บทที่ 640 เลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียว
“ไม่มีใครแจ้งทางการหรือ” กู้เจียวถาม
คนขับรถชะงัก “แม่นาง นั่นมันคนของตระกูลหนานกงเชียวนะ แจ้งไปก็เปล่าประโยชน์”
“อย่างนั้นรึ” กู้เจียวมองไปตามทางของถนนที่ทอดยาว พลางพึมพำอยู่นิ่งๆ
สารถีอดที่จะหันกลับมามองกู้เจียวสักแวบหนึ่งไม่ได้
กู้เจียวสวมผ้าคลุมหน้าไว้ ใบหน้าถูกบดบัง เผยเพียงดวงตาที่เรียบเฉยคู่หนึ่ง
พูดไปก็เหมือนจะดูจาบจ้วง แต่คนขับรถก็ไม่เคยเห็นดวงตาผู้ใดที่ทั้งเย็นเยียบทั้งงดงามถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
นางมองคนของตระกูลหนานกงด้วยแววตาไร้ประกายความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
สารถีเกิดภาพลวงตาขึ้นมารางๆ แม่นางที่ตนขับรถให้นางนี้คล้ายจะยกดาบขึ้นฟาดฟันคนตระกูลหนานกงในขณะที่ไม่ทันตั้งตัว
สารถีตกใจกับการคาดคะเนเอาเองของตนขึ้นมา!
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้! แม้ตระกูลหนานกงจะยังไม่ได้อยู่ในสิบตระกูลใหญ่แห่งเซิ่งตู แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเส้นสนกลในไม่มากพอ ไม่ได้หมายความว่ายามนี้พวกเขาจะไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง
ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งจะเอาปัญญาจากไหนไปต่อกรกับพวกเขา
“คนจากจวนกั๋วกงมาแล้ว!”
จู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นเสียงดังท่ามกลางฝูงชน
เรื่องที่ท่านชายน้อยตระกูลหนานกงรุมกระทืบทาสเลี้ยงม้าจบลงพร้อมกับการมาถึงของใต้เท้ารองจิ่งแห่งจวนกั๋วกง จวนกั๋วกงอยู่ระแวกนี้ ใต้เท้ารองจิ่งคงจะกลับมาจากข้างนอกแล้วบังเอิญเจอเรื่องนี้เข้าพอดี
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากันพักหนึ่ง ท่านชายน้อยหนานกงก็จากไป
สารถีเอ่ย “ใต้เท้ารองจิ่งเป็นลูกชายตระกูลร่ำรวยที่โด่งดังในเซิ่งตู และมีแค่เขาที่สามารถห้ามคนของตระกูลหนานกงได้ หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าหรอกขอรับ”
ในเมื่อเรื่องราวจบลงไวเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นท่านชายน้อยตระกูลหนานกง… กู้เจียวตัดสินใจไปดูก่อน
กู้เจียวทิ้งค่ารถไว้บนรถม้า แล้วลงจากรถไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่นางจะหาร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้านหนึ่ง มาเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าบุรุษที่เดินเหินสะดวก
นางตามหลังท่านชายน้อยหนานกงไป
สิ่งที่ผิดแผนก็คือ นางอุตส่าห์หาที่ทางลอบโจมตีเหมาะๆ ได้แล้วแท้ๆ จู่ๆ ดันถูกรถม้าคันหนึ่งมาบังไว้เสียได้
รถม้าจอดอยู่หน้าตรอก กู้เจียวกะว่าจะอ้อมไป ใครจะคิดว่าคนบนรถม้าดันเลิกม่านขึ้น ร้องเรียกกู้เจียวด้วยความตกใจ “เจ้าเองรึ”
กู้เจียวปรายตามองนางนิ่งๆ จำได้ว่าอีกฝ่ายคือมู่หรูซินที่นางเคยเจอที่จวนกั๋วกง
กู้เจียวไม่คิดจะสนใจมู่หรูซิน หันหลังหมายจะอ้อมหลังรถม้า แต่สาวใช้คนหนึ่งกลับกระโดดลงจากรถมาขวางหน้านางไว้ “หยุดนะ! คุณหนูของข้าคุยกับเจ้าอยู่! เจ้าไม่ได้ยินรึ!”
