บทที่ 844 เขตแดนกระบี่

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 844 เขตแดนกระบี่

บทที่ 844 เขตแดนกระบี่

“ไร้สาระ!” แม่ชียุงอยากจะปรี่เข้าไปตบปากเพ่ยเหมียนหมานแต่ทำไม่ได้ “เจ้าอยากให้คนรักของเจ้าตายไปพร้อมกับข้าจริง ๆ หรืออย่างไร!? หรือบางทีเจ้าอาจมีผู้ชายอีกคนในใจอยู่แล้ว? นึกแล้วไม่มีผิดแค่เพียงมองแวบแรก ข้าก็สามารถบอกได้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงหลายใจ!”

เพ่ยเหมียนหมานโกรธมากจนร่างกายสั่นระริก “เจ้า…!”

ซูอันขัดจังหวะพวกนาง “ข้าจะนับถึงสาม เราทั้งสองจะปล่อยมือข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงปล่อยมืออีกข้างหนึ่งตกลงไหม?”

“ย่อมได้!” แม่ชียุงดูเหมือนจะมีเล่ห์เหลี่ยมในแววตา

“หนึ่ง…สอง…สาม!”

“แน่ะ ทำไมเจ้าไม่ปล่อย?”

“เหอะ ไอ้หนู ข้าก็ไม่เห็นเจ้าปล่อยเช่นกัน!”

“แต่เจ้าเป็นคนเอ่ยคำสัญญาโลหิต”

“ก็ได้ คราวนี้ข้าจะปล่อยจริง ๆ!”

“หนึ่ง…”

ทว่าคราวนี้หลังจากที่ซูอันพูดว่า ‘หนึ่ง’ เขาไม่ได้นับต่อแต่กลับเรียกกระบี่ไท่เอ๋อร์ออกมาและเปิดใช้งานเขตแดนพิเศษของมัน!

กระบี่ไท่เอ๋อร์นั้นเป็นกระบี่ที่มีอำนาจเขตแดนในตัวของมันเอง แต่ซูอันไม่ค่อยได้ใช้เขตแดนนี้สักเท่าไรตั้งแต่ตัวเองได้ครอบครองกระบี่ เพราะเขาต้องการเก็บไว้เป็นไพ่เด็ดใบสุดท้าย

เขาไม่ลังเลเลยที่จะนำมันออกมาตอนนี้ เขตแดนของกระบี่ไท่เอ๋อร์ปะทุในระยะใกล้

เสียงคำรามของมังกรพุ่งออกมาจากกระบี่ และพลังแห่งการกดขี่ที่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้แผ่ไปทั่วทุกทิศ

แม้แต่เพ่ยเหมียนหมานที่ยืนอยู่ห่างยังกลัวจนตัวสั่น นางรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงทันที ดังนั้นแม่ชียุงที่อยู่ในระยะประชิดจะสามารถป้องกันพลังแห่งการกดขี่นี้ได้อย่างไร?

แม้จะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า แต่นางยังคงรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย นางรู้สึกคล้ายถูกผลักกลับไปสู่ช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด ช่วงเวลาที่นางยังเป็นยุงตัวเล็ก ๆ ที่แม้แต่แมลงปอ คางคก แมงมุมธรรมดายังสามารถกินนางได้อย่างง่ายดาย…

ในชั่วพริบตา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดทั้งหมดที่เคยฝังอยู่ในชีวิตผุดขึ้นมาในหัวทำให้จิตใจของนางกดดันหวาดกลัวถึงขีดสุด และร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน

ซูอันใช้โอกาสนี้เร่งใช้วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์อย่างเต็มที่

ฝ่ามือทั้งสองของเขากลายเป็นหลุมดำดูดกลืนแก่นแท้พลังชี่ของแม่ชียุง

ในเวลาไม่นานร่างของแม่ชียุงก็เริ่มเหี่ยวเฉา

แม่ชียุงกรีดร้องออกอย่างทรมาน “หยุด…อย่า…!”

ซูอันเพิกเฉยต่อนาง “เจ้าได้ดูดแก่นแท้โลหิตของคนมานับไม่ถ้วน การดูดกลืนเจ้าในวันนี้ถือได้ว่าเป็นผลกรรมย้อนรูปแบบหนึ่ง”

“ไม่…” เสียงของแม่ชียุงเบาลงเรื่อย ๆ แต่นางก็ยังพยายามเปล่งเสียงออก “เราทำสัญญาโลหิตกันแล้ว…”

“เจ้าเป็นคนเดียวที่เอ่ยคำสัญญา ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำ” ซูอันตอบกลับอย่างเฉยเมย

แม่ชียุงหน้าซีด

“เจ้า! เจ้าไม่มีทางได้ตายดี!”

