บทที่ 639 สามคนพ่อแม่ลูก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 639 สามคนพ่อแม่ลูก

จูบนั้นแสนเนิ่นนาน จนม่านราตรีปกคลุมลงมา

รอบทิศเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจูบเคล้าคลึง จนดวงจันทร์เขินอายเร้นกายเข้ากลีบเมฆ

วงแขนของเซียวเหิงกระชับแน่นขึ้น ร่างของทั้งสองแนบชิดสนิทกัน เซิ่งตูยามค่ำคืนสายลมเย็นพัดอ่อน ทว่าหัวใจของเขากลับร้อนรุ่ม

เขาพยายามอดกลั้นสุดกำลังจึงยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ มือขวาของเขาลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของกู้เจียวฉ่ำชื้นขึ้นสีเด่นชัด

หน้าผากของเขาและนางแนบชิด ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเดียวกัน

หัวใจที่อ้างว้างมาหลายวันได้รับการปลอบโยนในที่สุด

เขาอดใจไม่ไหวฉกชิมริมฝีปากของนางอีกครั้ง

หลังจากนั้นกู้เจียวเองก็จูบเขาตอบเหมือนกัน

ต้องตอบรับสักหน่อยมิใช่หรือ นางรู้หรอกน่า

เซียวเหิงหัวเราะเสียงทุ้ม ออกแรงกระชับอ้อมกอดแน่น ก่อนจะพึมพำอยู่เหนือศีรษะของนาง “เจียวเจียว หากทำเช่นนี้คืนนี้เจ้าจะไม่ได้กลับเอานะ”

กู้เจียวไม่ซุกซนอีกต่อไป

ทว่าไม่นาน นางก็เอ่ยถามเขาอย่างใจกล้า “ประตูปิดกี่โมงหรือ”

เซียวเหิงตอบ “วันนี้ยามไฮ่”

กู้เจียวคิดคำนวณพลางเอ่ย “ยังมีเวลาอีกหนึ่งเค่อ” นางหมายถึงยังอยู่ต่อได้อีกหนึ่งเค่อ

เซียวเหิงจ้องมองนาง ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา “หนึ่งเค่อไม่ทันหรอก”

“เอ๊ะ” กู้เจียวมองเขาอย่างสงสัย

เซียวเหิงกระแอมเสียงดัง “ข้า…ข้าหมายถึงหนึ่งเค่อ เจ้ากลับไม่ทันหรอก”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ความหมายของนางคือยังอยู่ด้วยกันได้อีกหนึ่งเค่อ ในหัวของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!

โชคดีนะเนี่ยที่นางหัวไว!

“อ๋อ” กู้เจียวเลิกคิ้วมองเขา ก่อนจะกวาดสายตามองร่างทั้งร่างของเขา ขณะที่เซียวลิ่วหลังคิดว่านางยังไม่เข้าใจความหมาย กู้เจียวดันถามกลับด้วยปริศนาเชาว์ปัญญา “คงไม่ทันสินะ”

มือใหม่ก็เช่นนี้แหละนะ

เซียวเหิง “…!!”

ยามกู้เจียวกลับมาถึงเรือนสามหนุ่มน้อยก็หลับกันหมดแล้ว อาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่ต่างคนต่างทำอะไรของตัวเองไปพลาง รอนางกลับมาเหมือนทุกวัน

อาจารย์แม่หนานกำลังปรุงยาพิษ ส่วนอาจารย์หลู่รำมวยได้สองกระบวนท่า ก่อนจะนำโต๊ะตั่งในเรือนออกมาซ่อมแซม

กู้เจียวเล่าเรื่องราวที่ได้เจอกับเซียวเหิงให้ทั้งสองคนฟัง ทั้งสองตกตะลึงในทันใด

คนผู้นั้นคือเซียวลิ่วหลังหรอกหรือ เขาเป็นคนพาเสี่ยวจิ้งคงมายังเซิ่งตูอย่างนั้นรึ

พอนึกภาพเสี่ยวจิ้งคงผู้น่าสงสารถูกโจรลักพาตัว ทั้งสองก็พากันมุมปากกระตุก

เจ้าหนูน้อยนี่ต้องหมั่นไส้พี่เขยของตัวเองปานใด ถึงได้ให้ร้ายกันเช่นนี้

ทว่าพอจินตนาการถึงภาพที่เซียวลิ่วหลังอุตส่าห์ปลอมตัวเป็นกู้เจียวเพื่อเข้าสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน ทั้งสองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

กู้เจียวเอาหนังสือตอบรับเข้าเรียนของเซียวลิ่วหลังมา เซียวลิ่วหลังก็หยิบเอาของกู้เจียวเข้าเรียนแทน นี่มันเรื่องวุ่นวายอะไรกัน

“ข้ากลับคิดว่าเป็นเรื่องดี” อาจารย์หลู่เอ่ย “มีคนแคว้นเยี่ยนกำลังตามล่าลิ่วหลังอยู่มิใช่หรือ พวกมันคงนึกไม่ถึงหรอกว่าเซียวลิ่วหลังจะอยู่ใต้จมูกตัวเองแบบนี้”

“ก็จริงอย่างที่ว่า” อาจารย์แม่หนานพยักหน้าเห็นด้วย “พอคิดแบบนี้แล้ว ก็คุ้มที่เกิดเรื่องวุ่นวายอยู่เหมือนกัน”

ดีต่อลิ่วหลัง ทั้งยังดีต่อกู้เหยี่ยนเช่นกัน

หากคนที่เข้าเมืองชั้นในไปคือกู้เจียว เช่นนั้นแล้วกู้เหยี่ยนก็ต้องแยกจากกู้เจียว ยามนี้คนที่อยู่ห่างกู้เจียวไม่ได้คือกู้เหยี่ยน อาการของเขาย่ำแย่ลงได้ทุกเมื่อ จำเป็นต้องมีกู้เจียวคอยรักษาอย่างทันท่วงที

พอคิดได้ดังนั้น อาจารย์แม่หนานก็ถามต่อ “เอ๊ะ แล้วเหตุใดเจ้าถึงจำลายมือลิ่วหลังไม่ได้”

กู้เจียวเอ่ย “เขาเปลี่ยนลายมือน่ะ”

อักษรแคว้นเจากับอักษรแคว้นเยี่ยนนั้นต่างกัน กู้เจียวเคยเห็นแต่ลายมืออักษรแคว้นเจาของเซียวเหิง แต่ไม่เคยเห็นอักษรแคว้นเยี่ยนของเขา แต่ต่อให้เป็นอักษรแคว้นเยี่ยน ลายมือของเขาที่ใช้เขียนยามอยู่แคว้นเจากับตอนมาถึงแคว้นเยี่ยนแล้วก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี

เซียวเหิงเป็นคนระวังตัวมาก เขาไม่มีทางเผยจุดอ่อนเพียงเพราะเรื่องเหล่านี้หรอก

“แล้วจะทำอย่างไรกับเสี่ยวจิ้งคง” อาจารย์แม่หนานถาม

กู้เจียวตอบ “กลับไปเรียนหนังสือที่เมืองชั้นใน”

อาจารย์แม่หนานเอ่ยเสียงอ่อน “เช่นนั้นเขาคงเสียใจ”

กว่าจะหนีจากเงื้อมมือของพี่เขยมาได้ แต่พริบตาเดียวก็ถูกส่งตัวกลับ เจ้าหนูน้อยคงร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นแน่

เรื่องอื่นนั้นกู้เจียวยอมโอนอ่อนให้เสี่ยวจิ้งคงเสมอ เว้นแต่เรื่องเรียนเท่านั้นที่นางเด็ดขาด

เช้าตรู่วันต่อมา เสี่ยวจิ้งคงก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าตนเองจะถูกส่งกลับไปเรียนหนังสือที่เมืองชั้นใน เขาถือชามข้าวอยู่ แต่จู่ๆ ข้าวในชามก็ไม่อร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เขาเอ่ยถามน้ำตาคลอ “เจียวเจียว ข้าไม่ใช่ผู้ชายที่เจ้ารักที่สุดแล้วหรือ”

กู้เจียวลูบศีรษะกลมมนของเขา “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ต้องไปเรียนอยู่ดี”

เสี่ยวจิ้งคงร้องไห้งอแง “ฮือ ฮือ เสี่ยวสืออีคงคิดถึงข้าแย่เลย”

“เสี่ยวสืออีคือใคร”

ไม่รอให้กู้เจียวได้ถามต่อ ม้าอาชาไนยตัวใหญ่ที่มีดอกไม้หลายสีทัดหูก็เดินเข้ามาจากลานท้ายเรือน ในปากคาบห่อผ้าของเสี่ยวจิ้งคงก่อนจะวางไว้หน้าประตู

…เป็นอย่างที่เดาไว้ไม่มีผิด!!!