สายตาเย็นเยียบของกู้เจียวปรายไปมอง สาวใช้ตกใจตัวสั่น ถอยหลังไปหลายก้าว จับรถม้าประคองตัวไว้
ในขณะนั้นเอง รถม้าอีกคันก็ค่อยๆ ควบขับมาจอดเทียบอยู่ข้างๆ รถม้าของมู่หรูซิน
คนในรถเปิดหน้าต่างรถขึ้น เอ่ยถามเสียงเบา “หมอเทวดามู่ เกิดอะไรขึ้นรึ”
มู่หรูซินมองกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยกับนาง “เจอหมอที่ท่านชายมู่เชิญมาจากแคว้นเจาน่ะเจ้าค่ะ”
“หมอที่พี่สี่ของข้าเชิญมาน่ะรึ”
เด็กสาวชะโงกหน้าจากหน้าต่างมาครึ่งตัวอย่างตกตะลึง มองไปยังกู้เจียวที่อยู่ข้างๆ
ข้างกายนางมีศีรษะของอีกคนเบียดยื่นออกมาด้วย “หมออะไรข้าดูหน่อย! เอ๋ เซียวลิ่วหลัง!”
กู้เจียวกุมหน้าผาก เหตุใดแม้แต่ซูเสวี่ยก็มากับเขาด้วยหรือนี่
เด็กสาวมองซูเสวี่ย “เจ้ารู้จักเขารึ”
ซูเสวี่ยเอ่ยอย่างดีใจ “พี่รอง! เขาคือเพื่อนร่วมชั้นของพี่สี่ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังคนนั้นอย่างไรเล่า! เขาเป็นสหายของพี่สี่!”
มู่หรูซินมองกู้เจียว “ที่แท้ก็เป็นสหายของท่านชายชิงเฉิน เช่นนั้นคราก่อนก็ล่วงเกินท่านมากจริงๆ ”
กู้เจียวหักหน้านางต่อหน้าผู้อื่น ปากนางพร่ำวาจามีมารยาท แต่ในใจอาจจะไม่ได้คิดเช่นนี้จริงๆ ก็ได้
ทว่ากู้เจียวไม่ได้ไปใส่ใจมันก็เท่านั้น
คุณหนูรองตระกูลซูถามมู่หรูซิน “หมอเทวดามู่ พวกเจ้าเคยเจอกันรึ”
มู่หรูซินแย้มยิ้มเอ่ย “เคยมีวาสนาพบกันที่จวนกั๋วกงหนหนึ่ง ท่านชายชิงเฉินพาท่านชายเซียวท่านนี้ไปรักษาให้ท่านกั๋วกง…ท่านชายชิงเฉินก็หวังดี คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนมีเจตนาแฝงใช้ประโยชน์”
คนมีเจตนาแฝงใช้ประโยชน์อย่างนั้นรึ นี่กำลังบอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ใช้พี่สี่เพื่อประจบหรือไม่ก็ทำร้ายกั๋วกงอย่างนั้นรึ
สีหน้าคุณหนูรองตระกูลซูพลันไม่สู้ดีนักขึ้นมาทันที
ซูเสวี่ยตวาดอย่างเดือดดาล “พูดจาโสมมให้มันน้อยๆ หน่อย! ใครใช้ประโยชน์จากพี่สี่ของข้ากัน! คนอย่างพี่สี่ของข้าจะถูกคนใช้ประโยชน์ได้รึ”
มู่หรูซินสะอึก
คุณหนูรองตระกูลซูเอ่ย “น้องสาม อย่าเสียมารยาท!”
