ภาค-5 ตอนที่ 45 โอกาสรอดริบหรี่ (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้าไปถึงวงนอกของการต่อสู้แล้ว โชคดีที่เขาก้าวมาอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ยอดฝีมือทั้งสี่คนเตรียมตัวให้ตนเองเข้าร่วงวง มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีเวลาจัดแจงให้ซูชิงขัดขวางการโจมตี ซูชิงเองก็มิเสียทีเป็นศิษย์ของเหวินจื่อเยียน แม้ข้ามิได้บอกกล่าวชัดเจนนัก แต่นางกลับเข้าใจทันที นางฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจการต่อสู้ ขยับไปด้านข้างเล็กน้อย มือขวากุมบนด้ามกระบี่ ดวงเนตรงดงามอันเย็นยะเยือกคู่นั้นจับจ้องทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเซียว ฮูเหยียนโซ่วก็ขยับออกมาก้าวหนึ่ง ปิดช่องโหว่ที่ซูชิงขยับออกไปเอาไว้

ในตอนนี้เอง ยอดฝีมือทั้งสี่ที่ล้อมโจมตีต้วนหลิงเซียวอยู่ก็ขยับเปลี่ยนตำแหน่งพร้อมกัน ร่างกายว่องไวดั่งสายฟ้า ทุกคนรู้สึกเหมือนตาลายเพียงวูบเดียว ทั้งสี่คนนี้ก็เปลี่ยนตำแหน่งกันเสร็จแล้ว แนวป้องกันที่แต่เดิมแน่นหนาเหลือช่องว่างไว้หนึ่งจุด ร่างของเสี่ยวซุ่นจื่อประหนึ่งเงาภูตพราย ปรากฏตัวที่ช่องว่างตรงจุดนั้น ทั้งห้าคนเคลื่อนไหวดุจสายลมและเปลวเพลิง จังหวะที่เลือกแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

ทว่าเฉกเช่นกฎเกณฑ์ของทุกสรรพสิ่ง ก่อนที่ค่ายกลจะแปรเปลี่ยนเป็นสภาพยามแข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นยามที่มันอ่อนแอที่สุด ชั่วพริบตาที่วงล้อมคลายออก ร่างของต้วนหลิงเซียวฉับพลันกลายเป็นประหนึ่งภาพลวงตา ทะลวงฝ่าวงล้อมแน่นหนาออกไปดั่งอสนีบาต แล้วโฉบผ่านไปทางทะเลสาบประหนึ่งเส้นสายรุ้ง

เป็นดังคาด เมื่อทุกคนเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้ามาในวงต่อสู้ จิตใจก็ผ่อนคลายลงโดยสัญชาตญาณ ช่องโหว่เพียงเสี้ยวเดียวที่แทบจะมิอาจสังเกตเห็นนี้ถูกต้วนหลิงเซียวฉกฉวยไว้ได้อย่างแม่นยำ

ทิศทางที่เขาเลือกผ่านการเลือกสรรมาอย่างถ้วนถี่แล้ว แม้ทิศทางนี้ดูเหมือนทางตัน แต่กลับเป็นทิศทางที่เจียงเจ๋ออยู่ ดังนั้นฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงที่คอยคุ้มครองเจียงเจ๋อย่อมต้องทุ่มสุดกำลังปกป้องเจียงเจ๋อไว้เป็นอย่างแรก ด้วยวรยุทธ์ของสองคนนี้ ตนไม่มีทางเอาชีวิตของเจียงเจ๋อได้ในการโจมตีครั้งเดียวแน่นอน แต่ต้วนหลิงเซียวก็มิได้คิดจะทำเช่นนั้น เขาเพียงหวังจะพลิ้วกายผ่าน เร้นหลบเข้าไปยังป่าทึบฝั่งตรงข้ามเท่านั้น