วันนี้สำนักบัณฑิตเทียนฉงปิดเรียน ฟ้าดินช่างเป็นใจเหลือเกิน นางจึงไม่ต้องลาเรียน

หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ กู้เจียวก็พาจิ้งคงนั่งรถม้าเข้ามาในเมือง

กู้เสี่ยวซุ่นมาส่งทั้งสองคนใกล้ประตูเมืองชั้นในเช่นเคย กู้เจียวถือตราอาญาสิทธิ์ของเมืองชั้นในที่เซียวเหิงให้ไว้เมื่อคืน อีกมือหนึ่งก็จูงมือเสี่ยวจิ้งคงเข้าประตูเมืองไป

ตราอาญาสิทธิ์นั้นได้มาจากสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันพร้อมกับตำราเรียนยามรายงานตัวเข้าเรียน ด้านบนสลักชื่อของกู้เจียวและเสี่ยวจิ้งคง กู้เจียวเข้ามาในเมืองด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง สวมหมวกคลุมหน้า ทหารเวรยามประตูเมืองจับพิรุธไม่ได้

หลังจากเข้าเมืองมา กู้เจียวก็เช่ารถม้าหนึ่งคัน “ขึ้นมาสิ”

เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าน้อยอกน้อยใจ

กู้เจียวเอ่ย “ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ ”

เสี่ยวจิ้งคงหอบห่อผ้าเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยปากมู่ทู่ “ต้องจุ๊บสองทีก่อนถึงจะขึ้นรถได้”

กู้เจียวจุ๊บเขาสองที

เสี่ยวจิ่งคงถึงจะยอมอุ้มห่อผ้าขึ้นรถม้าแต่โดยดี

กู้เจียวพาเสี่ยวจิ้งคงมาส่งยังสถานที่ที่นัดหมายกันไว้…โรงน้ำชาแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน

ทั้งสองไม่อาจพบเจอกันที่โถงใหญ่ได้ เสี่ยวจิ้งคงจึงต้องเดินเข้าไปเอง

เซียวลิ่วหลังรออยู่ที่ห้องส่วนตัวริมถนนบนชั้นสองตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว

เสี่ยวจิ้งคงเข้าไปในห้อง เปิดหน้าต่างออก ก่อนจะย่ำขึ้นบนขอบหน้าต่างบอกกับกู้เจียวว่าถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เซียวเหิงรวบเขาไว้ด้วยแขนข้างเดียว สายตาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่รถม้าคนนั้นต้องแต่ต้น

กู้เจียวเองก็มองเขาเช่นกัน

ทั้งสองมองกันและกัน

ครั้งก่อนที่มองกันแบบนี้คงเป็นตอนที่เขาอยู่บนขบวนแห่จอหงวนสินะ

ไม่นานหรอก รอนางรักษากู้เหยี่ยนให้หายดี นางจะเป็นคนจัดการตระกูลหนานกง พวกเขาทั้งสองก็จะเดินไปบนถนนอย่างสง่าผ่าเผย

“แม่นาง จะไปที่ใดต่อหรือ” สารถีเอ่ยถาม

“ไปประตูเมืองทิศใต้” กู้เจียวตอบ

“แม่นางรีบหรือไม่” สารถีเอ่ยถาม

“รีบ” กู้เจียวตอบ

“เช่นนั้นข้าจะไปทางลัดก็แล้วกัน” คนขับสะบัดแส้ม้า รถม้าเคลื่อนทะยานออกไป

กู้เจียวหลับตาสงบจิตใจอยู่บนรถม้า

ทว่ารถวิ่งไปได้ครึ่งชั่วยามก็พลันหยุดลง

“มีอะไรหรือ” กู้เจียวลืมตาขึ้นก่อนเอ่ยถาม

สารถีเอ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “แม่นาง พวกเราคงต้องเปลี่ยนเส้นทางแล้วล่ะ”

กู้เจียวฟังแล้วก็รู้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเลิกม่านขึ้นพลางมองออกไปด้านนอก ก่อนจะเห็นว่าถนนเบื้องหน้าเกิดเหตุอะไรบางอย่าง ชาวเมืองมากมายพากันมุงดู เหมือนจะมีเสียงคนทะเลาะวิวาทชกต่อยอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่รุมล้อม

“ไปทางอื่นเถิด” กู้เจียวเอ่ย

ที่นี่ไม่ใช่แคว้นเจา นางไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ เรื่องแบบนี้กันไว้ดีกว่าแก้

“ไอ้หยา ตีกันถึงตายเลยหรือ!”