มู่หรูซินเป็นศิษย์ของหมอเทวดาลั่วแห่งแคว้นเฉิน ยามนี้ถูกจวนกั๋วกงยกย่องเป็นแขกผู้มีเกียรติ ฐานะของนางไม่ใช่ชาวแคว้นล่างธรรมดาจะมาเทียบได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางกำลังจะเชิญนางไปรักษาการไอโขลกให้ศิษย์ใหญ่ของท่านอาวุโสเมิ่งอีกด้วย
“เฮอะ! มีดีอะไรกัน!” ซูเสวี่ยไม่สนใจคุณหนูรองแล้ว จับชายกระโปรงวิ่งตึงตัง ลงมาจากรถม้า ก่อนจะหยุดลงตรงหน้ากู้เจียว นางยิ้มแย้มแจ่มใสถาม “เจ้ารู้วิชาแพทย์ด้วยหรือนี่ เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลยเล่า”
มู่หรูซินเห็นซูเสวี่ยเมินตัวเองไป กลับไปเกรงอกเกรงใจกับหมอเก๊ต้มตุ๋นใบหน้ามีตำหนิมากกว่า แววตานางจึงมีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน
แคว้นเฉินกับแคว้นเจาสะสมความแค้นกันมานาน มู่หรูซินเคียดแค้นคนแคว้นเจาทุกคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแคว้นเจาผู้นี้ที่เคยหักหน้านางมาก่อนด้วยดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มู่หรูซินหรี่ตาลงพลางถาม “ท่านชายเซียว ในเมื่อท่านเป็นเพื่อนร่วมชั้นของท่านชายชิงเฉิน ก็คงจะร่ำเรียนอยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงด้วย ไม่ทราบว่าเจ้ามาทำอะไรในเมืองชั้นในรึ มีตราอาญาสิทธิ์เข้าเมืองหรือไม่”
ซูเสวี่ยแววตาเป็นประกายวาบ ยามนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าเซียวลิ่วหลังไม่มีตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นใน นางหันไปถลึงตาใส่มู่หรูซิน “กะ…เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ! ยุ่งเรื่องชาวบ้านเยอะแยะเช่นนี้ เจ้าไม่อยากเป็นหมอแล้วกระมัง! เจ้าไปจับหนูแทนเสียไป!”
โบราณกล่าวว่า หมาจับหนูชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน[1] นี่กำลังด่านางเป็นหมารึ!
มู่หรูซินโมโหจนหน้าหงาย!
คุณหนูรองซูมักจะเมินเฉยต่อนางเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ไม่เคยไร้มารยาทถึงเพียงนี้มาก่อนเลย เป็นเพราะเซียวลิ่วหลังคนเดียว จึงมาเป็นปรปักษ์กับนาง ทำให้นางขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คน!
มู่หรูซินมองกู้เจียวอย่างเย็นชา
กู้เจียวไม่ได้ใส่ใจมู่หรูซินเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจเจตนาร้ายของมู่หรูซินด้วย นางเอ่ยกับซูเสวี่ย “ข้ามีธุระต่อ ขอตัวก่อน เจ้าก็รีบกลับไปเถิด”
ซูเสวี่ยอยากจะเอ่ยแต่ยั้งไว้ หันกลับมามอง ฝั่งหนึ่งก็พี่สาวนาง อีกฝั่งก็มู่หรูซิน ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยได้
ซูเสวี่ยกระแอมเบาๆ เอ่ย “รอพี่สี่กลับมาก่อน แล้วข้าจะไปหาพี่สี่ที่สำนักบัณฑิต”
และจะไปหาเจ้าด้วย
“ขึ้นรถเถิด” กู้เจียวบอก
ซูเสวี่ยยิ้มพลางโบกมือให้กู้เจียว กำลังจะหันหลังจากไป
มู่หรูซินขยับปลายนิ้วอย่างเงียบเชียบ หยิบถั่วปากอ้าจากบนโต๊ะ ก่อนจะดีดมัน ถั่วปากอ้าดีดไปโดนข้อพับขาซูเสวี่ย
หากว่าดีดโดน ซูเสวี่ยก็จะล้มสู่อ้อมอกกู้เจียวไปเต็มๆ
หากกู้เจียวช่วยไว้ นั่นคือการหยามเหยียดซูเสวี่ย หากไม่ช่วย นั่นคือการเห็นภัยแต่นิ่งดูดาย
ซูเสวี่ยก็จะผิดหวัง คุณหนูรองตระกูลซูก็จะโกรธ
ไม่ว่ากู้เจียวจะช่วยหรือไม่ช่วย ล้วนมีจุดจบที่ตายกับตายเท่านั้น
มู่หรูซินกำลังรอจุดจบของกู้เจียวอยู่ เพียงแต่สิ่งที่นางไม่ได้คาดคิดก็คือ นางไวแล้ว แต่กู้เจียวนั้นไวกว่า ในขณะที่ถั่วปากอ้ากระเด็นลอยมานั้น เข็มเงินตรงปลายนิ้วกู้เจียวก็ขยับเช่นกัน
เข็มเงินตีโดนถั่วปากอ้า ย้อนโจมตีมู่หรูซิน!