แผนการของเขาเดิมทีควรสมบูรณ์แบบ ตอนเขาโฉบผ่านข้างกายเสี่ยวซุ่นจื่อออกไป ทั้งห้าคนล้วนตกตะลึงยิ่งนัก พวกเขาต่างใช้วิชาทั้งหมดที่มีขัดขวาง พระเส้าหลินทั้งสองรูปตวาดเสียงดังแล้วลงมือ ซัดหมัดใส่กลางอากาศ หมัดเทพร้อยก้าวจู่โจมเข้ากลางแผ่นหลังของเขา

ส่วนจางจิ่นสยงพลันหน้าแดงก่ำ เค้นเสียงออกมาพร้อมลมหายใจ หนึ่งหมัดโจมตีใส่ซี่โครงขวาของเขา นี่คือวิชาลับอันสูงส่งที่สุดของสำนักคงต้ง นามว่าหมัดเจ็ดทำลาย หนึ่งหมัดนี้ซ่อนกระแสปราณที่แตกต่างกันเจ็ดชนิดเอาไว้ หากโจมตีถูกร่างกายมนุษย์จะทำให้กระดูกและเส้นลมปราณทั้งหมดขาดสะบั้นจนหมดสิ้น แต่ภายนอกกลับมองมิเห็นร่องรอยการบาดเจ็บแต่อย่างใด

หลิงเจินจื่อก็ตวาดเสียงหวานคำหนึ่งเช่นกัน เส้นสีเงินนับพันหมื่นบนแส้สั่นไหววูบหนึ่งก็เหยียดตรง วาดไปทางหลังศีรษะของต้วนหลิงเซียว

การจู่โจมที่อันตรายที่สุดมาจากเสี่ยวซุ่นจื่อ เดิมทีวรยุทธ์ของเขาก็สูสีคู่คี่กับต้วนหลิงเซียวอยู่แล้ว จึงมิจำเป็นต้องใช้ปิ่นสีดำสนิทเล่มนั้น ดรรชนีหนึ่งจี้เข้าใส่อากาศ ลมปราณเย็นเฉียบหนาวยะเยือกสายหนึ่งทิ่มแทงเข้าใส่จุดลมปราณสำคัญของต้วนหลิงเซียวประหนึ่งดาบแหลมคม

ภายในพื้นที่เล็กจ้อยเช่นนี้ พลังอันแกร่งกล้าแต่ละสายพุ่งตัดสะเทือนสั่นไหว เกราะอ่อนของราชองครักษ์หู่จีที่ต้วนหลิงเซียวสวมอยู่บนร่างกระจุยกลายเป็นชิ้นๆ สายลมรุนแรงอันคมกริบพัดดังหวีดหวิว ต้วนหลิงเซียวฝ่าออกมาจากวงล้อมของทั้งห้าคนได้สำเร็จ ร่างกายเขากลายเป็นเส้นโค้งเส้นหนึ่ง เตรียมตัวจะเบี่ยงจากทิศทางที่เจียงเจ๋ออยู่ มิว่าอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการตกไปอยู่ในวงล้อมอันแน่นหนาอีกหนเพราะกระตุ้นโทสะของผู้คน หากชีวิตของเจียงเจ๋อตกอยู่ในอันตราย นั่นย่อมเป็นสิ่งที่กระตุ้นโทสะของผู้คนได้มากที่สุด

ขณะที่ต้วนหลิงเซียวฝ่าวงล้อมออกมานั่นเอง เสียงกระบี่ตัดผ่านอากาศก็พลันดังขึ้น เงาร่างสีดำร่างหนึ่งทะยานขึ้นกลางอากาศโผไปยังเส้นทางที่ต้วนหลิงเซียวจะหลบหนี ประกายกระบี่ดั่งเมฆวสันต์คลี่แผ่ พลังอัดแน่นในกระบี่หมายมาดเผด็จศึกศัตรู เด็ดเดี่ยวดั่งสาบานว่าจะไม่หันหลังกลับ

