ต้วนหลิงเซียวเห็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวมลายหายไปจึงรวบรวมสมาธิ ตั้งหลักมั่นคง จดจ่อกับการรับมือศัตรู คนห้าคนเข้าโรมรัน ต้วนหลิงเซียววรยุทธ์สูงส่งก็จริง แต่ทั้งสี่คนฝึกฝนวิชาโจมตีประสานมาล่วงหน้าแล้ว ฝ่าเจิ้งกับฝ่าเหริ่นพลังภายในล้ำลึก บุกเป็นยอด รับเป็นเยี่ยม พวกเขาแทบจะรับการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ ส่วนจางจิ่นสยงวรยุทธ์โหดเหี้ยมดุดัน คอยฉกฉวยโอกาส พลังทำลายล้างแข็งแกร่งที่สุด ฝ่ายเคล็ดวิชาวาโยพัลวันของหลิงเจินจื่อชำนาญใช้อ่อนชนะแข็งมากที่สุด นางไม่รีบร้อน คอยอาศัยวิชาตัวเบากับวิชาท่าร่างขัดขวางอยู่วงนอก ต้วนหลิงเซียวคิดฝ่าวงล้อมเมื่อใดก็จะประจัญหน้ากับการโจมตีที่ทะลวงทุกช่องโหว่ของนาง สี่คนร่วมมือกัน ทรงพลังเหลือคณา
แม้ต้วนหลิงเซียวรับมือได้สมน้ำสมเนื้อ สมกับเป็นศิษย์เอกของประมุขพรรคมาร มิเผยทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ แต่คิดจะหนีรอดออกไปก็มิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อคอยจับจ้องมาดร้ายอยู่ด้านนอกอีก
เสี่ยวซุ่นจื่อปกป้องอยู่ข้างกายข้า มองดูศึกมังกรโรมรันพยัคฆ์ครั้งนี้แต่มิได้ลงมือ ประการที่หนึ่ง เขาไม่วางใจความปลอดภัยของข้า ประการที่สอง เขากำลังมองหาช่องโหว่ของต้วนหลิงเซียว หวังจะกำราบศัตรูในครั้งเดียว ความคิดของเขาย่อมปิดบังข้ามิได้ ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ขบคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้เช่นไร
เวลานี้เอง ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงก็พากำลังคนยี่สิบกว่าคนกลับมาพร้อมกับศีรษะคนหกหัว ฮูเหยียนโซ่วเอ่ยเสียงดัง “รายงานใต้เท้า คนทั้งหกที่ติดตามต้วนหลิงเซียวล่วงล้ำเข้ามาล้วนถูกสังหารแล้ว ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง น่าจะเป็นศิษย์พรรคมาร ฝั่งพวกเรามีพี่น้องสามคนได้รับบาดเจ็บ”
ข้าถอนหายใจเล็กน้อย เฮ้อ ตอนต้วนหลิงเซียวเข้ามาในหมู่บ้าน หน่วยสอดแนมที่ข้าลอบวางคนเอาไว้ก็พบคนพวกนี้ที่ตามเขามาแล้ว ดังนั้นตั้งแต่ตอนต้วนหลิงเซียวสังหารองครักษ์ของข้าเพื่อแย่งชุดเกราะ ข้าก็ทราบแล้วว่าเขามา น่าสงสารก็แต่องครักษ์สามคนนั้น อายุยังน้อยก็มาตายในมือของศัตรู ข้ากลับทำอันใดมิได้ จึงเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ฮูเหยียนโซ่วนำศีรษะของพวกเขาไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทหารกล้าเถิด”
ฮูเหยียนโซ่วเข้าใจเจตนาของข้า เขามิลุกขึ้นแต่กลับกล่าวว่า “เรื่องที่ใต้เท้าวางกับดัก พวกเราล่วงรู้มาก่อนแล้ว ทุกคนต่างทราบอันตรายในแผนการนี้ดี แม้จะต้องสิ้นชีวาก็มิเคืองแค้นเสียใจ ขอใต้เท้าโปรดอย่าโทษตนเอง”
