จวนตงผิงปั๋วที่ร่ำสุราจนเต็มคราบ ตกจากหลังม้าขาหักระหว่างทางกลับจากงานเลี้ยงมงคลฉยงหลิน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลร้ายโดยตรงต่อหน้าที่การงานในอนาคต
แต่ส่วนข่าวลือของพระชายาไท่จื่อนอกจากยังไม่จางหายแล้วยังทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
ข้อหาแรกคือ พระชายาไท่จื่อสมคบคิดกับไส้ศึกเป่ยฉี ข้อหาที่สองคือ พระชายาไท่จื่อเคยถูกถอนหมั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้มีอีกข้อหาเพิ่มเข้ามาคือ มีข่าวลือว่าเหตุการณ์ภัยแล้งในหลายพื้นที่รวมถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อปีกลายลากยาวมาจนถึงบัดนี้เป็นสัญญาณว่า สวรรค์ไม่ยอมรับพระชายาไท่จื่อ
ครั้นเจียงซื่อได้ยินคำกล่าวนี้นางรู้สึกขันยิ่งนัก
อาหมานกระทืบเท้าตะบึงตะบอน “เหนียงเหนียงยังทรงยิ้มได้หรือเพคะ เป็นเพราะอยู่ในวัง ไม่สะดวกแก่การออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นบ่าวคงจะออกไปฉีกปากเจ้าคนพวกนั้น!”
เจียงซื่อเหลือบมองไปที่สาวรับใช้พลางเอ่ยเสียงเรียบ “สองมือของเจ้าจะฉีกปากคนทั้งอาณาจักรไหวหรือ”
“มิอย่างนั้นจะให้ทำอย่างไรล่ะเพคะ จะปล่อยให้คนพวกนั้นทำให้เหนียงเหนียงเสื่อมเสียพระเกียรติต่อไปเรื่อยๆ หรือเพคะ บ่าวได้ยินมาว่า แม้แต่ในราชสำนักฝ่ายตรวจการเริ่มออกมาลงมติไม่ไว้วางใจพระองค์แล้วนะเพคะ…”
“เจ้านี่ข่าวไวเหลือเกิน เอาเถอะ นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล อย่าอารมณ์เสียไปเลย”
เมื่อเจียงซื่อมีท่าทีเช่นนั้น อาหมานก็จนใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้ากับคำทัดทานและความบิดพลิ้วของเหล่าขุนนางเต็มทน
เขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร นี่เป็นปัญหาที่องค์รัชทายาทก่อไว้นานแล้ว
ในตอนที่เขาออกราชโองการ ขุนนางไม่พอใจ ทว่าไม่กล้าขัด ยิ่งหลังจากที่ไท่จื่อรอดพ้นเหตุการณ์สุริยุปราคาไปได้ ยิ่งทำให้คนอื่นๆ เชื่อว่านี่คงเป็นลิขิตจากสวรรค์
แต่การไม่คัดค้านมิได้แปลว่าเห็นด้วย
จวบจนบัดนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับพระชายาไท่จื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายกับการลับมีดให้คมขึ้น
จริงอยู่ที่พวกเขาไม่อาจพุ่งมีดไปที่ไท่จื่อในขณะนี้ แต่หากเป็นพระชายาเล่า
อีกอย่าง ไท่จื่อก็ยังหนุ่มยังแน่น ฝ่าบาทเองก็จัดการองค์ชายองค์อื่นๆ จนสิ้นลาย เหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่คน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งไท่จื่อมั่นคงเพียงใด หากกำจัดพระชายาไท่จื่อ บุตรีและหลานสาวในตระกูลก็จะได้รับโอกาส
เมื่อคิดตกเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็ยิ่งรุกหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร สดับฟังเหล่าผู้ตรวจการพ่นน้ำลายใส่ความพระชายาไท่จื่อจวนจะหลับอยู่รอมร่อ
หลายวันมานี้นั่งฟังวาจาเยิ่นเย้อไร้สาระจนหูชาไปหมดแล้ว
มิใช่ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่รู้สึกโกรธ
พระชายาไท่จื่อสมคบคิดกับไส้ศึกเป่ยฉีอย่างนั้นรึ
หากจะให้กล่าวตามจริง ฉี่หลัวจวิ้นจู่เป็นพวกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหากเป่ยฉีส่งนางมาเป็นสายสืบจริง ประเทศคงล่มจมไปนานแล้ว
นอกจากนี้เจ้าคนพวกนี้ยังขุดคุ้ยเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างการถอนหมั้นของพระชายาไท่จื่อขึ้นมาให้เขารำคาญใจ ไอ้คนปัญญานิ่มนี่ลืมไปแล้วหรือว่า ตอนพิธีสมรสของเจ้าเจ็ดขณะที่ยังเป็นเยี่ยนอ๋อง เขาเป็นคนพยักหน้าตอบตกลง?
หรือว่าเจ้าคนพวกนี้คิดว่าตอนนั้นเขาไม่ทราบเรื่องถอนหมั้นของพระชายาไท่จื่องั้นหรือ
การยกเรื่องงานสมรสที่เขาเป็นผู้อนุมัติมากล่าวตอนนี้เป็นการพุ่งเป้าไปที่พระชายาไท่จื่อที่ไหนกัน เป็นการตบหน้าเขาต่างหากเล่า!
