บทที่ 635 ความโกรธของเจียวเจียว
บัณฑิตน้อยรึ
สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันรึ
คนที่พาเสี่ยวจิ้งคงมาที่แคว้นเยี่ยน เป็นผู้หญิงอย่างนั้นรึ
นี่คือสิ่งที่อาจารย์แม่หนานและกู้เจียวจับใจความได้ “หรือว่าจิ้งคงถูกลักพาตัวมา”
คนที่พำนักอยู่ที่สำนักบัณฑิตสตรีได้ ไม่ใช่อาจารย์ก็ต้องเป็นบัณฑิต ส่วนศาลาหลิงหลงนั้น…ฟังดูแล้วน่าจะเป็นชื่อของหอพักหญิงเสียมากกว่า ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่คนคนนั้นคือบัณฑิต
ในบรรดาเด็กผู้หญิงที่กู้เจียวและอาจารย์แม่หนานรู้จัก ไม่มีใครที่ดูใกล้เคียงเลยสักคน
“หรือว่าจะเป็น…ม่อเชียนเสวี่ย” อาจารย์แม่หนานเห็นว่าม่อเชียนเสวี่ยไปๆ มาๆ ที่ตรอกปี้สุ่ยอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็เคยได้ยินชื่อของฮวาซีเหยาอีกด้วย
ม่อเชียนเสวี่ยคือคนที่เคยมาเยือนแคว้นเยี่ยน
แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ถูกกู้เจียวปัดตกแล้วอธิบายต่อ “ม่อเชียนเสวี่ยเคยมาที่แคว้นเยี่ยนก็จริง แต่ตอนนั้นนางเดินทางร่วมกับหวงฝู่เจิงและใช้วิธีแอบหลบหนีเข้ามา เป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถเข้าเรียนในสำนักบัณฑิตสตรีในเมืองเซิ่งตูได้”
“ถ้าไม่ใช่ม่อเชียนเสวี่ย เช่นนั้น ฮวาซีเหยาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่” อาจารย์แม่หนานขมวดคิ้วแน่น “คงไม่ใช่องค์หญิงซิ่นหยางหรอกกระมัง…องค์หญิงท่านเป็นแม่คนแล้ว คงไม่มาเรียนหนังสือหรอก”
เรียนไม่เรียนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่องค์หญิงซิ่นหยางนั้นเป็นประมุขของแคว้นเจา หากนางเสด็จมาที่แคว้นเยี่ยนย่อมต้องมาในนามของแคว้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่เซิ่งตูจะไม่ประกาศข่าว
สมมติว่าองค์หญิงปกปิดตัวตนและแอบมาที่สำนักบัณฑิตสตรี แปลว่าพระองค์ไม่อยากตกเป็นข่าวอย่างนั้นรึ
ยังมีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ
“หากเป็นองค์หญิงซิ่นหยาง จิ้งคงไม่มีทางหนีออกมาหรอก” กู้เจียวเอ่ย
เจ้าตัวเล็กหอบสัมภาระรวมถึงลูกดินประสิวออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาแอบหนีออกมากลางดึก
ลูกดินประสิวอย่างนั้นรึ…
กู้เจียวครุ่นคิด
นั่นเป็นอาวุธที่กู้เจียวทำไว้ให้เซียวเหิงใช้ป้องกันตัว เสี่ยวจิ้งคงเอามาได้อย่างไร
หรือว่า เซียวเหิงก็มาที่นี่ด้วย
เดี๋ยวก่อนสิ เขาเข้ามาไม่ได้หรอก หนังสือตอบรับเข้าเรียนของเขาอยู่ที่นี่แล้วนี่นา
แปลว่า…เสี่ยวจิ้งคงแอบขโมยลูกดินประสิวของเซียวเหิงออกมาอย่างนั้นรึ เขาเป็นเด็กที่กล้าทำอะไรแบบนั้นเสียที่ไหน
ในเมื่อเสี่ยวจิ้งคงกล้าหนีออกมา ใครคนนั้นต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ
ถ้าเขาเป็นคนดีจริง มีหรือเสี่ยวจิ้งคงจะต้องแอบหนีออกมา
แต่ไหนแต่ไรเสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กรู้จักตอบแทนคุณ ขนาดเห็นผู้เฒ่าที่พาเสี่ยวจิ้งคงมาส่งข้ามเมืองได้รับบาดเจ็บก็ยังรู้ว่าต้องพามาให้ตนรักษา
หากใครคนนั้นมีคุณกับเสี่ยวจิ้งคงจริงๆ เขาคงไม่หนีหัวซุกหัวซุนออกมาแบบนี้แน่ๆ
พอนึกถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ในหัวกู้เจียวก็ยิ่งเชื่อมโยงไปถึงพวกขบวนการค้ามนุษย์ จับเด็กใช้แรงงานและทารุณอย่างหนัก รวมถึงไม่ให้ข้าวให้น้ำ กักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในที่มืดๆ !
“สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันใช่ไหม ได้!”
กู้เจียวกำหมัดแน่นจนเศษกระดาษในมือแหลกเป็นชิ้น!
ผู้หญิงคนนั้นต้องชดใช้!
….
เช้าตรู่ของวันถัดมา กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวชุ่นรู้เรื่องที่เสี่ยวจิ้งคงถูกลักพาตัวมาที่แคว้นเยี่ยนจากอาจารย์แม่หนาน อาจารย์แม่หนานกำชับว่าไม่ให้พวกเขาไปคะยั้นคะยอคำตอบจากเสี่ยวจิ้งคง
“ข้าคิดว่า ที่เขาไม่กล้าพูดเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงผวาก็เลยไม่อยากพูดถึง”
แม้แต่อาจารย์แม่หนานเองยังพยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อปกป้องเสี่ยวจิ้งคง แต่จะว่าไป ก็นับว่าอาจารย์แม่หนานเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการจินตนาการอยู่ไม่น้อย
“อ้อ” กู้เสี่ยวซุ่นรับปากอย่างง่ายดาย
ขณะที่กู้เหยี่ยนดูจะไม่ค่อยอยากเชื่อลงนัก คนอย่างเจ้าเณรน้อยน่ะรึจะผวากับเขาเป็นบราวนี่ออนไลน์
แต่ด้วยความที่ร่างกายเขายังอ่อนแอ พอบ่นพึมพำเล็กน้อยในหัวเสร็จก็กลับไปนอนต่อ
เสี่ยวจิ้งคงเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน กำลังง่วนกับการรำมวยอยู่ที่หลังเรือน พอเสร็จก็มานั่งพักเอาแรง
ตอนนี้กู้เจียวรู้แล้วว่าอีตาเสี่ยวจีโหวที่เสี่ยวจิ้งคงพูดถึงก็คือเซวียนผิงโหว
กู้เจียวยังคงคิดไม่ตกว่าเซวียนผิงโหวที่อยู่ในสภาพสวมเฝือกทั้งตัวเอาอะไรมาสอนรำมวยให้เจ้าตัวเล็กได้
พอเห็นท่าทีที่ดูขึงขังราวกับเสือเต้นของเสี่ยวจิ้งคง จากนั้นก็หันไปมองท่านผู้เฒ่าที่ยังคงนอนสลบไสล
สอน…สอนออกมาได้ดีขนาดนี้เชียว
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เสี่ยวจิ้งคงอยู่เฝ้าเรือน ส่วนกู้เจียวและกู้เสี่ยวชซุ่นออกไปเรียนหนังสือ
ก่อนหน้านี้เป็นกู้เจียวที่คอยส่งเสี่ยวจิ้งคงเข้าเรียนตลอด พอมาวันนี้ต้องสลับบทบาทกันก็นับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ไม่น้อย
พอกู้เจียวออกไป เสี่ยวจิ้งคงก็เริ่มรู้สึกเหงาขึ้นมา
ทันใดนั้น เสี่ยวจิ้งคงก็เจอกับเจ้าม้าสีดำตัวใหญ่!
ส่วนเจ้าม้าที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ก็สะดุ้งเช่นกัน!
มันเริ่มรู้สึกถึงภัยในทันที!