ไหล่ขวาของมู่หรูซินพลันเจ็บแปลบ ล้มลงกับพื้นรถอย่างแรง
คุณหนูรองตระกูลซูไม่ใช่คนร่ำเรียนวรยุทธ์ ย่อมมองทิศทางไม่ออก นางเห็นเพียงจู่ๆ มู่หรูซินก็กุมไหล่ล้มลงไป จึงรีบถามอย่างเป็นห่วง “หมอเทวดามู่! เจ้าเป็นอะไรไป”
“คุณหนู!”
สาวใช้ของมู่หรูซินขึ้นมาบนรถม้า ประคองมู่หรูซินขึ้นมาจากพื้นรถ
มู่หรูซินกุมไหล่ที่เจ็บไว้ เหงื่อเย็นผุดซึมจ้องกู้เจียว “ท่านชายเซียว พูดไม่ถูกหูก็ลอบเล่นงานข้า นี่เป็นมารยาทของคนแคว้นเจาของพวกเจ้ารึ!”
“เจ้าลอบเล่นงานหมอเทวดามู่หรือ”
“ไม่มีทาง! พี่รอง! เซียวลิ่วหลังไม่มีทางลอบเล่นงานนางหรอก!”
กู้เจียวหยิบถั่วปากอ้าที่ชนมู่หรูซินแล้วกระเด็นตกลงพื้นขึ้นมา ถั่วปากอ้าโดนเข็มเงินปักลงตรงกลางพอดี
สิ่งที่กู้เจียวหยิบคือเข็มเงิน “มู่หรูซิน คราวหน้าก่อนจะลอบเล่นงานใครก็อย่าลืมล้างมือเสียก่อนล่ะ”
ซูเสวี่ยใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเข็มเงินกับถั่วปากอ้า บนรถม้าของมู่หรูซินมีขนมอยู่หลายชนิด กู้เจียวไม่เคยเห็นขนมในรถม้าของมู่หรูซิน แต่ถั่วปากอ้าเม็ดนี้มีเศษผงจากขนมเฟิ่งหลีและขนมเกาลัดติดอยู่
ตอนนั้นแม้แต่สาวใช้ก็อยู่ด้านล่างรถม้า
คนที่สามารถแตะต้องถั่วปากอ้าเม็ดนี้ได้ก็มีแค่มู่หรูซินเองแล้ว
ซูเสวี่ยกระจ่างแจ้งโดยพลัน นางมองมู่หรูซินพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว! เจ้าเป็นคนลอบเล่นงานเซียวลิ่วหลังก่อน!”
