บทที่ 636 เจียวเจียวมาแล้ว
กู้เจียวขึ้นรถม้าของซูเสวี่ย
สารถีที่เห็นว่าคุณหนูพาชายแปลกหน้าขึ้นรถจึงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “คุณหนูขอรับ แบบนี้อาจไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก หากใต้เท้ากับฮูหยินรู้เข้าคุณหนูอาจถูกทำโทษนะขอรับ”
ซูเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็สวนกลับอย่างไร้เยื่อใย “หากข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด พวกเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่า เจ้าคิดจะหักหลังข้าแล้วเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพวกเขา ข้าขอเตือนไว้เลยนะ หากเจ้าคิดทำอะไรลับหลังข้า ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ที่จวนซูไม่ได้อีกเลย!”
สารถีรีบแก้ตัว “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ คุณหนูวางใจเถิด ข้าน้อยรับรองจะไม่พูดอะไรออกไปอย่างเด็ดขาดขอรับ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” เด็กสาวเลิกคิ้วด้วยความพึงพอใจ มองดูม่านที่ปิดอยู่ ยิ้มอย่างรู้เท่าทันแล้วเดินถือกระโปรงขึ้นรถม้าไป
ซูเสวี่ยวันนี้มาในชุดกระโปรงยาวสีขาวตัดกับสีชมพูเข้ารูปเผยให้เห็นทรวดทรงเอวบางอรชร แม้จะมีผ้าคลุมหน้าบังอยู่แต่ก็มิอาจบดบางดวงตากลมโตและส่องประกายวาววับคู่นั้นได้ แล้วเด็กสาวก็นั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างกู้เจียว
ที่จริง พอได้เห็นรูปลักษณ์ของมู่ชิงเฉินแล้วคงเดารูปลักษณ์ของซูเสวี่ยไม่ยากเช่นกัน
แต่อย่างไร กู้เจียวไม่ได้เป็นผู้ชาย และไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของซูเสวี่ยด้วย
ใบหน้าของเด็กสาวกลับแดงระเรื่อเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ราบเรียบของคนที่นั่งข้างๆ
เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน แม้จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่ก็ไม่มีท่าทีจะเข้ามารุ่มร่ามหรืออะไรเลย
รถม้าขับไปตามถนนที่ยาวและกว้างขวางและมีคนเดินถนนมากมาย บรรยากาศเมืองเซิ่งตูเต็มไปด้วยความคึกคัก
“เร็วกว่านี้อีกได้ไหมคุณหนูซู” กู้เจียวถาม
วิ่งรถช้าขนาดนี้มีหวังได้ฟ้ามืดก่อน กู้เจียวกลัวว่าจะกลับเข้ามานอกเมืองไม่ได้
ซูเสวี่ยกลับอยากให้รถวิ่งช้ากว่านี้ใจจะขาด แต่ในเมื่อเซียวลิ่วหลังขอมา นางก็ต้องทำตาม “เอ่อ อาฝู เร็วกว่านี้”
“ขอรับ คุณหนู”
พออาฝูลงแส้ เจ้าม้าก็พลันวิ่งเร็วขึ้น
ซูเสวี่ยเริ่มหน้าเสีย ที่บอกว่าให้เร็ว ไม่ใช่ให้เร็วขนาดนี้! กลับไปจะหักเงินเดือนให้หมดเลย!
สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองชั้นในของเซิ่งตู เป็นหนึ่งในสี่สถานที่สำคัญของเมืองชั้นในและเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงเพียงแห่งเดียวในเซิ่งตู
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสำนักบัณฑิตสตรีอีกเลย เพียงที่อื่นจะเป็นห้องขนาดเล็กที่เปิดสอนกันเองโดยเอกชนเท่านั้น
คราวก่อนที่เข้ามาในเมือง กู้เจียวแทบไม่มีโอกาสได้ชื่นชมทิวทัศน์ภายนอกเพราะต้องซ่อนตัว มาคราวนี้ต้องยกความดีความชอบให้ซูเสวี่ย กู้เจียวยื่นมือเลิกม่านรถขึ้น
เมืองชั้นนอกว่าเจริญรุ่งเรืองแล้ว เมืองชั้นในกลับเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าอีก
ซูเสวี่ยเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่มองไปข้างนอก จึงคิดว่ากู้เจียวกำลังรีบอยู่ “อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ ใช้ทางโดยการวิ่งทางประตูหลังของจวนกั๋วกง จะว่าไป เจ้ามีความแค้นอะไรกับเพื่อนร่วมหอพักคนนั้นรึ”
จะให้กู้เจียวตอบออกไปว่าเพื่อนร่วมห้องของเจ้าทำร้ายเสี่ยวจิ้งคงของข้าคงไม่ได้ “ก็เรื่องประมาณนั้นแหละ”
“ไม่ต้องพูดก็ได้แหม” ซูเสวี่ยไม่ได้ต้องการจะซักถามจนหมดเปลือก อย่างน้อยนางก็พอดูออกว่ากู้เจียวตั้งใจจะมาแก้แค้นจริงๆ ไม่เหมือนผู้ชายพวกนั้นที่มัวแต่หลงเสน่ห์ความงามของนางจิ้งจอกคนนั้น
“ข้าเชื่อเจ้า!” ซูเสวี่ยโพล่งขึ้นพลางหัวเราะ
กู้เจียวไม่เข้าใจว่าเด็กสาวคนนี้พูดคำนี้ออกมาเพื่อสิ่งใด
ซูเสวี่ยเชื่อกู้เจียว เชื่อเรื่องอะไรล่ะ
จากนั้น รถม้าก็หยุดลงกลางทาง
“เกิดอะไรขึ้น ใครใช้ให้เจ้าหยุดรถ” ซูเสวี่ยขมวดคิ้วพร้อมกับถามอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณ คุณหนู…” น้ำเสียงของสารถีฟังดูแปลกๆ ไป
พอซูเสวี่ยเปิดม่านออก ก็รู้เหตุผลในทันที “ท่านพ่อ!”
เบื้องหน้าคือรถม้าของจวนซูที่วิ่งสวนมาจากนั้นหยุดลงที่ข้างรถของซูเสวี่ย อีกฝ่ายเปิดม่านรถออก ในนั้นเป็นบุรุษวัยกลางคนที่สง่างามและเข้มงวด
เขาคือบิดาของซูเสวี่ยและมู่ชิงเฉิน นามว่าซูหยวน
ดวงตาที่เฉียบคมของเขากวาดมองไปที่อาฝูและซูเสวี่ย หัวใจของเด็กสาวแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะรีบเดินออกจากรถม้า ลดม่านลง ยืนอยู่บนกระดานด้านนอกของรถม้า แล้วเอ่ยกับซูหยวน “ท่านพ่อ ช่างบังเอิญจริงๆ ! ท่านพ่อออกไปทำธุระกับท่านพี่สี่มิใช่หรือ เหตุใดจึงกลับเร็วนัก แล้วท่านพี่สี่ล่ะ อยู่ในรถม้าด้วยหรือไม่”
ซูหยวนไม่ตอบ ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องตอบคำถามด้วยซ้ำ หากมู่ชิงเฉินอยู่ข้างในจริงป่านนี้คงออกมาช่วยแก้ตัวให้น้องสาวแล้ว
สายตาของซูหยวนจับจ้องไปที่ม่านรถด้านหลังซูเสวี่ย
ซูเสวี่ยพยายามขยับตัวเข้าไปบังให้มากที่สุด
ยิ่งพยายามเท่าไหร่ กลายเป็นว่ายิ่งมีพิรุธกว่าเดิม
“ผู้ใดกัน” ซูหยวนเอ่ยเสียงทุ้ม
“มะ ไม่ ไม่มีใครอยู่ในนั้น” ซูเสวี่ยรีบบ่ายเบี่ยง
ซูหยวนสัมผัสได้ในทันทีว่ามีคนอยู่ในนั้น ไม่นับสีหน้าเผยพิรุธของสารถีกับซูเสวี่ย
กู้เจียวเปิดม่านรถออก จากนั้นเดินลงจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีครามเดินออกมา ดวงตาของเขาก็เย็นลงครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ตัดสินผู้คนจากรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แต่สายตาที่ดูมีความดื้อรั้นของชายหนุ่มทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าคือใคร” ซูหยวนถามเสียงแข็ง