กู้เจียวเดินเข้าห้องแล้วเลือกที่นั่งที่อยู่หลังสุดของห้องติดกับประตู
โดยปกติแล้ว ที่นั่งตรงนั้นจะว่างตลอด คนที่นั่งตรงนั้นก็มีแต่มู่ชิงเฉินหรือไม่ก็กู้เจียว
วันนี้มู่ชิงเฉินไม่เข้าเรียน แต่ดูเหมือนว่าที่นั่งแถวหลังถูกจับจองไปหมดแล้ว
เอ๊ะ ไม่สิ ยังเหลืออีกหนึ่งที่
ทุกคนในแถวหลังทั้งหันมามอง โบกมือ และยิ้มให้กู้เจียวอย่างกระตือรือร้นพร้อมกัน แม้แต่จังหวะคลี่ยิ้มยังเหมือนกันเป๊ะ
กู้เจียวแทบอยากจะเอามือก่ายหน้าผาก!
พอดูรอบๆ อีกทีก็พบว่า นอกจากที่นั่งแถวหลังแล้ว ยังเหลือที่นั่งแถวหน้าว่างอยู่อีกหนึ่งที่
กู้เจียวสูดหายใจลึก ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งอย่างไม่สนใครพร้อมกับข่มอารมณ์ที่อยากจะโยนร่างพวกที่มาแย่งที่นั่งของกู้เจียวให้กระเด็นออกไปนอกห้อง
พอนั่งลง กู้เจียวทำท่ายกมือเตรียมจะขอลอกการบ้านใครสักคน ทันใดนั้น โจวถงก็ปรี่เข้ามาวางสมุดการบ้านไว้บนโต๊ะของกู้เจียว “ข้าทำให้เจ้าเสร็จหมดแล้ว!”
กู้เจียว “……”
พอถึงช่วงพักกลางวัน กู้เจียวก็ออกไปกินข้าว
“สหายเซียว ข้าตักข้าวให้เจ้าแล้ว!”
ช่วงบ่าย กู้เจียวไปที่สนามธนู
“สหายเซียว ข้าหยิบคันธนูเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ!”
“สหายเซียว ข้าเขียนเชิงอรรถให้แล้ว!”
“สหายเซียว ข้าหยิบกระดาษชำระมาให้แล้ว!”
กระดาษชำระก็มากับเขาด้วยเรอะ!
กู้เจียวที่แค่อยากกลับไปที่หอพักและเก็บเสื้อคลุมกลับเข้าไปในตู้ของมู่ชิงเฉิน กลับเดินออกมาด้วยใบหน้าที่หมองหม่น!
วันนี้กู้เจียวใช้เวลาทั้งวันไปกับการรับมือพวกที่มาเกาะแกะอยู่ตลอดเวลา นี่มันเหนื่อยยิ่งกว่าเรียนหนังสือเสียอีก
กว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน กู้เจียวถึงกับควันออกหู
กู้เจียวคว้ากระเป๋าหนังสือแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่รอกู้เสี่ยวซุ่นเสียด้วยซ้ำ
ขณะที่กำลังเดินออกจากประตูสำนัก ก็มีรถม้าเข้าจอดที่ตรงหน้า กู้เจียวไม่ได้สนใจ
ปรากฏมีหญิงสาวในชุดสีชมพูกระโดดลงจากรถม้าและตะโกนเรียกอย่างไพเราะ “เซียวลิ่วหลัง!”