ยิ่งอ้างเรื่องภัยแล้งยิ่งน่าขันสิ้นดี พูดอย่างกับว่าปีอื่นๆ มีฝนตกต้องตามฤดูกาลอย่างนั้นแหละ ก็แค่ป้ายความผิดโดยไม่ให้โอกาสแก้ตัวก็เท่านั้น
เมื่อผู้ตรวจการคนที่สามก้าวเท้าออกมากล่าวข้อหาที่มีต่อพระชายาไท่จื่อ จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรก “พระชายาไท่จื่อเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ จะไปสมคบคิดกับไส้ศึกเป่ยฉีได้อย่างไร อ้ายชิงทั้งหลายคงคิดมากไปเอง…”
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผู้ตรวจการผู้นั้นจะเป็นพวกใจร้อน เขาไม่รอให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยจบก็วิ่งพุ่งชนเสา
และที่ไม่คาดคิดกว่านั้นคือ คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างผู้ตรวจการคนนั้นจะยืนนิ่ง ไม่มีใครรั้งตัวเขาไว้เลย ศีรษะของเขากระแทกเสาเต็มแรงจนเลือดอาบ และเสียชีวิตในท้ายที่สุด
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่สามารถปล่อยเรื่องพระชายาไท่จื่อให้จบลงเฉยๆ ได้อีกแล้ว
ถึงบัดนี้ ไม่สำคัญอีกแล้วว่าพระชายาไท่จื่อจะสมคบคิดกับไส้ศึกเป่ยฉีหรือไม่
วาจาของคนส่วนใหญ่หลอมละลายทองได้ฉันใด วาจาของคนก็เปลี่ยนความจริงได้ฉันนั้น หากเสียงส่วนใหญ่บอกว่ามีความผิด คนผู้นั้นก็มีความผิด หากเสียงส่วนใหญ่บอกว่าเป็นเหตุให้เกิดความแห้งแล้งทั่วแผ่นดิน คนผู้นั้นก็คือตัวการที่ทำให้เกิดภัยแล้งทั่วแผ่นดิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนพื้น ดึงหน้าถมึงทึงแล้วเดินจากไป
ข่าวลือเรื่องผู้ตรวจการวิ่งชนเสาเสียชีวิตเนื่องจากลงมติไม่ไว้วางใจพระชายาไท่จื่อกระจายออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
ตำหนักฉือหนิงส่งคนมาเชิญจิ่งหมิงฮ่องเต้ให้เสด็จไป
ทันทีที่เห็นไทเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามเก็บซ่อนความกลัดกลุ้มใจไว้และฝืนยิ้มออกมา “เสด็จแม่เรียกหาลูกมีธุระอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เบื้องหน้าไทเฮามีถ้วยชาใบหนึ่งวางอยู่ ไอร้อนพวยพุ่งออกจากปากถ้วย
นางยกถ้วยชาขึ้นพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าได้ยินว่าผู้ตรวจการที่กล่าวหาพระชายาไท่จื่อวิ่งชนเสาเสียชีวิต…”
“เสด็จแม่ทรงทราบด้วยหรือ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกคับข้องใจเกินจะกล่าว
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ ขุนนางพวกนั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพียงเพราะเห็นแก่ความถูกต้องจริงๆ งั้นหรือ
หึๆ ก็แค่เหยียบย่ำจักรพรรดิเพื่อจะได้รับการยกย่องก็เท่านั้น
น่าโมโหยิ่งนัก ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว แล้วเขาจะทำอะไรได้ หากเขาลงโทษครอบครัวของคนผู้นั้น เขาจะถูกเรียกว่าเป็นทรราชทันที
แววตาของไทเฮาขับประกาย “เรื่องของพระชายาไท่จื่ออื้อฉาวปานนั้น ข้าเองก็มิใช่คนหูหนวก จะไม่ได้ยินได้อย่างไรล่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจ “ลูกทำให้เสด็จแม่ต้องกังวลพระทัยอีกแล้ว”
ไทเฮาจิบชา กล่าวเอ่ยเนิบนาบ “ข้ากังวลใจหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือฝ่าบาทจะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ตอบ ไทเฮาจึงวางถ้วยชาลง พลางปลดปล่อยความรู้สึกออกมา “ฝ่าบาทเพิ่งจะเลือกองค์รัชทายาทได้ไม่นาน พระชายาไท่จื่อกลับก่อเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ การห้ามปากประชาชนยากยิ่งกว่าการห้ามกระแสน้ำ เกรงว่าการจะหยุดข้อครหาทั่วใต้หล้าคงเป็นงานยากยิ่ง ฝ่าบาทจะทรงจัดการเช่นไร ลองไตร่ตรองดูเถิด”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ออกจากตำหนักฉือหนิงไปพร้อมความรู้สึกหนักอึ้ง
[1] ทั่นฮวา คือ บัณฑิตจิ้นซื่อที่สอบได้ลำดับที่สาม