“ข้ามีนามว่าเซียวลิ่วหลัง” กู้เจียวตอบกลับอย่างมั่นใจ
ซูหย่วนหรี่ตาลง “เจ้าคือเซียวลิ่วหลังรึ”
ซูเสวี่ยพยายามอธิบาย “ใช่แล้วท่านพ่อ! เขาคือคนที่เคยช่วยชีวิตลูกไว้! ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หารู้ไม่ว่าเรื่องวันนั้นทั้งน่ากลัวและอันตรายมากเพียงใด! ขนาดท่านพี่สี่เองยังไม่มีปัญญาช่วยข้า! หากลูกไม่ได้เขา…ลูกคง…”
ซูหยวนจ้องมองบุตรสาวอย่างเย็นชาก่อนที่จะเอ่ยจบ ซูเสวี่ยจึงต้องรีบหุบปากทันที
เขาไม่พอใจที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
กระนั้น เขาก็แค่กลับไปสั่งสอนนางให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ มากกว่านี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำให้ลูกสาวอับอายต่อหน้าคนอื่น
แต่ซูหยวนไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนความหยิ่งยโสของเขาต่อหน้าคนแคว้นระดับล่าง “เจ้านี่เองที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของชิงเฉิน เขาเคยบอกเจ้าว่าให้มานั่งเล่นที่จวนใช่ไหม ทว่าน่าเสียดาย วันนี้ชิงเฉินไม่อยู่ที่จวน เจ้าเลยมาเสียเที่ยวเลย”
คำพูดของเขาแทบไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เขาเคยช่วยชีวิตซูเสวี่ยเลยสักนิด แค่มองว่ากู้เจียวเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นของมู่ชิงเฉิน
อีกทั้งยังเอาเรื่องที่พวกเขานั่งรถด้วยกันสองต่อสองมาเปลี่ยนมุมมองว่าเป็นการเดินทางมาที่ไปจวนเพื่อเยี่ยมมู่ชิงเฉิน
จากนั้นซูหยวนก็หันไปเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ยังไม่ขึ้นมาอีก”
ซูเสวี่ยกัดฟันแน่น จากนั้นค่อยๆ เดินขึ้นไปบนรถม้าของซูหยวน
บ่าวนำบันไดไม้ออกมาวางให้ซูเสวี่ย
จากนั้นนางค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นไป
“เข้าไปในรถ” ซูหยวนเอ่ยขึ้น
ซูเสวี่ยจึงเข้าไปแต่โดยดี
ซูหยวนมองไปที่กูเจียวแล้วเอ่ย “ชิงเฉินไม่อยู่ที่จวน ขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านชายเซียวเสียเที่ยว ถ้าชิงเฉินกลับมาแล้ว ไว้ข้าจะชิงเฉินเชิญท่านชายมาที่จวนเอง อาฝู ส่งท่านชายเซียวกลับไปที่สำนักบัณฑิตด้วย”
ซูเสวี่ยหน้าเสียทันที “ท่านพ่อ!”
ซูหยวนหันไปกำชับกับสารถี “อาฝู”
“ขอรับ!” อาฝูไม่กล้าขัดคำสั่งของใต้เท้า และขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังทางที่ออกนอกเมือง
เมื่อมองดูรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ซูเสวี่ยกระทืบเท้าของตัวเองด้วยความโกรธ “ท่านพ่อ! ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น!”
ซูหยวนปิดม่านแล้วนั่งลงตรงข้ามซูเสวี่ย “ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้! เจ้าไปนั่งรถคันเดียวกับเด็กหนุ่มที่มาจากแคว้นระดับล่างสองต่อสองได้อย่างไร หากมีคนมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร เอาหน้าไปไว้ไหน!”
ซูเสวี่ยฮึดฮัด “สำหรับท่านพ่อแล้ว ไม่มีแต่ทั้งนั้น!”
คนที่มีอำนาจกว่านางในเมืองหลวงไม่สนใจที่จะมาหยุดรถม้าของนางด้วยซ้ำ ส่วนคนที่ด้อยกว่าก็ยิ่งไม่มีใครมากล้าหยุดรถม้าของนางหรอก แล้วใครจะรู้ได้อย่างไร!
ซูหยวนเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นไขสือกับข้าเลยนะ! นอกจากนี้ อย่าได้เอ่ยเรื่องที่เขาช่วยชีวิตเจ้าอีก เขาไม่ได้ช่วยเจ้า เขาแค่ฝึกม้า เจ้าไม่ละอายใจหรือที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกแคว้นระดับล่าง”
เดิมที ซูหยวนไม่เต็มใจที่จะยอมรับเด็กคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับมู่ชิงเฉินด้วยซ้ำ แต่เพื่อให้ดูสมเหตุสมผลที่พวกเขานั่งรถคันเดียวกัน จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลบเกลื่อนว่าเป็นคำเชื้อเชิญจากมู่ชิงเฉิน
“แต่เขาคือคนที่ช่วยลูกไว้จริงๆ ! ที่ท่านพ่อไม่ยอมรับ เพราะคิดว่าชีวิตของลูกไม่มีค่าอย่างนั้นรึ” ซูเสวี่ยโต้เถียงอย่างหนัก
ซูหยวนเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ข้าแค่กังวลว่าเขาจะมาพัวพันกับตระกูลซูของพวกเราต่างหาก! ถ้ามัวแต่พูดเรื่องเอาชีวิตมาเป็นเดิมพันแบบนี้ ต่อไปเจ้าจะไปแต่งงานกับตระกูลอื่นได้อย่างไร!”
“ข้าไม่ได้อยากแต่งงานอยู่แล้ว!” ซูเสวี่ยตอบอย่างโมโห
สีหน้าของซูหยวนเริ่มดำคล้ำ “ข้ารู้ดีว่าเขาช่วยเจ้า เดี๋ยวไว้เตรียมของขวัญแล้วให้คนเอาไปส่งที่สำนักบัณฑิตก็ได้นี่นา เขาควรจะพอใจกับการได้รับรางวัลจากตระกูลซูสิ! แล้วทีหลังเจ้าอย่าก่อเรื่องอีก! เขาไม่มีตราและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเขตเมืองชั้นใน เจ้าพาเขาเข้ามาโดยพลการแบบนี้ หากถูกทางการจับได้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ !”
“แต่ทางการก็เป็นคนของจวนเรามิใช่หรือ” ซูเสวี่ยเอ่ย
“เจ้า!” ซูหยวนถูกคำพูดของบุตรสาวจี้ให้โมโห ทางการเป็นคนของจวนเราอย่างนั้นเรอะ แม่สาวน้อยคนนี้ไม่กลัวถูกประหารเลยใช่ไหม
“ก็ท่านพ่อเป็นถึงเจ้ากรมเมือง! การตรวจตราตรวจเอกสารต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของกรมเมืองมิใช่หรือ แล้วคนในนั้นมีหรือจะกล้ามาตรวจลูกสาวเจ้ากรม!”
ที่พูดมานั้น…ก็จริงอยู่
แต่เจ้าจะพูดออกมาแบบนี้ไม่ได้นะ!
หากฝ่าบาทได้ยินเข้า มีหวังได้ลงเอยแบบเดียวกับตระกูลเซวียนหยวนแหง!
“เจ้ากล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร!” ซูหยวนกัดฟันเอ่ย
“ข้าแค่พูดกับท่านพ่อ ไม่ได้เอาไปบอกคนอื่นสักหน่อย!” ใครมันจะโง่ขนาดนั้นเล่า
ซูหยวนโกรธจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก สักพักก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “แล้วนี่เจ้าพาเขาเข้ามาทำไม”
ซูเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ นางไม่มีทางเล่าออกไปว่าเซียวลิ่วหลังเข้ามาเพื่อแก้แค้น “เขาไม่เคยเข้ามาในเมืองเลย ข้าเลยอาสาพาเขาไปดูรอบๆ แล้วก็มาเจอเข้ากับท่านพ่อพอดี”
“เหอะ!” เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ซูเสวี่ยจึงพยายามเบี่ยงประเด็น “ท่านพ่อไร้เหตุผล! ลูกไม่อยากพูดกับท่านพ่ออีก! ลูกจะไปฟ้องท่านตา บอกว่าท่านพ่อรังแกลูกกับเพื่อนของท่านพี่สี่!”
“เพื่อนอะไรกัน คนอย่างเขาคู่ควรรึ นี่ ซูเสวี่ย จำไว้ให้ดี เจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลซูอันสูงส่ง ไม่ควรลดตัวลงไปยุ่งกับพวกแคว้นระดับล่าง” ซูหยวนเอ่ยเสียงแข็ง
ซูเสวี่ยฟังจบก็โกรธจนน้ำตาไหล
พอเห็นลูกสาวกำลังร้องไห้ ซูหยวนก็ถอนหายใจ “เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เช็ดน้ำตาเสีย ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
“ไม่ไป!” ซูเสวี่ยปฏิเสธทันที
“ยังไม่ทันรู้เลยว่าไปที่ไหน เจ้าก็ปฏิเสธแล้วรึ” ซูหยวนเอ่ย
ซูเสวี่ยสะอื้น “ก็ลูกโกรธอยู่นี่นา…ไม่มีอารมณ์ไปไหนทั้งนั้น!”