ซูเสวี่ย น้องสาวของมู่ชิงเฉินนี่เอง
กู้เจียวหรี่ตามองนางหนึ่งที ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่อแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ชายเจ้าไม่อยู่ที่นี่”
“ข้ารู้ว่าเขาไม่อยู่ เขาออกไปทำธุระนอกเมือง ข้าไม่ได้จะมาหาเขา ข้ามาหาเจ้าต่างหาก” ซูเสวี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินตามกู้เจียวไป
“มีธุระอันใดรึ” กู้เจียวถาม
“มาหาเจ้าโดยไม่มีธุระไม่ได้หรือไร” ซูเสวี่ยเบะปากฐณษซฯื
เหตุใดประโยคเมื่อครู่นี้ถึงได้ฟังคุ้นหูนัก
“ไม่ได้” กู้เจียวตอบพร้อมกับจ้องนางด้วยแววตาราวกับกำลังมองคนประหลาด
ซู่เสวี่ยถึงกับสำลักและหยุดฝีเท้าในทันที
พูดจาดีๆ กับเขาเป็นไหมพ่อหนุ่ม
กู้เจียวเดินนำหน้าไปไกลมากแล้ว ด้วยความที่เป็นคนตัวสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานของผู้หญิงทั่วไป ฝีก้าวของกู้เจียวจึงยาวและเร็วกว่า ซูเสวี่ยจึงต้องออกแรงเดินตามให้ทันมากกว่าปกติ
ซูเสวี่ยถึงกับทำท่าหอบแฮ่ก “เจ้า เดินให้มันช้าๆ หน่อยได้ไหม ข้าอุตส่าห์เดินทางไกลมาหาเจ้า รอกันไม่ได้เลยหรือไร เจ้านี่ทำตัวเหมือนกับเพื่อนร่วมหอของข้าไม่มีผิด”
กู้เจียวหยุดฝีเท้าลงทันที
“เพื่อนร่วมหอพักของเจ้ารึ”
กู้เจียวที่เพิ่งนึกขึ้นได้ก็รีบหันไปถามซูเสวี่ย “ที่คราวก่อนเจ้าบอกว่าเพื่อนร่วมหอพักของเจ้าเป็นใบ้และมีลูกติดมาด้วยใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ซูเสวี่ยพยักหน้า
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก แล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้ไหมว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร”
“เจ้าเด็กมอมแมมนั่นน่ะรึ” ซูเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ ก่อนถอนหายใจ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า”
กู้เจียวเหลือบมองหาตาใส่นาง “ไหนว่าพวกเจ้าพักอยู่ในห้องเดียวกันมิใช่รึ”
“แต่ข้าไม่ได้นอนพักที่หอเลยน่ะ” ซูเสวี่ยโต้กลับ
ซูเสวี่ยมีคฤหาสน์อยู่ในเมืองชั้นใน ในเมื่อที่พักของตัวเองก็ดีอยู่แล้ว จะไปนอนหอพักทำไม
สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ทั้งมู่ชิงเฉินและซูเสวี่ยต่างก็ไม่นอนที่หอพักกันทั้งคู่
“อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเจ้ามีนามว่าอะไร” กู้เจียวเอ่ยต่อ
ซูเสวี่ยออกอาการโกรธทันที “เซียวลิ่วหลัง! เจ้าเกินไปแล้ว! นี่เจ้าถามชื่อผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ! เจ้าสนใจนางเหมือนกันใช่ไหม”
“มัวคิดอะไรอยู่ ข้ายังไม่รู้จักเพื่อนร่วมหอพักของเจ้าด้วยซ้ำ” กู้เจียวตามอารมณ์ของซูเสวี่ยไม่ทัน
ซูเสวี่ยเริ่มไม่พอใจ “แล้วเหตุใดเจ้าถามถึงนางล่ะ! อ๋อ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ เจ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความงามของนางด้วยเหมือนกันสินะ เจ้าก็เลยอยากไปหานางเพื่อแนะนำตัวสินะ ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าเจ้าไม่มีความหวังหรอก! แม้แต่ท่านชายจากตระกูลใหญ่ๆ ก็ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของนาง ดังนั้นเจ้า…ลืมมันเสียเถอะ!”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่
กู้เจียวเอ่ยเบาๆ “ข้ามีความแค้นกับนาง”
“เรื่องจริงรึ” แววตาของซูเสวี่ยเริ่มเปล่งประกาย “แค้นเรื่องอะไรหรือ”
เมื่อนึกถึงเสี่ยวจิ้งคงที่ถูกคนทารุณ ดวงตาของกู้เจียวก็เริ่มเผยให้เห็นรังสีอำมหิต “เป็นความแค้นที่ข้ากับแม่นางผู้นั้นไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้!”
จู่ๆ ใครบางคนในหอพักสตรีก็เกิดจามออกมาสามครั้งติด
ซูเสวี่ยเอ่ยอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะพาเจ้าไปหานางตอนนี้เลย!”