ท่านยั่วยุแม่ชียุงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 1024…1024…1024…

แม่ชียุงมั่นใจในระดับการบ่มเพาะที่เหนือกว่าและมุ่งแต่คิดสร้างช่องโหว่ภายในคำสาบานของนางเท่านั้น นางไม่คิดว่าตัวเองจะถูกอีกฝ่ายเล่นแง่เอาซะเอง

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าซูอันไม่เคยคิดที่จะปล่อยนางไป และตอนนี้ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว

ซูอันกอดนางแน่นในขณะที่ร่างกายของแม่ชียุงหดตัวและแห้งเหี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุด แม่ชียุงก็กลายเป็นเหมือนซากศพแห้งเหมือนที่นางเคยทำไว้กับเหยื่อคนอื่น ๆ

ซูอันกอดรัดกระดูกสันหลังของแม่ชียุงอย่างแรงจนมีเสียงหักดังลั่น

เมื่อรู้สึกว่าผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาแหลกเหลวแล้ว ซูอันมองสภาพที่น่าสยดสยองของศพนาง และรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เขาโยนนางทิ้งทันที

ตัวประหลาดชั่วร้ายซึ่งพรากชีวิตวีรบุรุษที่โดดเด่นหลายคนมาเป็นเวลานานได้จบชีวิตลงเช่นนี้นับว่าสาสมแล้ว!

เพ่ยเหมียนหมานรีบวิ่งไปหาเขาและตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า “นี่คือพลังของวิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์?”

นางรู้ว่าซูอันได้รับวิชาลับนี้จากมิติลับอินซวี แต่นางไม่เคยเห็นเขาใช้มันเลย มันทรงพลังอย่างที่คิดไว้

“ใช่” ซูอันพยักหน้า ลูกบอลไฟปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา เขากำลังจะเผาศพของแม่ชียุงที่ดูอุจาดตา

เพ่ยเหมียนหมานเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า “ข้าคิดว่าศพของนางยังมีประโยชน์อยู่ นางเป็นผู้ที่สังหารซ่างเชียนซึ่งสร้างความโกรธแค้นต่อตระกูลซ่าง หากเจ้ามอบศพของนางให้ตระกูลซ่าง เจ้าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขาได้ บางทีตระกูลซ่างอาจจะวางเฉยเรื่องที่เจ้าขโมยสะใภ้ของพวกเขามา”

นางได้อนุมานความสัมพันธ์ของเขากับเจิ้งตานไปแล้วเรียบร้อย

ซูอันหันมองไปด้านข้าง

“เจ้าหมายถึงอะไร ‘ขโมย’? เราก็แค่เข้ากันได้ดี…”

“ข้ารู้” เพ่ยเหมียนหมานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเข้ากันได้ดีจริง ๆ กับแม่ม่ายของตระกูลซ่าง!”

ซูอันตัดสินใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดจาปกป้องตัวเอง

แม้ชายหนุ่มจะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้นัก แต่เขาก็ยังเก็บศพของแม่ชียุงไว้ในดวงแก้วผู้รอบรู้

“อีกสิ่งหนึ่ง ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่เปิดเผยทักษะใหม่ของเจ้าให้คนอื่นรู้ ในสายตาของคนทั้งโลก การดูดกลืนระดับการการบ่มเพาะของผู้คนอื่นนั้นไม่ต่างจากการกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นแล้วหากความลับนี้ของเจ้าถูกเปิดเผย ทุกคนจะพากันพร้อมใจเรียกเจ้าว่ามารร้าย และร่วมมือกันกำจัดเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”

คำเตือนของเพ่ยเหมียนหมานนั้นร้ายแรง แม่ชียุงมีชื่อเสียงมากเพราะทุกคนกลัวความสามารถในการดูดแก่นแท้โลหิตของนาง

ซูอันพยักหน้า “ข้าจะไม่บอกใคร”

‘มหาเวทย์ดูดดาว’ ‘ลมปราณภูติอุดร’…

วิชาไหนที่คนทั่วไปไม่รังเกียจบ้าง?