“ไปที่โรงหมากรุกของผู้อาวุโสเมิ่งกัน” ซูหยวนเอ่ยต่อ
ซูเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็หยุดเสียงสะอื้นลงทันที
ซูหยวนเมื่อเห็นว่าลูกสาวเริ่มมีท่าทีสนใจ จึงอธิบายต่อ “เมื่อคืนนี้ ผู้อาวุโสเมิ่งถูกพวกโจรไล่ล่า ยังหาตัวไม่เจอ สารถีของเขาเป็นคนมาแจ้งกับทางการ แต่น่าเสียดายที่ทางการจับได้แค่โจรที่อยู่ในสภาพหมดสติ ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้ผู้อาวุโสเมิ่งอยู่ที่ไหน แต่ เป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสเมิ่งอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย”
ซูเสวี่ยทำหน้าตกใจ “เช่นนั้น…พวกเราต้องไปจุดธูปที่นั่นรึ”
ซูหยวน “…”
ซูหยวนเอ่ยต่อ “พวกเราจะไปหาลูกศิษย์คนโตของผู้อาวุโสเมิ่ง ศิษย์คนนั้นได้เรียนรู้และซึมซับวิชาของผู้อาวุโสเมิ่งมาอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ พวกเราต้องเข้าไปยื่นมือช่วยเหลือโรงหมากรุก อีกทั้งเป็นโอกาสดีที่จะฝากตัวพวกเจ้าเป็นศิษย์ พี่สาวของเจ้าไปถึงที่นั่นก่อนแล้วล่ะ ข้าไม่เป็นห่วงนางหรอก จะห่วงก็เจ้านี่แหละ”
เมื่อเทียบกับบุตรหลานตระกูลซูทั้งหมด ซูเสวี่ยคือคนที่ทุกคนเป็นห่วงมากที่สุด
…
อีกฝั่งของเมือง อาฝูกำลังขับรถม้าไปยังประตูเมือง
เขาไม่ได้กังวลว่าทหารจะหยุดรถม้าของเขาเพื่อตรวจสอบว่าคนที่อยู่ข้างในนั้นมีตราหรือไม่ เพราะนี่คือรถม้าของตระกูลซู ต่อให้ถูกตรวจสอบโดยกรมเมือง สุดท้ายก็ต้องถูกปล่อยตัวออกมาอยู่ดี
เขาแค่รู้สึกเสียดายแทนพ่อหนุ่มในรถเล็กน้อย
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ดูจะสร้างความอึดอัดใจไม่น้อย
อาฝูพยายามปลอบเขาอย่างจริงจัง “ท่านชายเซียวไม่ต้องคิดมากนะขอรับ ใต้เท้าแสดงออกแบบนั้นก็จริง แต่ข้าน้อยเชื่อว่าภายหลังเขาต้องดีกับท่านแน่ๆ พอท่านกลับไปที่สำนักบัณฑิตแล้ว ไม่นานคงจะได้รับของขวัญจากใต้เท้าอย่างแน่นอน แต่ข้าน้อยขอเตือนท่านชายสักนิดนะขอรับ บุตรสาวของตระกูลซูไม่ใช่คนที่ท่านชายสามารถผูกมิตรได้ ดังนั้นท่านชายควรล้มเลิกความคิดนี้โดยเร็วที่สุด หวังว่าท่านชายจะเข้าใจนะขอรับ แล้วท่านชายคิดว่าอย่างไรบ้าง”
ไม่มีคำตอบจากท่านชายเซียว
“ท่านชายเซียวว่าข้าน้อยพูดถูกหรือไม่ขอรับ”
“ท่านชายเซียว”
“ท่านชายเซียว”
อาฝูรู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพาล จึงหันกลับมาเปิดม่าน ก็พบกับความว่างเปล่า คนที่ควรจะนั่งอยู่ในนั้นกลับอันตรธานหายไป โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว!