ดิมทีโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาในเมืองหลวงคึกคักอยู่เป็นนิตย์ เพราะเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การแลกเปลี่ยนข่าวสาร
หญิงชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของเพิงร้านน้ำชาข้างทาง สดับรับฟังเรื่องสัพเพเหระของลูกค้าในร้าน
ลูกค้าที่เข้ามาดื่มชาในเพิงน้ำชามิใช่คนฐานะดี แต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ดังนั้นบทสนทนาจึงตรงไปตรงมา ไร้การปรุงแต่ง
“เอ๋ๆ จนถึงบัดนี้แล้วยังไร้วี่แววฝน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมล็ดพันธุ์ธัญญาหารคงแห้งตายกันพอดี เลิกคิดเรื่องผลผลิตไปได้เลย”
“จริงด้วย ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีคนหิวโซอดตายอีกตั้งเท่าไหร่ น่าอนาถเหลือเกิน!”
“พวกเจ้าได้ยินหรือยังว่า ต้นเหตุของภัยแล้งทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากพระชายาไท่จื่อ…”
หญิงชราหูผึ่งทันใด
มีเสียงเย้ยหยันจากหลายคน “มีใครไม่เคยได้ยินเรื่องนี้บ้างเล่า เพียงแต่ผู้นั้นคือพระชายาไท่จื่อผู้สูงส่ง ชาวบ้านอย่างพวกเราจะทำอะไรได้”
“พวกเราทำอะไรไม่ได้ แล้วบรรดาผู้สูงศักดิ์จะช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ คงมิใช่ว่าจะปล่อยให้ราษฎรตาดำๆ ต้องทนทุกข์เพียงเพราะสตรีคนเดียวใช่หรือไม่”
……
หญิงชราวางเหรียญทองแดงสองเหรียญไว้ที่โต๊ะและจากไปพร้อมใบหน้านิ่งเฉย
ข่าวลือยังคุกรุ่นมาจนถึงบัดนี้ หนำซ้ำยังเชื่อมโยงมาถึงความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์ การจะขจัดข่าวลือคงมิใช่เรื่องง่าย ชะรอยสถานะของพระชายาไท่จื่อคงยืนหยัดได้อีกไม่นาน
……
เมื่อไม่นานมานี้จวนตงผิงปั๋วเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังได้รับเกียรติมากมาย เป็นที่อิจฉาตาร้อนของใครหลายคน แต่เมื่อมาถึงวันนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับพระชายาไท่จื่อ อีกทั้งหน้าที่การงานของหลานชายคนโตก็ย่อยยับป่นปี้เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ความบั่นทอนจิตใจส่งผลให้เฝิงเหล่าฮูหยินล้มป่วย
เจียงซื่อใช้โอกาสนี้ขออนุญาตฮองเฮากลับไปเยี่ยมย่าของนางที่จวนตงผิงปั๋ว
ฮองเฮาถอนหายใจ “การไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเป็นการแสดงความกตัญญูที่พึงกระทำ เพียงแต่เจ้าก็เห็นว่ายามนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉะนั้นการจะออกจากวังหลวง เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”
“ขอเสด็จแม่โปรดวางพระทัย ลูกเข้าใจแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”
เจียงซื่อถอยออกไป
ฮองเฮาขยับมุมปากก่อนจะขานเรียก “พระชายาไท่จื่อ”
เจียงซื่อย่อเข่าเล็กน้อยภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง “เสด็จแม่มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ”
ฮองเฮาส่งยิ้ม “เปล่าหรอก ข้าเพียงแต่จะบอกว่าเจ้าอย่าได้กดดันตัวเองนักเลย เสด็จพ่อของเจ้าไม่มีทางหวั่นไหวเพียงเพราะคำโป้ปดเหล่านั้น สุดท้ายเรื่องร้ายเหล่านี้จะผ่านไป”
ในวังหลวงที่เป็นเสมือนวังวนน้ำลึกแห่งนี้ มีใครบ้างที่ไม่เคยประสบพบเจอเรื่องร้าย เพียงแต่นางเชื่อมั่นว่าคลื่นเหล่านี้ไม่อาจล้มพระชายาไท่จื่อได้
เจียงซื่ออบอุ่นไปทั้งใจ “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงปลอบโยนเพคะ”
เมื่อออกมาจากวังหลวง เจียงซื่อไปเยี่ยมเฝิงเหล่าฮูหยินแล้วจึงไปพบกับหญิงชราตามแผนที่วางไว้
หญิงชราพิศมองใบหน้าของนางพลางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ข้าคาดไว้แต่แรกแล้วว่าบางทีเจ้าอาจจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงของเผ่าอูเหมียว เพียงแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่า เหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มาโผล่ที่ต้าโจว แต่เมื่อข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีสายเลือดของอูเหมียว ทุกสิ่งก็กระจ่างชัดขึ้นทันที ในที่สุดอูเหมียวก็มีสตรีศักดิ์สิทธิ์เสียที”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกได้อีกต่อไป
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เจียงซื่อจะเคยรับปากว่าจะปรากฏตัวในนามสตรีศักดิ์สิทธิ์บ้างเป็นครั้งคราว แต่นั่นก็เพื่อผลประโยชน์ที่ตกลงร่วมกัน ถือเป็นความร่วมมือ ซึ่งต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง
เจียงซื่อมีสายเลือดของอูเหมียว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเผ่าอูเหมียวยังไม่ถึงคราวอวสาน และตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังคงสืบทอดต่อไป
อาจกล่าวได้ว่า บัดนี้หัวหน้าผู้อาวุโสวางใจสงบได้แล้ว
“ข้าไม่คิดว่าท่านหัวหน้าผู้อาวุโสจะมาที่นี่ด้วยตนเอง”
“เรื่องสำคัญปานนี้ ข้าจำเป็นต้องมาเอง เพียงแต่ต้องจัดการธุระในเผ่าให้เรียบร้อยก่อน เวลาถึงได้ล่วงเลยไปเช่นนี้”
เจียงซื่อถือถ้วยที่มีน้ำชาใสแจ๋ว พลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสคงได้ยินข่าวที่ชาวเมืองลือกันมาบ้างแล้ว?”
สีหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเล็กน้อย หญิงชราพยักหน้าแช่มช้า
“ไทเฮาหมายจะกำจัดข้าให้จมดิน ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าผู้อาวุโสมีแผนจัดการกับหมากตัวนี้อย่างไร”
แววตาหัวหน้าผู้อาวุโสฉายแววลุ่มลึก นางขมวดคิ้วพลางถาม “สตรีศักดิ์สิทธิ์แน่ใจหรือว่านี่คือฝีมือของนาง”
เจียงซื่อผุดหัวเราะ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หัวหน้าผู้อาวุโสยังหวังในตัวนางอยู่อีกหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสถูกหัวเราะเยาะจนเริ่มวางตัวไม่ถูก นางลูบแหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มือ และท่าทีของนางก็เย็นเยียบ นางเอ่ยแน่วแน่ “ในเมื่อหมากตัวนี้กล้าทำร้ายสตรีศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าต้องกำจัดทิ้ง”
เจียงซื่อเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะถามสิ่งที่สงสัย “หมากตัวสำคัญ ยิ่งปล่อยไว้นาน ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสยิ่งสูญเสียการควบคุมิใช่หรือ”
“นางเคยสาบานต่อหน้าเทพ สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่อูเหมียว อาจไม่ทราบว่าการกล่าวสัตย์สาบานต่อหน้าเทพมีความหมายกับชาวอูเหมียวอย่างไร”
เจียงซื่อมิได้ตอบ
เมื่อชาติที่แล้ว นางใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าอูเหมียวนานหลายปี นางทราบดีว่าชาวอูเหมียวอุทิศถวายตัวเพื่อองค์เทพอย่างไร และผูกมัดความศรัทธานั้นไว้อย่างเหนียวแน่นเพียงใด
ยกตัวอย่างเช่น หากชนต่างชาติเอ่ยวาจาดูหมิ่นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขาจะถูกชาวอูเหมียวที่โกรธแค้นทุบตีจนตาย แต่ถ้าหากชนต่างชาติกล่าวร้ายต่อไท่จื่อแห่งต้าโจว ราษฎรของต้าโจวจะทำเป็นหูทวนลม
ที่แผ่นดินอูเหมียว สตรีศักดิ์สิทธิ์และหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นตัวแทนของเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นแล้วคนเหล่านี้ศรัทธาต่อเทพเพียงใดจึงไม่จำเป็นต้องไถ่ถาม
หัวหน้าผู้อาวุโสถอนหายใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าช่วงเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ นางจะลืมสัจจะที่ให้ไว้กับองค์เทพไปสิ้น”
จู่ๆ เจียงซื่อก็รู้สึกว่าหัวหน้าผู้อาวุโสออกจะไร้เดียงสา
ความไร้เดียงสาที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับวิธีการปลูกฝังเลี้ยงดูสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียว
เด็กหญิงที่มีพรสวรรค์ติดตัวตั้งแต่เกิดจะถูกคัดเลือกให้ฝึกฝนอย่างหนัก หนึ่งคนที่โดดเด่นที่สุดจะถูกเลือกให้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่นั้น ผู้คนจะเคารพสรรเสริญ และเมื่อนางเติบโตขึ้นเป็นหัวหน้าผู้อาวุโส คำสั่งของนางจะมีสิทธิ์ขาดโดยสมบูรณ์ นั่นหมายความว่านางจะเป็นผู้กุมชะตาคนทั้งเผ่า
แม้จะมีลูกเล่นแพรวพราว แต่ถึงกระนั้นหากเทียบกับผู้ปกครองต้าโจวที่เติบโตมาท่ามกลางการรบราฆ่าฟันยังถือว่าเป็นรองอยู่มาก
“ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสุขสบายมานานหลายสิบปี มิต้องพูดถึงเลยว่าต้าโจวมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด ” เจียงซื่อกล่าวเสียงเรียบ
สีหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปพร้อมเอ่ยอย่างถอนใจ “นอกจากนี้ เดิมทีในร่างของนางมีหนอนพิษกู่ แต่ได้ยินผู้อาวุโสฮวาเล่าว่าไม่ทราบว่าหนอนพิษกู่นั้นหายไปจากร่างของนางตั้งแต่เมื่อใด…”
แววตาของเจียงซื่อขับประกายเล็กน้อย
หรือว่าท่านหัวผู้อาวุโสกำลังจะบอกว่าหนอนพิษกู่ในร่างไทเฮาที่ว่าคือกู่สัมพันธ์แม่ลูก ซึ่งกู่นั้นนางเป็นคนกำจัดออกไปเอง…
แต่ตอนนั้นนางจำได้ว่ากู่สัมพันธ์แม่ลูกที่อยู่ในร่างไทเฮามีอายุเพียงไม่นาน ไม่น่าจะถึงสิบปี
“หากจะบอกเช่นนี้ก็หมายความว่าไม่มีวิธีกำจัดอย่างนั้นหรือ” เจียงซื่อส่งคำถามกลับไป
ตามกฎแล้วเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้
แต่เจียงซื่อทราบดีว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายปานนั้น นางรู้ว่าถึงอย่างไรอูเหมียวก็จะไม่เอาตัวเองเข้ามายุ่ง
“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
“ล้างหูรอฟัง”
ครั้นฟังหัวหน้าผู้อาวุโสว่าจบ เจียงซื่อก็ลังเลอยู่พักใหญ่ “หากทำเช่นนั้น เกรงว่าผู้อาวุโสฮวาคงจะ…”
หัวหน้าผุ้อาวุโสกล่าวด้วยใบหน้าไม่สื่ออารมณ์ “การได้ปัดเป่าภยันตรายให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเกียรติของชีวิตผู้อาวุโสฮวาแล้ว ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสฮวาไม่คิดเสียดายชีวิตอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อดึงมุมปาก
นางรู้ดีว่าชาวอูเหมียวอุทิศตัวถวายวิญญาณให้แก่สตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงอย่างไรนางก็มิได้สืบเชื้อสายชาวอูเหมียวโดยตรง นางไม่อาจแก้ปัญหาโดยไม่สนใจชีวิตของผู้คน
“หากไม่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่มีวิธีอื่น” หัวหน้าผู้อาวุโสเห็นว่าเจียงซื่อติดจะลังเล นางจึงเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจียงซื่อถึงลังเลใจเพียงเพราะชีวิตผู้อาวุโสฮวา แต่ถึงกระนั้นในใจของนางกลับรู้สึกเบาสบาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ใส่ใจชีวิตของชาวอูเหมียว นางคงวางใจได้แล้วสินะ
ในที่สุดเจียงซื่อก็พยักหน้า “เอาตามนั้นก็แล้วกัน ข้าจะพยายามรักษาชีวิตของผู้อาวุโสฮวาอย่างสุดความสามารถ แต่หากนางมีอันเป็นไป ข้าก็จะรับหลานสาวของนางมาดูแล”
หลังฉากกลั้นลม ผู้อาวุโสฮวาได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลรินเงียบงัน
สละชีวิตเพื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ต้องตายก็ไม่คิดเสียดาย ยิ่งได้ยินสตรีศักดิ์เอ่ยเช่นนั้น นางก็ไม่มีเรื่องใดต้องกังวลอีกแล้ว
“จากที่ข้าเห็น สถานการณ์ตอนนี้เป็นภัยต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ฉะนั้นแล้วควรจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เจียงซื่อหัวเราะเพราะมิเห็นความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น “ไม่ต้องรีบ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ปัญหาตอนนี้ข้ายังพอรับมือได้”