ยามคมกระบี่จ่อประชิดร่าง ต้วนหลิงเซียวก็ถอนหายใจยาวอยู่ในใจแล้วโจมตีหนึ่งหมัดออกมา หมัดกับกระบี่ปะทะกัน กระบี่ยาวที่หลอมจากเหล็กกล้าเล่มนั้นแตกกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซูชิงปลิวกลับไป ต้วนหลิงเซียวเองก็ถอยกลับมาครึ่งก้าว เวลานี้เขาอยู่ห่างจากผิวน้ำของทะเลสาบเพียงสามก้าวเท่านั้น ทว่าห่างเพียงเอื้อมมือดั่งกั้นกลางด้วยขอบฟ้า เฉกเช่นระยะห่างระหว่างความเป็นกับความตาย

เสี่ยวซุ่นจื่อผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาขยับมาขวางอยู่หน้าร่างของต้วนหลิงเซียวแล้ว เมื่อเขาขวางต้วนหลิงเซียวไว้ ยอดฝีมือทั้งสี่ก็ล้อมเข้ามา ทั้งห้าคนล้อมต้วนหลิงเซียวไว้ตรงกลาง กระบวนทัพตั้งสำเร็จ มิมีช่องโหว่อีกต่อไป

ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง เขาทราบว่าโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของตนเองหมดสิ้นลงแล้ว สายตาของเขามองผ่านผู้คนไปจับจ้องอยู่บนร่างของเจียงเจ๋อ ใบหน้าของเจียงเจ๋อมีรอยยิ้มเบาบางประดับอยู่ราวกับว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการคาดคำนวณของเขา ส่วนซูชิงใบหน้าซีดผือดยืนอยู่ด้านข้าง เห็นชัดว่าหนึ่งกระบี่นั้นเมื่อครู่ทำให้นางเจ็บหนักมากเช่นกัน

แม้ผู้ที่แทงกระบี่มาคือซูชิง แต่ต้วนหลิงเซียวทราบว่าซูชิงมิมีเล่ห์เหลี่ยมมากพอจะคาดเดาจังหวะฝ่าวงล้อมของตนเองได้ ผู้ต้องสงสัยที่น่าสงสัยที่สุดย่อมเป็นเจียงเจ๋อผู้สั่งการซูชิงได้ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะต้องมาจบชีวิตในมือชายหนุ่มผู้นี้ ต้วนหลิงเซียวเผยรอยยิ้มขมขื่นจางๆ

เมื่อข้าเห็นต้วนหลิงเซียวถูกเสี่ยวซุ่นจื่อกับยอดฝีมือที่เหลืออีกสี่คนร่วมมือกันต้อนกลับไปยังจุดเดิม ในที่สุดข้าก็โล่งใจ ครั้งนี้ชะตาคงกำหนดให้ต้วนหลิงเซียวทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว ถึงแม้ว่าอาจมีโอกาสจับเป็นเขาก็ตาม

เมื่อครู่ระหว่างที่เขาฝ่าวงล้อมต้องบาดเจ็บหนักเป็นแน่ การขัดขวางของเสี่ยวซุ่นจื่อกับยอดฝีมืออีกสี่คนมิใช่ว่าจะหลบพ้นได้ง่ายๆ ยามนี้พวกเสี่ยวซุ่นจื่อคงรู้สึกอับอายอยู่ในใจอย่างมิอาจห้าม ดังนั้นพวกเขาย่อมลงมือรอบคอบยิ่งกว่าเดิม สถานการณ์เช่นนี้ หากต้วนหลิงเซียวยังหนีรอดไปได้อีก ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงเข้าไปอยู่ในทำเนียบปรมาจารย์ได้แล้ว แต่จากที่ข้าเห็นเหมือนจะไม่มีความเป็นไปได้นั้น

ข้านับถือคนผู้นี้จริงๆ วรยุทธ์ของเสี่ยวซุ่นจื่อด้อยกว่าเขามิเท่าใด แต่ในด้านประสบการณ์ห่างชั้นกันมาก ถึงอย่างไรเสี่ยวซุ่นจื่อก็อายุน้อยเกินไป แต่หลังจากผ่านศึกวันนี้ เขาน่าจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นหนึ่งกระมัง