เพ่ยเหมียนหมานโล่งใจเมื่อได้ยิน “ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าไปถึงไหนแล้ว ข้าดูไม่ออกเลย?”

ซูอันตรวจสอบตัวเองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาตกตะลึง

แผนผังอักขระภายในร่างกายของเขาสว่างเจิดจ้าจนเกือบจะทำให้เขาตาบอด

หนึ่ง สอง สาม สี่…

ก่อนหน้านี้เมื่อเขาตรวจสอบตัวเอง เขาอยู่ในระดับที่ห้าของขั้นที่ห้า แต่ตอนนี้อักขระทุกตัวของระดับที่ห้าของเขาทั้งหมดสว่างเจิดจ้า!

กระดูกทั้งหมดของชายหนุ่มดูเปล่งประกายราวกับหยกขัดมัน แม้จะไม่มีใครบอกเขา เขาก็รู้สึกได้ว่ากระดูกของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก

นี่เป็นผลมาจากการมาถึงจุดสูงสุดของระดับที่ห้า!

เมื่อสังเกตอีกที ซูอันเห็นว่าตามโครงกระดูกของตัวเองมีแผนผังอักขระอีกชุดหนึ่งปรากฏอยู่ จากสิ่งที่เขาเคยฟังมาในคาบเรียนการบ่มเพาะในสถาบันจันทร์กระจ่าง นี่มันน่าจะเป็นแผนผังอักขระการบ่มเพาะระดับที่หก ขั้นการบ่มเพาะกระดูก!

เขาค่อย ๆ นับ มีเก้าตัวอักขระและทั้งเก้าก็สว่างขึ้นครบแล้ว!

ชายหนุ่มมาถึงจุดสูงสุดของระดับที่หกแล้วด้วย!

กระดูกทั้งหมดของซูอันเอ่อล้นไปด้วยพลังชีวิตอันมหาศาล

ซูอันตกตะลึง นี่เขาก้าวข้ามมายังระดับที่หกเลยอย่างนั้นเหรอ?

หากไม่พูดถึงระยะเวลาที่เขามาโลกนี้แล้วเริ่มฝึกฝน ต้องรู้ว่าคนอายุเท่าเขาหากบ่มเพาะถึงระดับห้าได้นั้นจะถูกนับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉู่ชูเหยียนหรือเพ่ยเหมียนหมาน พวกนางต่างใช้เวลาหลายปีในการบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็ก ตระกูลของพวกนางได้จัดหาทรัพยากรการบ่มเพาะให้กับพวกนางอย่างไม่อั้น และถือว่าเหลือเชื่อที่พวกนางมาถึงระดับนี้ได้

แล้วเขาล่ะ? เขาเป็นตัวประหลาดอะไรกันที่มาถึงระดับนี้โดยใช้เวลาแค่นี้?

ซูอันนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่สถาบันจันทร์กระจ่างสอนเขาเกี่ยวกับการบ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะระดับหกสามารถปกป้องตัวเองด้วยเกราะธาตุทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บ่มเพาะระดับต่ำกว่าจะต่อกรด้วยได้

แม้เขายังไม่ได้ปลุกพลังธาตุ แต่ตอนนี้เขาสามารถยืมธาตุไฟของต๋าจี่มาใช้ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ยากเลยที่เขาจะสร้างเกราะธาตุไฟ

หลังจากทดสอบความแข็งแกร่งของเกราะธาตุไฟ ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับตัวเองที่เขามีกระบี่ไท่เอ๋อร์และแท่งพิษในทันที หากปราศจากอำนาจแปลก ๆ ของพวกมันในการเจาะเกราะธาตุ ที่ผ่านมาเขาคงไม่มีโอกาสเอาชนะผู้บ่มเพาะที่เขาเคยเผชิญหน้ามาก่อน

กระบี่ไท่เอ๋อร์ และแท่งพิษนั้นเหมือนกับอาวุธที่ใช้เจาะเกราะในนวนิยายที่เขาเคยอ่าน

ซูอันยังคงรู้สึกว่ามวลพลังของแม่ชียุงที่เขาดูดกลืนมานั้นยังไม่หมดไป หลังจากการบ่มเพาะกระดูกแล้ว มันก็มาถึงขั้นการบ่มเพาะโลหิตซึ่งก็คือระดับที่เจ็ด!