ข้ารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ มองฮูเหยียนโซ่วอย่างซึ้งใจครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจำเป็นต้องปล่อยคนผู้นี้ไป พวกเจ้าก็จะมินึกแค้นข้าหรือ”
ฮูเหยียนโซ่วตกตะลึงอยู่ในใจ แต่เขาตอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก “ใต้เท้าย่อมไตร่ตรองมาถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ พวกผู้น้อยมิแค้นเคือง”
ข้าโล่งใจ หันไปมองซูชิง ก็เห็นสายตาของนางเป็นประกายมองฮูเหยียนโซ่วอยู่ แววตาแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นข้ามองไปหา นางจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าวางกลอุบายได้ล้ำเลิศ หากตัดสินใจเช่นนี้ย่อมต้องมีความหมาย ซูชิงเห็นพ้องมิว่าใต้เท้าตัดสินใจเช่นไร”
ตอนนี้ข้าจึงวางใจได้สนิท แล้วกล่าวขึ้นว่า “ผู้ที่ต้วนหลิงเซียวพามาคงเป็นมือดีทั้งสิ้น การสังหารหกคนนี้ก็เพียงพอชดเชยชีวิตทหารกล้าของกองทัพเราแล้ว พวกท่านถอยออกไปก่อนเถิด”
ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงถอยออกไป ทั้งสองคนสั่งการให้ราชองครักษ์หู่จีล้อมอยู่โดยรอบ วางค่ายกลดาบที่ตรากตรำฝึกฝนมา หากต้วนหลิงเซียวฝ่าวงล้อมออกมาได้ย่อมมิอาจฝ่าค่ายกลดาบของพวกเขาออกไปได้ง่ายดายนัก ตาข่ายฟ้าดินถูกกางสำเร็จแล้ว ต้วนหลิงเซียวกลายเป็นเหยี่ยวในตาข่ายเรียบร้อย ยากจะสลัดตัวหนีได้อีก เพียงแต่หัวใจข้ากลับยากจะตัดสินใจ สุดท้ายจะสังหาร หรือไม่สังหารดี
สัประยุทธ์กันอีกร้อยกว่ากระบวนท่า ต้วนหลิงเซียวจิตใจใสกระจ่างดุจผืนน้ำ แม้สี่คนที่รุมโจมตีเขาอยู่ล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งยุค แต่เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่ไกลนัก ผู้บรรลุขอบขั้นเป็นหนึ่งกับธรรมชาติกับผู้ที่ยังมิบรรลุ แม้ห่างกันเพียงเส้นคั่นแต่ต่างกันดั่งฟ้ากับเหว หากมีเพียงสี่คนนี้ ต้วนหลิงเซียวเชื่อว่าตนยอมบาดเจ็บเล็กน้อยก็จะสังหารพวกเขาได้ทั้งหมด
แต่ยามนี้ด้านนอกมีราชองครักษ์หู่จีมากมายร้อยกว่านาย ค่ายกลดาบก็ตั้งสำเร็จแล้ว เขายากจะหนีไปได้ แล้วข้างกายเจียงเจ๋อก็มีชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นยืนอยู่ แม้มิได้ลงมือ แต่สายตาเย็นยะเยือกราวกับมองทะลุจิตใจผู้คน ต้วนหลิงเซียวแทบจะต้องแบ่งสมาธิกึ่งหนึ่งเฝ้าระวังเขาไว้
ตาข่ายฟ้าดินถูกวางจนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อให้ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ก็ไม่แน่ว่าจะถอยหนีได้อย่างปลอดภัย ยามนี้สถานการณ์เลวร้ายนัก แต่ในใจต้วนหลิงเซียวกลับรู้สึกยินดีอยู่เลือนราง สำหรับเขาแล้วความตื่นเต้นยามชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายเช่นนี้ยากนักจะได้ประสบ สถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้กลับทำให้เขายิ่งฮึกเหิม
ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อพลันทอประกายเย็นยะเยือก เพราะเขาพบว่าสถานการณ์ในวงต่อสู้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ต้วนหลิงเซียวยังสู้หนึ่งต่อสี่ ทั้งสี่คนฝั่งตนก็ยังร่วมมือโจมตีอย่างเป็นจังหวะ มิว่ารุกหรือรับล้วนสอดรับเป็นหนึ่งเดียวราวกับว่าคนผู้หนึ่งมีแขนงอกมาสี่คู่ฉะนั้น แต่ต้วนหลิงเซียวคล้ายจะมั่นอกมั่นใจนัก เขาเคลื่อนไหวไปมาได้ดั่งใจ แม้มิอาจทะลวงฝ่าวงล้อมโจมตีของทั้งสี่คนได้ แต่มิว่าทั้งสี่คนจะใช้ยอดกระบวนท่าวิชาชั้นเลิศเช่นไรก็ถูกเขาคลี่คลายได้ทั้งหมด
แม้คนผู้นี้เป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็ลอบเลื่อมใสอยู่ในใจ เขาจับอารณ์ที่เปลี่ยนไปของเจียงเจ๋อได้ว่องไวยิ่งนัก เมื่อครู่เขารู้สึกเลือนรางว่าในใจเจียงเจ๋อมีความกังวลบางอย่าง ดังนั้นจึงกระซิบถามว่า “คุณชาย ข้าต้องลงมือแล้ว”
ข้าได้สติกลับมาก่อนจะหันไปมองต้วนหลิงเซียวที่กำลังต่อสู้ดุเดือดอยู่กลางวง เมื่อเห็นสีหน้าสุขุมกับท่าทางเยือกเย็นของเขา ในใจก็คิดว่าหากข้าให้เสี่ยวซุ่นจื่อจับเป็น อาจเป็นอุปสรรคต่อการลงมือของเขาก็เป็นได้ ต้วนหลิงเซียวจะรอดหรือตายก็แล้วแต่โชคชะตาของตัวเขาเองแล้วกัน อย่างมากข้าก็ต้องสู้กับประมุขพรรคมารก็เท่านั้น สีหน้าของข้ากลับมาเป็นปกติ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ลงมือเถอะ ระวังตัวด้วย ความเป็นความตายมิแน่นอน”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวเท้าเชื่องช้าไปด้านหน้า ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงขยับมายืนอยู่ข้างกายข้า คอยปกป้องข้าไว้อย่างเข้าใจสถานการณ์ ถึงอย่างไรความปลอดภัยของข้าจึงจะสำคัญที่สุด วรยุทธ์ของพรรคมารลึกล้ำยากหยั่ง ผู้ใดจะทราบว่าต้วนหลิงเซียวมีวิชาลับที่ทำให้พ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายอันใดอยู่หรือไม่ หากปล่อยให้เขามีโอกาสทำร้ายข้าสำเร็จ ต่อให้สับต้วนหลิงเซียวเป็นหมื่นชิ้นก็มิอาจทวงคืนสิ่งที่สูญเสียได้
ต้วนหลิงเซียวนึกหวาดหวั่นในใจ เขาย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านนอกวงต่อสู้ หากเสี่ยวซุ่นจื่อเข้ามาร่วมวงด้วย ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสรอดแล้ว แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสหนีเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน หากเสี่ยวซุ่นจื่อหมายจะเข้าร่วมวงต่อสู้ ถ้าเช่นนั้นยอดฝีมือทั้งสี่ที่รุมโจมตีตนอยู่ย่อมต้องเปิดทางให้ครั้งหนึ่งอย่างช่วยมิได้
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของฝั่งศัตรูมาลงมือด้วยตนเอง มิว่าอย่างไรในใจของคนที่เหลือย่อมผ่อนคลายลงเล็กน้อย หากตนฉวยพริบตาที่วงล้อมคลายออกก็จะฝ่าวงล้อมออกไปได้ ทว่าหากพลาดโอกาสหนนี้ ย่อมไม่เหลือความหวังใดอีกแล้ว