แน่นอนว่าซูเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าความจริงแล้วเป้าหมายที่มู่หรูซินเล็งนั้นคือตัวเอง
เพียงแต่ประโยคนี้ของนางก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน คนที่มู่หรูซินอยากจะจัดการนั้นจริงๆ แล้วคือเซียวลิ่วหลัง ส่วนซูเสวี่ยก็แค่ถูกนางใช้เป็นเครื่องมือก็เท่านั้น
กู้เจียวมาหยุดอยู่ข้างหน้ารถม้ามู่หรูซิน มองนางอยู่นิ่งๆ “เมื่อครู่แค่หนามยอกเอาหนามบ่ง”
สัญชาตญาณลางสังหรณ์ร้ายของมู่หรูซินพลุ่งพล่านขึ้น คิดจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว เสียงกรอบดังขึ้น แขนของนางถูกกู้เจียวถอดจากข้อต่อ
“นี่ต่างหากคือการลอบจัดการ”
กู้เจียวชักมือกลับอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน หันหลังเดินจากไป
…
เดิมทีมู่หรูซินได้รับเชิญจากคุณหนูรองตระกูลซูเชิญให้ไปรักษาอาการไอโขลกให้ศิษย์ใหญ่ของท่านอาวุโสเมิ่ง แต่มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจึงไม่อยากรักษาให้ใครต่อแล้ว
“ข้าไม่สบาย ขอตัวก่อน! ลวี่เย่า กลับ!”
“เจ้าค่ะ! นายหญิง!”
รถม้าของมู่หรูซินฝุ่นตลบจากไป
ซูเสวี่ยกลับมานั่งข้างพี่สาวตัวเอง แค่นเสียงขึ้นจมูก “สมน้ำหน้า!”
คุณหนูรองตระกูลซูขมวดคิ้วเล็กน้อย
…
ตั้งแต่อาการของอันกั๋วกงดีขึ้น ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่มู่หรูซินได้รับในจวนกั๋วกงก็สูงขึ้นมากกว่าหนึ่งขั้น นางไม่เพียงแต่สวมใส่ผ้าไหมผ้าต่วนราคาแพงที่ทันสมัยที่สุด กินดื่มอาหารเลิศรสหรูหราเต็มโต๊ะมากมายเท่านั้น ยังได้เข้าพักในเรือนที่กว้างขวางและสว่างไสวที่สุดด้วย
คุณหนูของจวนกั๋วกงยังไม่ได้รับการดูแลถึงขนาดนางเลย
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา นางก็โมโหจนควันออกหู
นางมองตนเองเป็นคนแคว้นบนตั้งนานแล้ว จะให้ตัวเองมาถูกคนแคว้นล่างคนหนึ่งทำขายขี้หน้าคราแล้วคราเล่าเช่นนี้ได้อย่างไร
ลวี่เย่าเข้ามาในห้อง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่นาง ทางฮูหยินรองส่งคนมาถามว่า ยาของท่านกั๋วกงจะต้มเสร็จเมื่อใดเจ้าคะ”
มู่หรูซินนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเย็นชา มองแขนที่ข่มความเจ็บต่อกลับคืน กัดฟันเอ่ย “ไปบอกฮูหยินรองว่า ข้าบาดเจ็บ สองสามวันนี้เกรงว่าจะรักษาให้กั่วกงไม่ได้!”