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง แม้แต่ข้าผู้ไม่เข้าใจวรยุทธ์คนนี้ก็มองออกว่าต้วนหลิงเซียวเหมือนจะไร้กำลังสวนกลับแล้ว เขาอาศัยเพียงความมุ่งมั่นฝืนต้านไว้ ส่วนพวกเสี่ยวซุ่นจื่อกลับร่วมมือกันอย่างเข้าขา ยิ่งเคลื่อนไหวได้ดั่งใจขึ้นทุกที ขณะที่ข้ากำลังคิดในใจว่าจะให้เสี่ยวซุ่นจื่อจับเป็นต้วนหลิงเซียวไว้ดีหรือไม่ ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็ใช้กระบวนท่าสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง

ข้ารู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าลายไปวูบหนึ่ง สถานการณ์ตรงนั้นเปลี่ยนไปอย่างยิ่งอีกหน เสี่ยวซุ่นจื่อกับต้วนหลิงเซียวต่อสู้ดุเดือดกันอยู่สองคน สี่คนที่เหลือล้อมทั้งสองคนไว้ตรงกลาง คอยสอดส่องหาโอกาสลอบโจมตีจุดอ่อนของต้วนหลิงเซียว ยังมิทันที่ข้าจะตอบสนอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็โจมตีหนึ่งฝ่ามือใส่หัวไหล่ของต้วนหลิงเซียวแล้ว ระหว่างที่ร่างของต้วนหลิงเซียวโซเซถอยหลัง ฝ่าเหริ่นกับฝ่าเจิ้งผู้เป็นยอดฝีมือแห่งเส้าหลินในด้านหยุดการเคลื่อนไหวก็ฉวยโอกาสลงมือ พวกเขาตั้งใจจะจับตัวต้วนหลิงเซียวไว้

ต้วนหลิงเซียวตวาดดุดันออกมาคำหนึ่ง โลหิตสีเขียวคำหนึ่งก็พ่นออกมาจากปาก ฝ่าเหริ่นกับฝ่าเจิ้งล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งเส้าหลิน พวกเขารู้จักวิชาลับของพรรคมารอยู่พอสมควรจึงพยายามหลีกหลบอย่างสุดความสามารถ หลบพ้น ‘ศกหยกโลหิต’ ที่บรรจุลมปราณและโลหิตหัวใจของต้วนหลิงเซียวได้สำเร็จ

ต้วนหลิงเซียวสร้างช่องว่างได้พริบตาหนึ่ง แต่จางจิ่นสยงกับหลิงเจินจื่อกลับเข้ามาอุดช่องโหว่ไว้ ต้วนหลิงเซียวย่อตัวหลบแส้ของหลิงเจินจื่อ ทว่ากลับรู้สึกว่าเข่าขวาเจ็บแปลบ เสี่ยวซุ่นจื่อจี้ดรรชนีใส่อากาศส่งดรรชนีลมโจมตีจุดลมปราณตรงข้อพับช่วงเข่าของเขา ลมปราณหนาวยะเยือกแทรกซึมเข้าสู่จุดลมปราณสำคัญ ต้วนหลิงเซียวแทบจะยืนมิไหว เขาตัดสินใจคุกเข่าขวาลงบนพื้น กลิ้งตัวหนึ่งตลบ หลบพ้นฝ่ามือของจางจิ่นสยงไปได้เส้นยาแดงผ่าแปด

ต้วนหลิงเซียวตระหนักดีว่ามิมีหวังรอดชีวิตอีกแล้ว เขามองออกว่าศัตรูมีเจตนาจะจับเป็น มิเช่นนั้นเมื่อครู่พระสองรูปนั้นคงมิพยายามสกัดการเคลื่อนไหว ทันใดนั้นในใจก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ในฐานะศิษย์เอกของประมุขพรรคมาร ว่าที่ประมุขพรรคมารในอนาคต ไฉนจะยอมอัปยศถูกจับเป็นเชลยได้ ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจเฮือกหนึ่งในใจ กำลังจะลงมือทำลายเส้นลมปราณหัวใจของตนเอง

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หูของทุกคนก็พลันได้ยินเสียงตะโกนดุดันเสียงหนึ่ง “ทุกคนหยุดมือ มิเช่นนั้นข้าจะสังหารคนผู้นี้”