จังหวะที่กู้เจียวกำลังปล่อยม่านลง ก็มีเสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งลอยเข้ามา

ชายชราที่อยู่ห่างจากนางไม่ไกลเอ่ยขึ้น “ใครตีใครรึ”

หญิงสูงวัยตอบ “จะมีใครอีกเล่า ก็ท่านชายตระกูลหนานกงผู้นั้นน่ะสิ”

หนางกงอย่างนั้นหรือ

มือของกู้เจียวชะงักไป นางค่อยๆ แหวกม่านให้เปิดออกเพียงน้อยนิด มองไปยังหญิงสูงวัยที่อยู่ริมถนนผู้นั้นก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

สารถีได้ยินดังนั้น ก็กระตุกแส้ให้ม้าหยุด

หญิงสูงวัยตัดพ้อ “เฮ้อ พวกบ่าวจูงม้าดื่มเหล้าจนเมา แล้วก็พูดจาจาบจ้วงแม่ทัพหนานกงเข้าน่ะสิ ท่านชายหนานกงได้ยินเข้า ก็เลยสั่งให้คนซ้อมเขา บอกว่า…ตีให้ตาย!”

กู้เจียวถาม “หากตีจนตายแล้วไม่กลัวโดนเอาเรื่องหรือ”

หญิงสูงวัยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ก็แค่บ่าวจูงม้าไม่กี่คน ตายไปก็ไม่มีผู้ใดเอาเรื่องเอาราวหรอก”

กู้เจียวถามต่อ “ท่านป้า เมื่อครู่ที่ท่านพูดถึงแม่ทัพหนานกงคือแม่ทัพท่านไหนหรือ”

หญิงชราตอบ “ใต้เท้าหนานกงลี่น่ะสิ! ก่อนหน้านี้เขากลับบ้านเกิดเพื่อไหว้บรรพบุรุษ ระหว่างเจอคนลอบสังหารจนบาดเจ็บสาหัส ตอนกลับมาถึงเซิ่งตูก็อาการร่อแร่แล้ว บ่าวจูงม้าพวกนั้นคงพูดว่าเขาคงเกินเยียวยาแล้ว ท่านชายหนานกงถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ”

หนานกงลี่ที่ทำร้ายกู้เหยี่ยนนี่เอง เจ้านั่นยังไม่ตายอีกหรือ

ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านชายน้อยหนานกงตีคนจนตายหรอกนะ คราวก่อนเด็กรับใช้ของตระกูลผู้ช่วยเจ้ากรมลั่วก็โดนฝ่ามืออสรพิษของเขา คนดีๆ แท้ๆ ”

กู้เจียวปล่อยม่านลงพลางถามคนขับรถ “ตระกูลหนานกงอยู่ที่ใดหรือ”

สารถีเอ่ย “แม่นางจะไปตระกูลหนานกงหรือ ตระกูลหนานกงย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์หลังใหม่ ใกล้กับวังหลวง รถม้าอย่างพวกเราเข้าไปก็โดนจับ”

กู้เจียวชะงักไปก่อนจะถาม “ตระกูลหนานกงยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ยิ่งใหญ่สิขอรับ” สารถีตอบ “หลายปีมานี้กุมอำนาจกองทัพ ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์อีกกระมัง หากว่า…เฮือก”

ประโยคหลังจากนั้น สารถียั้งปากตัวเองไว้

หากว่าอะไรน่ะหรือ

หากว่าท่านจอมทัพเซวียนหยวนยังแข็งแรงดีอยู่ มีหรือตระกูลหนานกงจะได้โลดแล่นเหมือนยามนี้

ยามนั้นตระกูลเซวียนหยวนมีทหารกล้านับล้านนาย จะเกรงกลัวสิ่งใดกัน

ตระกูลหนานกงก็แค่สุนัขรับใช้คอยเลียแข้งเลียขาตระกูลเซวียนหยวนก็เท่านั้น

หลังจากตระกูลเซวียนหยวนตั้งกองทัพก่อกบฏ อำนาจในกองทัพก็ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนมอบให้แก่ตระกูลหนานกง ตระกูลหาน ตระกูลหลัวและตระกูลมู่

ตระกูลหนานกงสร้างคุณูปการสูงสุดในบรรดาตระกูลทั้งหลายยามปราบตระกูลเซวียนหยวน จึงได้กุมสัดส่วนอำนาจสูดสุงของกองทัพไป