ลวี่เย่าไปแจ้งฮูหยินรองตามจริง ฮูหยินรองวางสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที นำโสมพันปีมาเยี่ยมมู่หรูซิน
มู่หรูซินนั่งอยู่บนเตียง แขนพันผ้าพันแผลไว้ เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย “ฮูหยินรองช่างมีน้ำใจ แต่ฮูหยินรองก็เห็นแล้ว เกรงว่าแขนของข้าจะต้องใช้เวลารักษาสักระยะหนึ่ง ฝังเข็มไม่ได้ และต้มยาไม่ได้ด้วย”
เจ้าเจ็บแขนซ้าย ไม่ใช่แขนขวาเสียหน่อย จะฝังเข็ม ต้มยาไม่ได้ได้อย่างไร
ฮูหยินรองข่มอารมณ์ เอ่ยเสียงนุ่ม “เอาอย่างนี้ เจ้าเอาเทียบยามาให้ข้า ข้าจะให้คนต้มเอง”
มู่หรูซินเอ่ย “นั่นมันสูตรลับเฉพาะของอาจารย์ข้าเชียวนะ จะส่งมอบให้คนนอกง่ายๆ ได้อย่างไร”
ฮูหยินรองไม่ใช่คนโง่ มู่หรูซินสามารถรักษาให้กั๋วกงได้ชัดๆ แต่นางจงใจเล่นเนื้อเล่นตัว เกรงว่าคงมีอะไรจะต่อรองด้วย
ฮูหยินรองยิ้มเอ่ย “หมอเทวดามู่ พวกเราคนเปิดเผยไม่พูดจามีลับลมคมในกัน เจ้าจะให้ทำเช่นไรจึงจะยอมรักษาท่านกั๋วกงต่อ”
……
“นางบอกว่าอะไรนะ ย้ายไปเรือนทิงอินอย่างนั้นรึ”
“ใช่น่ะสิ นางบอกว่าเรือนทิงอินเหมาะกับการพักรักษาตัว”
ณ ห้องหนังสือ ใต้เท้ารองจิ่งตบพู่กันในมือลงบนโต๊ะ “เรือนทิงอินเป็นเรือนของอินอิน! แม้อินอินจะไม่อยู่แล้ว แต่ข้าวของที่อินอินเคยใช้ยังอยู่ครบ อย่าว่าแต่ย้ายเข้าไปเลย นางเข้าไปดูแม้แต่ครู่เดียวก็ไม่ได้!”
ฮูหยินรองถอนใจเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่มีทางตกลง ข้าจึงปฏิเสธไปแล้วล่ะ”
อินอินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของพี่ใหญ่ ข้าวของของนางคือชีวิตของพี่ใหญ่
ใต้เท้ารองจิ่งขมวดคิ้ว “แล้วนางตอบมาว่าอย่างไร”
ฮูหยินรองเอ่ย “นางบอกว่า ไม่ย้ายไปเรือนทิงอินก็ได้ แต่นางจะมาโดนคนรังแกเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน นางให้เราไปจับตัวเด็กหนุ่มที่ทำร้ายนางมาให้นางจัดการเอง”
ใต้เท้ารองจิ่งถาม “เด็กหนุ่มไหน”
ฮูหยินรองบอก “เพื่อนร่วมชั้นของมู่ชิงเฉิน เป็นชาวแคว้นเจา คราก่อนก็มารักษาให้พี่ใหญ่ที่จวนกั๋วกงด้วย แต่เหมือนว่า…จะเป็นหมอเก๊ ไม่ได้มีความสามารถจริง”
ใต้เท้ารองจิ่งลังเลครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ก็ได้ ข้าจะไปจับตัวมา”
ขอแค่รักษาพี่ใหญ่ได้ อย่าว่าแต่จับคนแคว้นล่างสักคนเลย ต่อให้เป็นคนแคว้นบนเขาก็จะจับมาให้นาง!
เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อมู่หรูซิน เขาจึงตัดสินใจขี่ม้าออกไปด้วยตัวเอง
ใต้เท้ารองจิ่งจัดการเรื่องราวว่องไว หนึ่งชั่วยามต่อมาก็มาปรากฏตัวที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงแล้ว
จากอำนาจของจวนกั๋วกง จะสืบหาที่อยู่ของบัณฑิตคนหนึ่งนั้นไม่ยาก เพียงไม่นาน ใต้เท้ารองจิ่งก็มาถึงหน้าบ้านที่กู้เจียวอาศัยอยู่ชั่วคราว
[1] หมาจับหนูชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน งานหลักของหมาคือเฝ้าบ้าน ส่วนการจับหนูนั้นเป็นงานของแมว เปรียบเปรยว่ายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง ยังหมายความถึงการทำงานนอกเหนือขอบเขตที่ควรจะทำด้วย