แต่จะคว้าโอกาสนี้ให้มั่นได้เช่นไรเล่า ในใจต้วนหลิงเซียวตั้งมั่นหมายจะแลกด้วยชีวิต ทันใดนั้นจิตใจของเขาพลันใสกระจ่าง ประสาทสัมผัสทั้งหกเฉียบคมที่สุดในชีวิต แม้ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ของเขาจะเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น วิชาที่ใช้ออกมาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ทั้งสี่คนที่รุมโจมตีเขาอยู่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ขาดอีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุขอบขั้นเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ จิตใจพวกเขาฉับพลันเกิดคลื่นสั่นไหว ทราบว่ามาถึงห้วงเวลาสำคัญแห่งการตัดสินความเป็นความตายแล้ว
พวกเขาเพ่งจิตรวบรวมสมาธิ เตรียมพร้อมจะเปิดแนวป้องกันในจังหวะเหมาะสมที่สุดให้เสี่ยวซุ่นจื่อเข้ามาในวงต่อสู้ สถานการณ์ตึงเครียดอันไร้คำพูดเช่นนี้ แม้แต่ราชองครักษ์หู่จีขั้นธรรมดาที่มองความลึกลับซับซ้อนของการต่อสู้เหล่านั้นมิออกก็ยังเพ่งสมาธิกลั้นลมหายใจตาม มิกล้าผ่อนคลายแม้แน้อย
แม้ข้ามิเป็นวรยุทธ์ แต่ยามอยู่ตงไห่มักจะเห็นท่านอาจารย์ซัง เสี่ยวซุ่นจื่อกับต่งเชวียประลองฝีมือกันอยู่บ่อยครั้ง ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหกที่เหนือกว่าคนธรรมดาของข้า ข้าจึงมองเห็นสีหน้าของแต่ละคนได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง นอกจากนั้น การเข่นฆ่าในยุทธภพก็มีจุดที่แอบคล้ายกับกลศึกอยู่บ้าง ความคิดข้าแล่นไวประหนึ่งสายฟ้าแลบ ฉับพลันเข้าใจจุดสำคัญของการแพ้ชนะทันที
ยามที่เสี่ยวซุ่นจื่อเข้าร่วมการต่อสู้ นั่นจะเป็นจังหวะที่กับดักซึ่งข้าสู้อุตส่าห์สร้างแข็งแกร่งที่สุด แต่พริบตาก่อนที่จะกลายเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอที่สุดด้วย ขอเพียงผ่านพริบตานี้ไปได้ ต้วนหลิงเซียวก็จะตกอยู่ในกำมือของข้าแล้ว ความคิดแล่นไวดั่งสายฟ้า ข้ามองดูเสี่ยวซุ่นจื่อที่ขยับเข้าไปใกล้กลุ่มคนทั้งห้าที่ประมือกันอยู่อย่างช้าๆ ขณะที่ในใจขบคิดว่าจะช่วยพวกเขาทำลายโอกาสรอดอันน้อยนิดของต้วนหลิงเซียวเช่นไรดี ข้ากวาดสายตามองแล้วตัดสินใจกระซิบกับซูชิงที่อยู่ด้านข้างว่า “วิชากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านคือวิชาใด”
ซูชิงกระซิบตอบ “ท่านอาจารย์เคยถ่ายทอดกระบวนท่ากระบี่ ‘ผลาญสิ้นหยกศิลา’ ให้แก่ซูชิง ทว่าซูชิงฝึกฝนได้มิแตกฉาน มิอาจใช้ได้ตามแต่ใจ”
เสียงของนางแผ่วเบาและรวดเร็ว แต่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ในใจข้านึกชื่นชม นางช่างเป็นทหารที่ฝึกฝนมาอย่างดีจริงๆ ไม่มีความคิดจะขัดขืนคำสั่งของเบื้องบนแม้แต่น้อย ข้ามิมัวพิธีรีตองกับนาง กล่าวว่า “รอจังหวะที่เสี่ยวซุ่นจื่อเข้าร่วมวงล้อม แล้วใช้วิชากระบี่ที่ดุดันที่สุดของท่านขวางต้วนหลิงเซียวที่ฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมไว้”